ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 679 ยามที่จีเฉวียนเงยหน้าขึ้นมา ในแววตาสะท้อนแต่ภาพของนางเพียงผู้เดียว
- Home
- ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง
- ตอนที่ 679 ยามที่จีเฉวียนเงยหน้าขึ้นมา ในแววตาสะท้อนแต่ภาพของนางเพียงผู้เดียว
ดังนั้น รอบนี้นางยิ่งทุ่มเทเหาะกลับไปให้เร็วกว่าเดิม
ยังเร็วกว่าตอนที่นางวิ่งหนีมาจากเจดีย์กำราบเทพมารเสียอีก!
เหล่าเทพที่ถูกนางทุบตีจนร่วงไปตามๆกันเมื่อครู่ เดิมทีต่างก็พากันหมดหวังไปแล้ว เพราะคิดว่าคงไม่อาจพ้นผิดที่ว่าทำไมถึงปล่อยให้นางมารผู้นี้หลบหนีไป
ตอนนี้พอเห็นนางวิ่งกลับมาเอง หัวใจที่กระดอนขึ้นมาถึงคอหอย ค่อยกลับลงไปในอกได้อีกครั้ง
นางมารผู้นี้ถูกร่ายคาถากลับหัวใส่หรืออย่างไร ทางรอดที่ทุ่มเทฆ่าฟันเพื่อเปิดขึ้นมา จู่ๆจะไม่เอาก็โยนทิ้งเสียอย่างนั้น?
เหล่านักรบเทพแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังขอรับความโชคดีที่ตรงหน้าเอาไว้ก่อน
ขอแค่นางยังไม่ได้หลบหนีไปจากแดนสวรรค์ เช่นนั้นนางจะต้องตายอย่างแน่นอน
ในเมื่อนางยินดีส่งตนเองไปหาความตาย เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด!
สงสัยนางคงจะคิดได้แล้วล่ะสิว่า หากหลบหนีไปก็คงไม่แคล้วต้องถูกชาวสวรรค์ไล่ล่าตามฆ่า จึงได้เลิกหนีเสีย ยอมย้อนกลับมาให้จับกุมโดยดี
…………………
ใต้เจดีย์กำราบเทพมาร ตี้เสียทรงกำแส้ทลายนภาเอาไว้แน่น แส้ที่ฟาดออกไป แม้จะสามารถฉีกทำลายอากาศได้ แต่ก็ยังไม่อาจป้องกับดาบสีดำอมทองของจีเฉวียนได้ทั้งหมด
จิตดาบเริงระบำ เพลงพิณกังวานก้อง
หมอกดำบนร่างของจีเฉวียนแผ่กำจายออกมาในอากาศ รัศมีสีดำครอบคลุมไปในแผ่นฟ้ากลืนกินเจดีย์เอาไว้กว่าครึ่งหลัง
สีหน้าของเขาเย็นชา ปลายนิ้วเรียวยาวขยับอยู่บนพิณ ไร้น้ำใจและอารมณ์ความรู้สึก
ดาบสีดำทองพุ่งเฉียดผ่านข้างกายของตี้เสียไป ทำให้แถบผ้าที่ทองบนพระอังสะขาดวิ่นอยู่หลายแห่ง
แถบผ้าสีทองไม่อาจลอยได้อีกต่อไป ทำให้ภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่อหังการของตี้เสียถดถอยลงไปไม่น้อย
พระขนงของพระองค์ขมวดมุ่นจนชิดติดกัน พระองค์ไม่ทรงฟาดแส้อีกต่อไป เปลงเพลิงจากพระวรกายแผ่ขยายออกมา จนรอบพระองค์กลายเป็นรัศมีสีทองสุกปลั่งดั่งดวงอาทิตย์
เมื่อดาบสีดำอมทองของจีเฉวียนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง พลังธาตุหยางสีทองที่เข้มข้นนี้ก็ระเบิดออกไป
“ตูม บรึ้ม บรึ้ม!”
พริบตาเดียวแดนสวรรค์ก็สั่นสะเทือนไปกว่าครึ่ง
เมฆสีรุ้งรอบด้านที่งดงามดุจภาพฝันแตกสลาย ทั่วท้องฟ้ามีแต่ดาบสีดำทองและรัศมีเพลิงอันแสบร้อนของดวงอาทิตย์กระจัดกระจาย สิ่งก่อสร้างรอบด้านล้วนพังทลายลงมา!
และจุดที่พังทลายอย่างย่อยยับมากที่สุดก็คือพระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยน
เพราะมันตั้งอยู่ใกล้เจดีย์กำราบเทพมารที่สุด พอโดนระเบิดใส่เช่นนี้ พระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยนที่สูงเป็นร้อยเมตรจึงถูกถล่มจนกลายเป็นโพรงมากมายในชั่วพริบตา
เศษกระเบื้องหยก กระเบื้องทองแตกเกรียวกราวร่วงหล่นลง ปลิวไปทั่ว ทั้งยังกระจัดกระจายใส่ร่างของเหล่าเทพ
อาคารหลังใหญ่ราวตึกสูงพังลงมา
ซือเป่ยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น มือข้างหนึ่งคว้าเอวของฮว๋ายยู่เอาไว้ โอบนางเหาะหนีไปจากพื้นที่ต่อสู้ในทันที
ตัวเขาเองมิได้มีแก่ใจจะช่วยเหลือตี้เสียเลยสักนิด
สีพระพักตร์ของฮว๋ายยู่กลายเป็นย่ำแย่ นางตกใจจนยังไม่อาจเรียกสติกลับมา
จนกระทั่งซือเป่ยพานางไปหลบในจุดที่ปลอดภัย ปล่อยให้นางได้สูดหายใจอยู่ครู่หนึ่ง สมองของนางถึงได้แจ่มใสขึ้นบ้าง
“เทียนตี้….” เท้าของนางก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ยังไม่ทันได้ไปไหน ซือเป่ยก็ดึงนางกลับมา
“ฮว๋ายยู่!” น้ำเสียงซือเป่ยเย็นจนเฉียบขาด กระตุกคนเข้าไปในอ้อมแขน กอดรัดหัวไหล่เอาไว้อย่างแนบแน่น
“ไม่ให้ไป!” เขาเสียงดังราวฟ้าฝ่า “เขาเป็นจักรพรรดิสวรรค์ย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากเจ้าไปก็เท่ากับไปตาย!”
แต่ว่าตอนนี้ สายตาของฮว๋ายยู่กลับเห็นเพียงภาพดาบสีดำทอง และรัศมีเพลิงของดวงอาทิตย์ระเบิดอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่พวกสัตว์อสูรที่ตอนแรกยังส่งเสียงร้องคำรามยังต้องกรีดร้องอย่างโหยหวนอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังศิโรราบต่อตี้เสียหรือว่าศิโรราบต่อบุรุษที่พึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาบนแดนสวรรค์กันแน่
นางไม่เคยคิดเลยว่า สักวันหนึ่งแดนสวรรค์จะต้องเผชิญกับเภทภัยเช่นนี้
ตี้เสียทรงลงมือล้วงเอายันต์สีแดงแผ่นนั้นออกมาด้วยพระหัตถ์ ย่อมต้องบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ฮว๋ายยู่ก็เกรงว่าเขาจะเสียเปรียบ
เขาคือผู้ที่สูงส่งที่สุด ไม่สมควรถูกผู้ใดบังอาจทำร้ายแม้แต่น้อย!
จิตใจของนางรุ่มร้อนไปหมด แต่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดไปจากอ้อมกอดของซือเป่ย ได้แต่ลืมตาดูอยู่เฉยๆ
พอมองไปก็เห็น ท่ามกลางภาพที่เหมือนกับวาระสุดท้ายของโลก มีจุดสีแดงจุดหนึ่งปรากฏขึ้นมา
พุ่งเข้ามาราวกับพายุจากจุดอันไกลพ้น
“นั่นคือ…”
ดวงเนตรของนางเบิกโพลง คำพูดยังไม่ทันขาดหาย ซือเป่ยก็มองตามไปแล้ว
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมาถึง ก็ได้เห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนี้เช่นกัน
ฝนดาบและระเบิดรัศมีแสงอาทิตย์ กลายเป็นภาพอันหน้าสะพรึงกลัว เหนือศีรษะมีแต่เศษฝุ่นเศษหินปลิวว่อน สายตาของนางเพ่งมองไปทั่วทั้งบริเวณกว้าง เพียงแวบเดียวก็เจอจุดที่ร่างของจีเฉวียนอยู่
ท่ามกลางหมอกดำรายล้อม เขาลอยนิ่งอยู่ในอากาศ ดวงตาหลุบลง ปลายนิ้วกรีดลงไปบนพิณเบาๆ เส้นผมดำยาวพลิ้วอยู่ในอากาศ พัวพันไปกับแถบผ้ารัดผมสีม่วง คนดูหมดจดงดงามและน่าตราตรึงอย่างที่สุด ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ทะยานขึ้นมาจากขุมนรก ยังตระการตาเสียยิ่งกว่าตี้เสียที่มีแสงทองทั่วร่างเสียด้วยซ้ำ
เขาดูสง่างามและเยือกเย็นยิ่งกว่ายามที่เป็นโอรสสวรรค์แคว้นโจวเสียอีก
ทั้งๆที่เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่ว่าบรรยากาศรอบกายเขากลับไม่มีสิ่งใดจะเปรียบเทียบได้ พริบตานั้น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นเงาของท่านอาจารย์อยู่ในร่างของเขา
ดวงตาของนางเปียกชุ่ม ไม่สนใจเลยว่าสิ่งใดกำลังร่วงลงมาจากฟากฟ้า เอาแต่พุ่งไปยังเบื้องหน้าเท่านั้น
นางโบยบินเข้าไปหาจีเฉวียนอย่างไม่ยั้งคิด ราวกับหิ่งห้อยที่กระโจนเข้าหากองไฟ
ชุดสีแดงราวกับเปลวเพลิง เส้นผมยาวสยาย แม้เป็นเช่นนี้นางก็ยังงดงามระยับตา หากผู้ใดจะไม่สังเกตเห็นย่อมเป็นเรื่องยาก
นางมารผู้นั้นเดิมทีสมควรจะหลบหนีไปแล้ว นางย้อนกลับมาได้อย่างไร?
ในตอนนั้นเอง แม้ว่าเหล่าเทพจะสังเกตเห็นนาง แต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดสามารถสกัดนางได้ทัน
ตี้เสียเองก็ทรงทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว วินาทีที่มองเห็นนางพระทัยของพระองค์ก็ต้องกระตุกขึ้นมา
นางกลับมาแล้ว….เป็นเพราะในใจสำนึกผิด บังเกิดความละอาย คิดจะกลับมาขอโทษพระองค์?
หากว่านางขอโทษอย่างจริงใจ บางทีพระองค์อาจจะยอมใคร่ครวญดูสักหน่อย ยอมฝืนพระทัยให้อภัยการทรยศหักหลังของนาง ที่ทำร้ายความรักของพระองค์
ขอเพียงแค่ตลอดชีวิตที่เหลือนางยอมอยู่ข้างกายพระองค์อย่างว่าง่ายเชื่อฟังไปตลอดกาล ในหัวใจไม่มีความคิดถึงผู้อื่นผู้ใดอีก พระองค์ก็จะมอบทางรอดแก่นางสายหนึ่ง
………………..
พริบตาที่ตู๋กูซิงหลันพุ่งผ่านอากาศและเศษซากที่ปลิวว่อนเข้ามา จีเฉวียนก็เงยหน้าขึ้นมอง ในสายตาของเขามีแต่นางเพียงผู้เดียว
แม้ว่าร่างของนางจะรวดเร็วปานสายฟ้าพาดผ่าน แต่ว่าในสายตาของจีเฉวียนกลับดูเชื่องช้ายาวนานราวกับชั่วชีวิต
พริบตานั้น เขาก็สลายหมอกสีดำทั่วร่างออกไปจนหมดสิ้นในทันที กลัวจะทำให้นางต้องรับบาดเจ็บไปด้วย
กระทั่งเมื่อสาวน้อยพุ่งเข้ามากระแทกใส่ทรวงอกของเขาอย่างเต็มรัก สองแขนดั่งรากบัวโอบล้อมลำคอของเขาเอาไว้ ถึงได้ทำให้เขาถูกดึงกลับมาจากภาพฝันของตนเอง
แม้จิตวิญญาณจะเบาหวิว แต่ว่านางก็คือผู้แข็งแกร่ง ยามที่พุ่งเข้ามา ย่อมต้องมีพลังอยู่ระดับหนึ่ง กระแทกจนร่างของจีเฉวียนลอยถอยหลังไปช่วงหนึ่ง
ศีรษะของตู๋กูซิงหลันซุกอยู่บนอกของเขา จมูกน้อยๆสูดดม ส่งเสียงปานจะร่ำไห้ออกมา
“ข้าคิดถึงเจ้ามาก! คิดถึงแทบตายแล้ว! คิดถึงๆสุดๆๆๆ!”
ทันทีที่พุ่งเข้าใส่จีเฉวียน ความตื่นเต้นยินดีและน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมด ก็ไม่อาจอัดอั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ในดวงตามีแต่หยดน้ำเอ่อล้น พรั่งพรูลงมาเป็นสาย
มีแต่อยู่ต่อหน้าเขา ตู๋กูซิงหลันถึงไม่ต้องเก็บงำความรู้สึกใดๆของตนเอง นางอยากจะร้องไห้ ก็สามารถสามารถร้องไห้ให้ดังสุดเสียง
ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเหล่าทวยเทพ นางกลับร่ำร้องราวเด็กน้อย ที่กำลังทั้งโศกเศร้า เจ็บใจและงอแง
เมื่อไม่มีหมอกสีดำคอยบดบัง เหล่าเทพย่อมสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
หมัดน้อยๆของนางทุบลงไปบนอกของจีเฉวียนอย่างถี่ยิบ “เจ้าทำไมถึงได้ไปนาน…..นานขนาดนี้พึ่งจะกลับมา….”
นางเคยคิดว่าเขาตายไปแล้ว คิดว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
จีเฉวียนหลุบตาลง มองดูสาวน้อยที่เขาได้จากไปและกลับคืนมาหานาง แววตาหงส์ที่เย็นชาพลันเปลี่ยนเป็นแสงอันอบอุ่นนุ่มนวล
……………………………..