ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 676 คนของเรา ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องได้กัน?
พื้นดินที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน มีแต่ฝุ่นควันลอยฟุ้งขึ้นมา
พอเห็นรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน สัตว์อสูรเหล่านั้นก็พากันสงบลง และจับจ้องมองไปที่นางอย่างเงียบๆ จนมองไม่ออกว่าในแววตาของพวกมันกำลังจับจ้องด้วยความโกรธเกรี้ยวหรือว่ากำลังมีแผนการอื่นใด
ตู๋กูซิงหลันเงียบงัน แววตาของนางเย็นชาและดูจะเฉยเมยอยู่บ้าง ราวกับว่าตกใจจนงุนงงไปแล้ว
บนยอดเจดีย์ ตี้เสียทรงทนไม่ไหวอีกต่อไป ขยับพระบาทเพียงไม่กี่ก้าวพระองค์ก็เหาะลงมาจากยอดเจดีย์ด้วยความรวดเร็ว ประทับอยู่ด้านนอกของเขตอาคมที่กักขังตู๋กูซิงหลันเอาไว้
บริเวณจุดตันเถียนของพระองค์ยังคงหลั่งพระโลหิต ไหลลงไปบนพระวรกาย ย้อมจนรอบเอวของพระองค์กลายเป็นสีแดงฉาน
“แสดงว่าที่ผ่านมา เจ้าเอาแต่เล่นละคร หลอกลวงเรามาโดยตลอด!”
พระสุรเสียงที่เกรี้ยวกราด ตวาดใส่เขตอาคม จนเส้นผมของตู๋กูซิงหลันปลิวกระจายไปยังด้านหลัง
นางเหมือนดั่งแผ่นกระดาษที่แทบจะยืนต้านไม่อยู่ ได้แต่ลอยถอยไปอีกหลายๆก้าว
มีแต่แววตาคู่นั้นที่ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าตี้เสียหรือผู้อื่นจะพูดเช่นไร ก็ไม่อาจทำให้นางสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้าทำให้เราผิดหวังเกินไปแล้ว!”
พอตรัสเช่นนี้ออกมา แววเนตรของตี้เสียก็เย็นยะเยือกถึงขีดสุด
เดิมทีพระองค์ยังคิดว่าอย่างน้อยๆนางจะต้องแก้ตัวสักหลายประโยค
พระองค์ให้โอกาสนางแล้ว แต่ดูสิ่งที่นางทำสิ เห็นอยู่ชัดๆว่ามิได้เห็นพระองค์อยู่สายตา แม้แต่จะแก้ตัวก็ยังคร้านจะทำ
สตรีผู้นี้จงใจหลอกลวงพระองค์แต่แรกแล้ว นางถึงกับวางแผนลอบปล่อยสัตว์อสูรออกมา สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งแดนสวรรค์ เพื่อนางจะได้หลบหนีได้สะดวก!
แถมนางยังแกล้งทำเป็นหวาดกลัวสัตว์อสูร ฉวยโอกาสขณะที่พระองค์ปลอบโยนนางอย่างอ่อนโยน ลอบซัดยันต์คำสาปนี้เข้ามาในพระวรกาย แสดงว่าคิดจะให้พระองค์ต้องตกตายใต้กรงเล็บของสัตว์อสูร
จิตใจช่างชั่วช้านัก!
ทำไมพระองค์ถึงได้สายพระเนตรบอด ไปหลงชอบนางได้ ทั้งยังชอบมาเนิ่นนานหลายปีถึงเพียงนี้
คิดถึงมิรู้ลืมอยู่นานนับหลายแสนปี ตลอดเวลาเนิ่นนานนับแสนปีเชียวนะ!
ความรักอันลึกล้ำของพระองค์กลับถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เช่นนี้จะให้พระองค์รักษาเกียรติแห่งจักรพรรดิสวรรค์เอาไว้ได้อย่างไร
พระดำรัสเรียกว่าฮว๋ายเอ๋อร์ ทำเอาเหล่าเทพต่างมีสีหน้าฉงน คนที่ไม่รู้เรื่องยังเข้าใจไปว่าพระองค์ตรัสเรียกเทียนโฮว่เสียด้วยซ้ำ
สีพระพักตร์ของฮว๋ายยู่เองก็ย่ำแย่ ตี้เสียทรงคลายพระหัตถ์จากนาง ปล่อยให้นางยืนอยู่ข้างพระองค์
ประโยคที่ตรัสเรียกฮว๋ายเอ๋อร์นั่น ทำเอาพระบาทของนางอ่อนยวบ แทบจะประทับยืนไม่อยู่
ที่แท้แล้ว….ในส่วนลึกของพระทัยของพระองค์ ก็ยังคงไม่เคยลืมเลือนจู่ฮว๋าย
ที่พระองค์ตรัสเรียกนางว่าฮว๋ายเอ๋อร์มาตลอด ก็เพียงเพราะว่า….นางแค่มีดวงตาที่เหมือนกับจู่ฮว๋ายคู่หนึ่ง แค่เพียงเพราะ นางกับจู่ฮว๋ายคือ……
ฮว๋ายยู่เดิมมีพลังใจที่เข้มแข็ง แต่ว่าตอนนี้หัวใจของนางกลับพังทลาย
ยังดีที่ซือเป่ยที่อยู่ด้านข้างยื่นมือมาพยุงนางเอาไว้
ฝ่ามือของซือเป่ยเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มือที่จับพยุงบีบจนข้อมือนางเจ็บปวด
แต่ความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน ก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของซือเป่ยด้วยเช่นกัน
ที่วันนี้เขาทูลฟ้องต่อหน้าเหล่าทวยเทพ ให้เทียนตี้ทรงลงโทษตู๋กูซิงหลัน จุดประสงค์หลักก็เพราะต้องการสร้างความยินดีให้ฮว๋ายยู่
แต่ใครจะไปคิดว่า พระองค์จะตรัสเรียกสตรีอีกผู้หนึ่งด้วยชื่อ ‘ฮว๋ายเอ๋อร์’ ขึ้นมา
ความอุ่นร้อนที่ส่งผ่านมาทางข้อมือ ทำให้หัวใจที่รุ่มร้อนของฮว๋ายยู่ได้สติขึ้นมา
นางไม่ตรัสคำใด เพียงทอดพระเนตรมองอย่างเงียบๆ มิว่าจะอย่างไร สตรีผู้นั้นก็สูญเสียตำแหน่งในพระทัยของตี้เสียไปแล้ว นางทำเช่นนี้เท่ากับกลบฝังตนเองแท้ๆ
ก่อนหน้านี้ ที่นางสามารถอยู่ในแดนสวรรค์ได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ก็เป็นเพียงเพราะว่ามีเทียนตี้คอยปกป้องคุ้มครองอยู่
ในเมื่อตอนนี้เทียนตี้ไม่ทรงคุ้มครองนางอีกแล้ว นางยังจะสามารถพึ่งพาผู้ใดได้อีก?
หัวใจของฮว๋ายยู่รู้สึกเหมือนได้แก้แค้น นางยินดีจนแทบจะคลุ้มคลั่ง หากว่าเป็นไปได้ นางอยากจะสังหารสตรีผู้นั้นด้วยตนเอง!
ไม่สิ….หากได้มองดูเทียนตี้ทรงสังหารนางผู้นั้นด้วยพระหัตถ์กับตาของตนเอง จะมิยิ่งน่ายินดีกว่าหรือ?
หัวใจของนางค่อยสงบลงได้ แต่แววเนตรยังคงมืดมนและอึมครึมอย่างที่สุด
ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ตู๋กูซิงหลันกลับมิได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เงาร่างของนางดูเฉยชาและเลือนลางอยู่ตรงหน้า ในสายพระเนตรของตี้เสียท่าทางเช่นนั้น เหมือนดั่งจะละเลยคำแก้ตัวอย่างบอกไม่ถูก
ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตโบกขึ้นมา ในพระหัตถ์ปรากฏดาบน้ำแข็งด้ามหนึ่ง ดาบเล่มนั้นฟังลงไปเพียงครั้งเดียวก็ตัดเขตอาคมของซือเป่ยลงไปได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้จิตดาบที่รุนแรง ตู๋กูซิงหลันต้องถอยหลังไปอีกหลายก้าวจนถูกบีบไปอยู่ในมุมๆหนึ่ง
เหล่าเทพเห็นแล้ว ก็เข้าใจว่า
นางคงจะตกใจจนโง่งมไปแล้ว ตื่นตระหนกเสียจนพูดอะไรไม่ออก
สมน้ำหน้า!
ต้องตกต่ำถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะว่านางมารนั่นทำตนเองโดยแท้!
ในเมื่อกล้ากระทำเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางก็สมควจะถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นดาบแล้ว!
ตี้เสียกุมดาบน้ำแข็งเอาไว้ในพระหัตถ์ พุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันในชั่วพริบตา
แววพระเนตรของพระองค์ จับจ้องอยู่แต่ที่สาวน้อยตรงหน้าเท่านั้น
ดูสิ….เนื้อหนังที่สวยงามนั่น ทำให้ผู้คนต้องคลุ้มคลั่งจนทนไม่ไหว!
แต่ว่าในเมื่อความงามนั้นมิเต็มใจจะเป็นของพระองค์
เช่นนั้นตี้เสียก็ไม่ทรงรีรอที่จะทำลายนางทิ้งไป
ความงดงามที่ไม่ยอมให้พระองค์ได้ครอบครอง เช่นนั้นก็มีแต่ต้องทำลายทิ้งสถานเดียว!
ทำลายทิ้งให้หมดสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกต่อไป!
ไม่สิ…หยกสรรพชีวิตที่อยู่ในกายของนางยังต้องเก็บเอาไว้ก่อน …..เพราะว่าสิ่งนั้น พระองค์เองก็ปรารถนามาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
“เจ้าทำลายความรักอันลึกซึ้งของเราจนหมดสิ้น….”
ตี้เสียทรงจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน พระสุรเสียงเย็นชาอย่างที่สุด
“เป็นเจ้าที่กระทำผิดต่อเรา วันนี้เมื่อต้องตายใต้น้ำมือของเรา ก็ถือว่าเจ้าได้คืนน้ำใจที่ติดค้างเราไว้!”
ในพระทัยของพระองค์ยังคงแสนเสียดาย แต่ว่าในสมองของพระองค์มีแต่ความโกรธเกรี้ยว
โกรธเกรี้ยวที่สตรีผู้นี้แม้กระทั่งบั้นปลายสุดท้ายแล้วก็ยังไม่คิดจะแก้ตัวแม้แต่คำเดียว!
ต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมอ้อนวอนพระองค์ ไม่ยอมเอ่ยว่ารักพระองค์!
นี่ยิ่งทำให้ตี้เสียทรงพิโรธโกรธเคือง ความเสียดายที่มีอยู่น้อยนิดในพระทัย แทบจะถูกความเย็นชาเหล่านี้ของตู๋กูซิงหลันทำลายจนหมดสิ้น
ทรวงอกของพระองค์ยังคงมีโลหิตไหลริน ในพระทัยยังคงตะโกนร้องว่าทั้งหมดนี้ เป็นนางที่หาเรื่องเอง เป็นนางที่ทำร้ายพระองค์ นางสมควรต้องตายแล้ว!
พระองค์ทรงรักนางมาตั้งนานหลายปี ถือว่าให้เกียรตินางมากพอแล้ว!
นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีความรักใดในพระทัยอีกแล้ว!
พระองค์ต้องการให้สตรีผู้นี้ สาบสูญไปตลอดกาล!
ในเมื่อไม่ได้มา ก็ต้องทำลายทิ้งไป!
ดาบน้ำแข็งยกขึ้นสูง ขณะที่เห็นอยู่ว่ากำลังจะแทงเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
ในทันใดนั้นเอง ในเจดีย์ที่มีแต่ความสงบเงียบมาโดยตลอด ก็พลันมีเสียงร้องคำรามดังออกมา!
เสียงนั่นดังปานสายฟ้ากัมปนาท แม้แต่เหล่าเทพยังต้องหัวใจสั่นสะท้าน
เสียงร้องคำราม…มิได้ดังมาจากเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ภายนอก แต่ว่าดังออกมาจากภายในเจดีย์!
นั่นเป็น…..เสียงของสัตว์อสูรในชั้นที่เก้า?
มันยังไม่ตายจริงๆนะหรือ?!
เหล่าเทพต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด พากันหันไปมองดูเจดีย์ที่แตกร้าว ด้วยความหวาดกลัวว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในจะหลุดออกมาได้
ไม่มีผู้ใดรู้จักเจ้าตัวประหลาดในตำนานตัวนี้ และไม่รู้ว่าพละกำลังของมันแข็งแกร่งถึงเพียงไหน
ดาบในพระหัตถ์ของตี้เสียเพียงหยุดไปชั่วแวบเท่านั้น แต่แล้วพระองค์ก็มิได้ลังเลอีก เสือกดาบแทงเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันต่อไป
“คนของเรา ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้องกัน?”
น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นเป็นเสมือนสายลมที่เหน็บหนาวที่สุด ทั้งๆที่มิได้ดังมาก แต่ว่ายังน่าหวาดกลัวกว่าสัตว์อสูรในชั้นเก้าเสียอีก
พลังเสียงที่ไม่อาจป้องกันได้ ทำให้พวกเทพเล็กเทพน้อยถึงกับกระอักเลือดออกมาในทันที
ความน่ากลัวที่ซึมลึกเข้าไปถึงในกระดูกนั่น สามารถทำให้แก่นกระดูกของผู้คนแข็งทื่อจนลายเป็นแท่งน้ำแข็งไปเสียด้วยซ้ำ
พวกเขาต่างก็ตาเหลือกขึ้นมา มองซ้ายมองขวาออกไปรอบด้าน
มีคนบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์อีกแล้วหรือ?
พอกวาดตามองออกไป ก็เห็นว่าเบื้องหน้าของนางมารผู้นั้น ปรากฏกลุ่มหมอกสีดำขึ้นมากลุ่มหนึ่ง
ใจกลางของกลุ่มหมอกสีดำ มีเงาร่างคนอันเลือนลาง เงาร่างสีดำอมทองดูเลือนลางราวกับมารปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก
…………………………