ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 674 คนร้ายที่ปลดปล่อยสัตว์อสูร
แม่นเสียจริงๆ เจ้าแอบติดเครื่องดักฟังเอาไว้ที่ตำหนักไท่เหิงกงหรือยังไง ถึงได้โป๊ะเชะขนาดนี้?
ซือเป่ยมองดูนางด้วยแววตาเย็นชา “ความตายกรายมาถึงแล้ว ยังจะพูดพล่ามอยู่อีกรึ”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับไร้คำพูดอีกต่อไป
นางดูเหมือนคนที่น่าชิงชังรังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ?
แต่ว่าครั้งนี้ ตี้ซินกลับคิดจะออกโรงบ้างแล้ว
เขาก้าวเท้าออกมา บังอยู่ที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาคู่นั้นจ้องไปยังซือเป่ย “เจ้าเป็นถึงเทพสงครามแดนสวรรค์ ยามนี้ไม่ไปช่วยรับมือกับสัตว์อสูรเหล่านั้น กลับบุกเข้ามาในตำหนักไท่เหิงกง ร่ำร้องจะฆ่าพระสนมที่เทียนตี้กำลังจะรับตัวไว้ เป็นเพราะเจ้าได้รับการไหว้วานจากผู้ใด หรือว่าในใจมีความคิดชั่วช้าอันใด?”
สมแล้วที่เขาเคยเป็นฮ่องเต้ในโลกมนุษย์มาก่อน แม้ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นไปทั้งตัว แต่ยามอยู่ต่อหน้าซือเป่ย ตี้เสียก็แสดงออกถึงบารมีของผู้ปกครอง แม้แต่แววตาก็ทอประกายหนาวเย็นออกมา
เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็สวมข้อหาให้ซือเป่ยไปถึงสองกระทง
ตี้ซิน โอรสองค์ที่สิบแปดของอดีตจักรพรรดิสวรรค์ ถึงแม้จะมีตำแหน่งเทพเป็นเพียงแค่เทียนสี่ซิงจุน (ดาวฟ้าปลื้ม) แต่ว่าในแก่นแท้ก็ยังเป็นถึงสายเลือดของราชวงศ์บนสรวงสวรรค์
เมื่ออยู่ในแดนสวรรค์แห่งนี้ ฐานะของเขาย่อมไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าซือเป่ยอย่างแน่นอน
ที่จริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ซือเป่ยยังสมควรเรียกขานเขาด้วยความเคารพว่าฝ่าบาทด้วยซ้ำ
แต่เพราะตำหนักไท่เหิงกงแทบจะไม่มีผู้คน ซือเป่ยตั้งใจจะสังหารตู๋กูซิงหลันให้จงได้ ดังนั้นจึงไม่คิดจะสนใจเรื่องหน้าตาใดๆทั้งสิ้นแล้ว
พอเขาทำท่าจะขยับง้าวเทพสงครามในมือ ก็ได้ยินเสียงตี้ซินเอ่ยต่อไปอีกว่า “อ้อ เมื่อครู่เจ้ายังบังอาจกล่าววาจาหยาบช้าต่อหน้าข้า ด่าว่าข้าคือโจรทรยศ? ข้าชักอยากจะลากเจ้าไปเข้าเฝ้าเทียนตี้ด้วยกัน พูดคุยกันต่อหน้าให้รู้เรื่อง!”
ว่าแล้วตี้ซินก็ชิงลงมือก่อน
เสื้อผ้าทั่วร่างของเขากระพือขึ้นมา แขนเสื้อหลวมกว้างเปี่ยมไปด้วยแรงลมจากพลังวิญญาณ พอสะบัดฝ่ามือทั้งสองขึ้นมา ในมือก็พลันปรากฏพัดสัมฤทธิ์ด้ามหนึ่ง
พัดด้ามนี้เพียงโบกออกมาเบาๆ ก็เกิดเป็นใบมีดสายลมที่คมกริบขึ้นมา
บนร่างของซือเป่ยปรากฏเขตอาคมสีทองขึ้นมา
ทันทีที่เขตอาคมปรากฏ เหนือเขตอาคมก็ปรากฏความเปลี่ยนแปลง ใบมีดสายลมไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งยังเป็นใบมีดที่แหลมคมอย่างที่สุด ฟันทำลายทุกอย่าง แม้แต่เขตอาคมของซือเป่ยก็ยังฉีกขาดออก
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังชะงักไปครู่หนึ่ง นางคิดไม่ถึงว่า พละกำลังของตี้ซินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ในตอนนั้นเอง ตี้ซินก็ส่งเสียงทางจิตบอกนางว่า
“รีบหนีไป ไม่ต้องสนใจข้า”
เรื่องการหลบหนีนั้น ตู๋กูซิงหลันบอกได้เลยว่าทำมาไม่น้อย แต่เรื่องจะให้ทอดทิ้งผู้มีพระคุณแล้วหลบหนีไปนั้น นางทำไม่ลงจริงๆ
“แค่ช่วยถ่ายทอดคำพูดของข้าไป ข้าก็ขอขอบใจเจ้าไปชั่วชีวิตแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยตอบเขาไปว่า “ท่านต้องรักษาชีวิตให้ดี อีกไม่นานข้าจะนำพี่สาวต๋าจี่ขึ้นมาบนสวรรค์ คำพูดบางคำ ท่านต้องเอ่ยต่อหน้านาง”
ใช่แล้ว ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่คิดจะขึ้นมาบนสววรค์เพียงรอบเดียวเท่านั้น
ครั้งหน้าที่ขึ้นมา จะต้องกวาดให้เกลี้ยง!
ว่าแล้ว นางก็ไม่ขบคิดให้มาอีก ใต้ฝ่าเท้าบังเกิดสายลมหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
หากยังรั้งรอต่อไป ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสอันดี นางมิได้เย่อหยิ่งและมิได้อืดอาดชักช้า น้ำใจของตี้ซินในครั้งนี้นางรับเอาไว้แล้ว วันหน้าจะต้องตอบแทนเขาอีกหลายเท่า
พอเห็นว่านางกำลังจะหลบหนีไป ซือเป่ยไหนเลยจะยอมได้?
เขาขยับง้าวเทพสงครามในมือ คิดจะไล่ตามไปในทันที
ตี้ซินตาไวมือเท้าคล่องแคล่ว ร่ายรำพัดสัมฤทธิ์ในมือออกมา สร้างใบมีดลมไม่หยุด สกัดเส้นทางของซือเป่ยเอาไว้
ซือเป่ยโมโหโทโส เขาไหนเลยจะยอมมองดูตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปจากใต้หนังตาตนเองเช่นนี้ได้กัน?
ฮว๋ายยู่ยังรอรับหยกสรรพชีวิตของนางอยู่ที่ฟากโน้น
นางเองเกิดจากจิตวิญญาญของต้นฮว๋าย แก่นแท้มาจากธาตุหยิน ย่อมสามารถควบคุมหยกสรรพชีวิตได้
ขอเพียงมีหยกสรรพชีวิตกว่าครึ่งชิ้น ตบะของนางจะต้องสามารถฟื้นฟูเหมือนดังเดิมได้อย่างแน่นอน
ร่างกายของนางก็จะดีขึ้นกว่าเดิม
เช่นนี้ นางก็จะไม่ต้องคอยแต่ขมวดหัวคิ้วอย่างไม่มีความสุขอีกต่อไป
เขาชอบเห็นฮว๋ายยู่ยามยิ้มแย้ม นั่นเป็นภาพที่งดงามที่สุดในใต้หล้า
ใบมีดลมของตี้ซินซัดออกมาอยู่ตลอดเวลา เหล่าต้นไม้และพืชพรรณในตำหนักไท่เหิงกงก็ถูกตัดโค่นไปไม่น้อย
ซือเป่ยไม่ยอมเสียเวลาคิด แปลงเป็นร่างแบ่งภาคสิบสองร่างออกมาในทันที
ร่างแบ่งภาคเหล่านั้นรายล้อมตี้ซินเอาไว้ ช่วยกันจับกุมตี้ซิน มิให้เขาก่อปัญหาได้อีก
ส่วนตัวเขาเองก็รีบเหาะไปให้เร็วกว่าเดิม ไล่ตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหายลับไป
ตู๋กูซิงหลันพึ่งออกจากพระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยน ก็ถูกซือเป่ยไล่ตามมาทันแล้ว
ท่าร่างของเขารวดเร็วดุจสายฟ้า เป็นความเร็วที่น่าตื่นตระหนก
สภาพด้านนอกของพระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยน มีแต่ความยุ่งเหยิง
เจดีย์กำราบเทพมารตั้งอยู่ด้านข้าง เหล่าสัตว์อสูรที่ร่วมมือกันโจมตีเจดีย์ ตอนนี้ลุกลามไปถึงสิ่งก่อสร้างรอบด้านแล้ว
นอกจากตี้เสีย เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็เข้าร่วมการยับยั้งพวกสัตว์อสูรด้วย
ทุกคนต่างก็เคยได้ยินเรื่องของสัตว์ประหลาดในชั้นเก้ามาไม่มากก็น้อย
หากว่ามันตายไปแล้วก็ถือว่าดีไป กลัวแต่ว่ามันจะยังไม่ตาย เกิดเจดีย์หลังนี้พังลง แล้วสัตว์อสูรในชั้นที่เก้านั่นหลุดออกมา เกรงว่าเรื่องราวคงต้องย่ำแย่แล้ว!
ดังนั้นเหล่าเทพต่างก็ทุ่มเทกันสุดกำลัง
เดิมทีตู๋กูซิงหลันยังคิดจะหาเส้นทางที่ห่างไกลหลบหนีไป แต่พอคิดว่าหากตี้ซินไม่อาจขัดขวางซือเป่ยเอาไว้ได้ จะช้าเร็วเขาก็คงต้องไล่ตามมาแน่ ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนเป็นหลบหนีมาทางเจดีย์กำราบมารแทน
เพียงแต่พวกเทพกำลังวุ่นวายกับการรับมือสัตว์อสูร จึงไม่มีใครสังเกตเห็นนาง
ซือเป่ยพึ่งจะไล่ตามมาถึง ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า
“เทพสงคราม! ในที่สุดท่านก็มาแล้ว รีบๆมาช่วยพวกเราสะกดสัตว์อสูรที่กำลังอาละวาดเหล่านี้เอาไว้!”
ตู๋กูซิงหลันกระแอมในลำคอ นางหลบอยู่ในมุมอับจุดหนึ่งของหมู่เทพ อาศัยพลังวิญญาณบีบเสียงตะโกนออกไป
เหล่าเทพถึงได้รู้สึกตัวว่าเทพสงครามมาถึงแล้ว
ต่างก็ผลัดกันตะโกนขึ้นมาว่า “เทพสงคราม พระวรกายของเทียนตี้ผิดปกติไป ท่านโปรดช่วยสนับสนุนด้วย!”
คราวนี้แม้แต่เทียนตี้ที่อยู่บนยอดเจดีย์ก็ยังทรงสังเกตเห็นซือเป่ย
ฮว๋ายยู่ถูกพระองค์โอบเอาไว้ในอ้อมพระกร ดวงเนตรของนางทอประกายเย็นชาออกมา
ซือเป่ยไอ้คนไม่ได้เรื่อง! ผลงานไม่มีให้เห็น แต่ที่ล้มเหลวกลับมากมาย!
นางสั่งให้เขาไปที่ตำหนักไท่เหิงกง สังหารนางมารนั้น แล้วเขาเหาะมาที่เจดีย์กำราบมารทำไม?
แล้วนางมารผู้นั้นเล่า?
ฮว๋ายยู่อดจะมองไปทางตำหนักไท่เหิงกงไม่ได้
ในพระทัยของนางละทิ้งซือเป่ยไปแล้ว ยามนี้ในใจบังเกิดความคิดอีกอย่างขึ้นมาแทน…..
หากว่าตำหนักไท่เหิงกงถูกถล่มจนราบคาบ ดูท่านังมารนั่นคงได้แต่ต้องตายสถานเดียว
อีกประเดี๋ยวนางจะกระตุ้นโทสะของเจ้านกยักษ์นั่น ให้มันพ่นลูกไฟใส่ตำหนักไท่เหิงกง
……………………….
ซือเป่ยที่ถูกเหล่าเทพเรียกเอาไว้ ยามนี้คิดอยากจะสังหารตู๋กูซิงหลันแทบตายแล้ว!
นางจงใจชักจูงเขามาที่นี่ คิดจะให้พวกสัตว์อสูรรั้งตัวเขาเอาไว้ ตนเองจะได้หลบหนีไปง่ายอย่างนั้นหรือ?
ช่างเป็นสตรีที่จิตใจชั่วร้ายและแยบยลจริง!
เขาขมวดคิ้วเย็นชา ขณะที่เหล่าเทพพากันร้องเรียกเขาอยู่นั้น ก็เห็นง้าวสงครามในมือของเขาพลันกวาดออกไป ฟาดใส่จุดที่ตู๋กูซิงหลันหลบอยู่จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
กองขี้เถ้ายังไม่ทันจะปลิวหายไป ก็ได้ยินน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณของเขากระจายออกมาว่า
“ข้าแม่ทัพหาตัวผู้ร้ายที่ปลดปล่อยสัตว์อสูรเหล่านี้ออกมาได้แล้ว ก็คือนางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้น นั่นเอง!”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณ ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแดนสวรรค์ แม้แต่เสียงร้องคำรามของเหล่าสัตว์อสูรก็ยังไม่สามารถกลบเสียงนั้นลงได้
ง้าวสงครามในมือของซือเป่ย ชี้ตรงไปทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบอยู่
และในขณะนั้นเอง เขาก็ทุ่มเทดึงเอาพลังวิญญาณทั้งหมดออกมา ใช้พลังวิญญาณรอบกายสร้างเป็นเขตอาคมแห่งหนึ่ง ครอบลงไปเหนือจุดที่มีควันเถ้าถ่านลอยขึ้นมา
“สังหารนางมารผู้นี้เซ่นสรวงให้แก่เหล่าสัตว์อสูร พวกมันก็จะพากันสงบลงไป!”
ซือเป่ยพูดพลาง ก็หันไปเหลือบดูตี้เสียที่อยู่บนยอดเจดีย์แวบหนึ่ง “ขอเทียนตี้ทรงลงมือด้วยพระองค์เอง!”
…………………….