ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 68 คืนนี้ มันจะกินให้อิ่มเลย
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มบางๆ ในดวงตาสะท้อนความเย็นชาวูบหนึ่ง “ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้เราก็เคยเกลียดเจ้า ย่อมไม่ถือโทษเจ้าเช่นกัน”
ตู๋กูเหลียน “…….”
ดู๊ดูนังสวะนี่สิ มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องเสแสร้งทำตนเป็นคนดีที่สูงส่ง น่ารังเกียจนัก!
น่าเสียดายที่กระดิ่งของนางถูกมันยึดไปเสียแล้ว นางก็ไม่กล้าบังคับขอคืน จำต้องอดทนฝืนตอบไปว่า “ขอเพียงพวกเราเกลี้ยกล่อมฉีผินได้ ให้นางสารภาพว่าเป็นเต๋อเฟยที่บงการ ตัวอันตรายเช่นเต๋อเฟยก็ต้องถูกกำจัดแน่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใช่สายตากระจ่างใสปานท้องฟ้าสอบถามนาง “ไยจึงต้องทำเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ในเมื่อตอนนี้เจ้าก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเราแล้ว แค่เจ้ากราบทูลฝ่าบาท ก็เพียงพอแล้วละมั้ง? “
“พี่สาว ท่านนี่โง่ไปแล้วหรือ? พวกเราต่างก็เป็นคนตระกูลตู๋กูเหมือนกัน เอาคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐานของข้าไปชี้ตัวเต๋อเฟย? ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อหรือเจ้าคะ? “
ตู๋กูเหลียนแทบอยากจะบ้าตายเพราะความโง่เง่าของนางแล้ว
ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วขณะ ค่อยได้สติกลับมา นางนวดขมับแรงๆ หลายครั้ง “เจ้าพูดถูกแล้ว เป็นข้าที่คิดง่ายเกินไป”
พอนางออกปากเช่นนี้ดวงตาของตู๋กูเหลียนก็ส่องประกายของความสมใจขึ้นมาวูบหนึ่ง นางบอกแต่แรกแล้ว ว่านางคนไม่ได้เรื่องเนี่ยเอาสมองไปแลกกับหน้าตามา ดูสิ แค่พูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้นางคล้อยตามได้แล้วไม่ใช่หรือ?
“โชคดีที่พี่สาวท่านออกจากวังมาช่วงนี้พอดี คราวนี้พวกเราจะได้มีโอกาสไปที่กรมราชทัณฑ์ ขอเพียงท่านไปรับปากกับฉีผินจะช่วยรักษาชีวิตนางด้วยตัวเอง ปกป้องครอบครัวนางให้ปลอดภัย ข้าเชื่อว่าฉีผินจะต้องยอมชี้ตัวเต๋อเฟยแน่” ตู่กูเหลียนชักชวนอย่างมุ่งมั่น
พูดจบแล้ว นางก็ล้วงเอาจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “อย่าว่าแต่…….ฉีผินเองก็เคยขอร้องข้า ให้ข้านำจดหมายนี้มาให้ท่านเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเกลียดชังท่าน ไม่คิดจะมอบมันให้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว….”
พูดแล้วนางก็มอบจดหมายให้ตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันเปิดออกดู เห็นเพียงบนกระดาษมีอักษรหวัดๆ ว่า “ไทเฮา โปรดช่วยชีวิตหม่อมฉัน”
“ข้าคิดว่านางคงจะคิดได้แล้ว รู้ดีว่ามีแต่พี่สาวถึงจะช่วยชีวิตนางได้ ถึงได้รีบออกตัวขอร้อง ” ตู๋กูเหลียนว่าต่อ “ในเมื่อฉีผินเองก็มีใจคิดขอร้อง เช่นนี้พี่สาวก็ยิ่งสามารถเกลี้ยมกล่อมนางได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ? “
คำพูดของนางเปี่ยมไปด้วยเหตุผล นางไม่เชื่อหรอกว่าตู๋กูซิงหลันจะไม่หลงเชื่อ
ว่าแล้วไง เพียงแค่ได้เห็นจดหมายสีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็พลันเปลี่ยนไป หางตาหัวคิ้วของนางเผยความคิดว่าเชื่ออย่างสนิทใจออกมา “ฉีผินคนนี้ก็เป็นคนที่รู้คิด ขอเพียงนางยอมรับแต่โดยดี เราย่อมต้องช่วยนาง”
“อ้ายหยา งั้นพี่สาวท่านยังรออะไรอยู่อีกละเจ้าคะ? ฉวยโอกาสที่ฟ้ายังมืดค่ำ ผู้คนบางตา พวกเรารีบไปที่กรมราชทัณฑ์ หากรอจนฟ้าสว่างก็คงไม่ทันแล้ว ” ตู๋กูเหลียนดึงแขนเสื้อนางอย่างร้อนรน
กรมราชทัณฑ์อยู่นอกวัง ห่างจากจวนตระกูลตู๋กูไปไม่ไกล เพียงแค่ถนนข้างๆ เท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันก็ทำท่าพึ่งจะคิดได้ในตอนนั้นเอง “ใช่ๆๆ รอช้าไม่ได้ พวกเรารีบไปกัน”
ว่าแล้ว นางก็รีบลงจากเตียง คว้าเอาเสื้อคลุมได้ตัวหนึ่งออกไปอย่างรีบร้อน
เดินพลางเร่งตู๋กูเหลียนไปตลอดทาง “น้องสาว เจ้าเร็วหน่อย”
ตู๋กูเหลียนมองตามเงาหลังของนางที่ออกไปอย่างผลุนผลัน มุมปากก็ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา นังโง่เอ๋ย …..ออกไปตายด้วยสภาพแบบนี้ช่างน่าดูแท้ๆ
วิญญาณผีตายโหงบนหลังของนางก็แสยะยิ้มสยดสยอง
คืนนี้ มันจะกินให้อิ่มเลย
………………………………………
ค่ำคืนนี้คล้ายจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ ยามที่ตู๋กูซิงหลันออกไปนั้น แม้แต่ดวงดาวก็ดูจะถูกก้อนเมฆบดบังเอาไว้
ประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ปิดสนิท ด้านหน้าประตูแขวนโคมใหญ่สีขาวซีดจางเอาไว้สองดวง โคมถูกลมพัดจนแกว่งไปมาทั้งซ้ายและขวา ลมหนาวพัดผ่านซอกคอเข้าไปข้างในตัว พาลให้คนรู้สึกเจ็บแสบไปทั้งผิวกาย
ตู๋กูเหลียนท่าทางคุ้นเคยกับที่นี่เป็นพิเศษ พาตู๋กูซิงหลันเข้าไปทางประตูเล็กๆ บานหนึ่ง พูดไปก็ช่างประหลาดนัก กรมราชทัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่แท้ๆ กลับมีเวรยามเพียงน้อยนิด ต่อให้บังเอิญพบเจอ แต่ละคนก็ง่วงเหงาหาวนอนดุจหมาเฝ้าหลับ
กระทั่งพวกนางเข้าไปจนถึงคุกจองจำภายใน ได้เจอฉีผินแล้ว ก็ยังไม่มีใครพบเห็นพวกนาง
“พี่สาว พวกเราช่างโชคดีนักเจ้าค่ะ “
“จริงด้วย เพราะเจ้าช่วยแท้ๆ ” ตู๋กูซิงหลันหันมายิ้มให้
นางหันหลังให้ตู๋กูเหลียน มองตรงไปยังฉีผินที่ถูกขังอยู่ในคุก
ครั้งก่อนตอนที่เจอฉีผินในคุกของวังหลวงนั้น นางเพียงแต่เปลือยหน้าปลดเครื่องประดับ จะอย่างไรยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่าพอถูกย้ายมาที่กรมราชทัณฑ์นี้แล้ว จะถูกทรมานจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเช่นนี้ ผมเผ้ารุงรังทั่วใบหน้า ดวงตาแทบปูดโปนออกมา ไหนเลยจะมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่
“ฉีผิน ” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงเรียกนางครั้งหนึ่ง
ฉีผินที่คุดคู้อยู่มุมหนึ่งก็ขยับคอขึ้นมา ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินกระปกกระเปรี้ยเข้ามาหานาง ยื่นสองมือที่ผอมแห้งออกมานอกลูกกรง บนเล็บดำยาวสกปรกมีกระทั่งตัวหนอนเกาะอยู่
ดวงตาที่ปูดโปนนั่นจดจ้องมาที่ตัวของตู๋กูซิงหลัน
ถูกขังอยู่ในคุกได้รับความทุกทรมานมากมาย ในที่สุดก็รอคอยจนนังตัวร้ายนั้นมาตายแล้ว
เพื่อวงศ์ตระกูลแล้ว นางกัดฟันไม่แพร่งพรายสิ่งใดออกไปแม้สักครึ่งคำ แต่อย่างไรก็ไม่อาจทนรับความทรมานขนาดนี้ได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องที่คนชุดดำนั่นบอกให้ตอนที่อยู่ในคุกของวังหลวง คนชุดดำนั่นบอกไว้ว่า หากอยากรอดชีวิต ให้ไปหาไทเฮา
อ่า……..ตู๋กูเหลียนเป็นเพียงแค่ไทเฮาในตำหนักเย็นเท่านั้น จะช่วยนางสำเร็จได้อย่างไร?
คนเดียวที่จะช่วยเหลือนางได้ ก็คือเต๋อเฟยเท่านั้น
เพราะเช่นนี้นางจึงติดต่อกับซิ่วเหอคนสนิทข้างกายของเต๋อเฟย บอกเล่าเรื่องราวของคนชุดดำให้ฟัง
ซิ่วเหอผู้นั้นเป็นคนเฉลียวฉลาด บอกให้นางวางแผนซ้อนแผน หากว่านางสามารถล่อลวงตู๋กูซิงหลันออกมาได้ละก็ พระสนมเต๋อเฟยจะช่วยเหลือนางออกไปโดยไม่เสียดายกับการต้องแลกสิ่งใด ทั้งยังจะปกป้องครอบครัวของนางทั้งหมดให้ปลอดภัย
ตอนแรกนางคิดว่า ตู๋กูซิงหลันจะจิตใจดีและโง่เขลาถึงขนาดไหนกัน? จึงจะยอมมาช่วยเหลือนาง”
แต่นังนี่กับโง่เง่าถึงที่สุด ถึงกับมาที่นี่จริงๆ
ทุกวันนี้ที่นางต้องตกต่ำจนเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นความผิดของนังคนชั่วนั่น! มันถึงจะเป็นคนที่สมควรจะต้องถูกจับขังทรมาณอยู่ในคุกที่มืดมิดและเน่าเหม็น!
ตู๋กูซิงหลันมองเห็นสายตาที่ทอประกายอำมหิตอย่างรุนแรงของนาง ก็กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “เรามาเพื่อช่วยเจ้า”
“ใช่แล้วพี่สาวฉีผิน พี่สาวของข้าสงสารเจ้า พอได้รับจดหมายของเจ้าก็รีบร้อนมาโดยทันทีเลย ” ตู๋กูเหลียนที่อยู่ข้างๆ รีบพูดพลาง ฉวยจดหมายฉบับนั้นออกมาให้ดู
ฉีผินหันไปมองนางวูบหนึ่ง ท่าทางที่น่ากลัวประหนึ่งภูติผีของนาง ดูแล้วคุกคามผู้คนยิ่งกว่านางเสียอีก
ในเมื่อจดหมายนั้นส่งถึงมือนางได้ แสดงว่าตู๋กูเหลียนกับเต๋อเฟยคงร่วมมือกันแน่
ฉีผินจึงตอบว่า “สถานที่แบบนี้ข้าไม่อยากอยู่ต่อไปแม้เพียงครู่เดียว ขอไทเฮาทรงช่วยข้าออกไปโดยเร็ว ท่านอยากรู้อะไรข้าจะบอกท่านทั้งหมด”
พอนางพูดจบตู๋กูเหลียนที่ฟังอยู่ก็หัวเราะออกมา “พี่สาวฉีผิน ท่านจะรีบไปไหนกัน พี่สาวของข้าเป็นถึงไทเฮา ย่อมมีความสามารถที่จะช่วยเหลือท่านได้แน่”
นางพูดไปก็ลูบบ่าไหล่ของของตู๋กูซิงหลันไปด้วย “พี่สาว ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ? “
ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ผีตายโหงในชุดแดงด้านหลังก็อาศัยมือของนางคืบคลานตามออกไปเสมือนกิ่งไม้ที่เหยียดยาวทอดไปยังตัวตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่กับที่ เพียงรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเกิดความหนาวเย็น ความเย็นสะท้านขุมหนึ่งกดทับลงมา ยามนี้กว่าครึ่งร่างของผีตายโหงนั่นปีนมาอยู่บนตัวของนางแล้ว