ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 714 ค่ำคืนในต้นเดือนแปด
มารอสูรมีคำพูดอยู่เต็มท้อง แต่กลับถูกนางห้ามจนไม่อาจพูดอะไรได้อีก
มันได้แต่คิดว่าเป็นเพราะ จิตมารของนางยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาทั้งหมด
รอให้ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ องค์หญิงก็จะไม่ทรงคิดเช่นนี้อีกต่อไป
………………..
พระตำหนักตี้หัวกง ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนอุ้มกลับมา
สุราของหยวนเมิ่งมีฤทธิ์รุนแรง ตู๋กูซิงหลันดื่มไปครึ่งไหยังเมามายจนรู้สึกย่ำแย่
พอกลับมาก็อาเจียนไปยกใหญ่ เดิมทีจีเฉวียนคิดจะไปต้มน้ำแกงสร่างเมาให้กับนางด้วยตนเอง แต่คนยังไม่ทันจะได้ไป ก็ถูกนางรั้งเอาไว้เสียแล้ว
สองมือของนางกำแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น น้ำเสียงยังออดอ้อนราวเด็กน้อย “พี่ชายคนงามอย่าไปเลยนะ”
จีเฉวียนที่ยังไม่ทันจะได้เดินไปสักก้าว จึงได้แต่นิ่งอยู่ที่เดิม
พอถอยเท้ากลับมาก้าวหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ลากคนกลับมาที่ข้างกาย ยื่นมือขึ้นไปคล้องคอของเขาเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆเบียดเข้าไปในอ้อมอกของเขา ทั้งยังซุกไซร้ไปทั่ว
“ร้อนจังเลย อยากนอนกับพี่ชายนะ”
ใบหน้าของนางร้อนระอุ ยามสัมผัสกับลำคอของเขากลับเหมือนไฟที่เผาผลาญลงไปถึงหัวใจ
แต่เขาก็ไม่อาจผลักไสนางออกไปได้
มือของนางก็อยู่ไม่สุข เพราะร่างกายกำลังร้อนรุ่มไปหมดแล้ว สองมือนั้นจึงสอดแทรกเข้าไปในสาบเสื้อของเขา ลูบคลำทรวงอกของเขาสัมผัสอย่างใกล้ชิด
ยามนี้ ร่างกายของจีเฉวียนเย็นฉ่ำดุจเนื้อหยกในฤดูหนาว ตู๋กูซิงหลันชมชอบความรู้สึกเช่นนี้อย่างยิ่ง พอได้ลูบไล้ ต่อให้ตีจนตายนางก็ไม่ขอปล่อยมือ
จุดนี้ลูบจนอุ่นแล้ว ก็ย้ายไปอีกจุดหนึ่ง
ทั้งยังลูบไล้จากตรงบริเวณหัวใจ ไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆ
ผิวพรรณของจีเฉวียนเรียบลื่น ให้สัมผัสบนมือที่ดีอย่างยิ่ง ตู๋กูซิงหลันลูบไล้อย่างหลงใหล นั่นก็แล้วไปเถอะ แต่นางกลับขบกัดอยู่เรื่อยๆอีกด้วย
ลมหายใจของจีเฉวียนแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหายใจลึกและรุนแรงขึ้นมา
สองมือที่อยู่ไม่สุขนั้นเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถูกเขาหยุดเอาไว้
“ซิงซิง คืนวันที่แปด ถึงจะทำเรื่องเช่นนั้นได้”ช่วงสั้นๆที่ผ่านมานี้ เขาเองก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาคิดหาหนทางที่จะฟื้นฟูจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของนางอยู่เสมอ
วิธีที่รวดเร็วที่สุด ก็คือใช้จิตบำรุงจิต เสาะหาจิตวิญญาณของคนที่คล้ายคลึงกัน นำจิตวิญญาณส่วนหนึ่งมาหล่อหลอมเพื่อซ่อมเสริม
ส่วนผู้ที่ถูกนำจิตวิญญาณออกไป จำเป็นต้องได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณที่เข้มข้นช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงจะสามารถฟื้นฟูได้ดังเดิม
นี่นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ จะไปเสาะหาคนที่มีจิตวิญญาณที่เหมือนกับนางได้จากที่ใด
ซิงซิงของเขาโดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ในใต้หล้าแห่งนี้เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดที่มีจิตวิญญาณที่งดงามเหมือนกับนางอีกแล้ว
หากไม่อาจหาคนเช่นนั้นได้ เขาก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีที่สอง
เพียงแต่ว่าวิธีนั้น…..ออกจะโหดร้าย ทั้งยังต้องแลกเปลี่ยนด้วยมูลค่ามหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้
“ทำไมต้องรอคืนวันที่แปดถึงจะทำได้?” ตู๋กูซิงหลันในยามนี้ แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็เจือกลิ่นสุราที่เข้มข้น
แต่ว่าดวงตาดอกท้อคู่นั้นกลับบริสุทธิ์สดใสอย่างยิ่ง
จีเฉวียนคว้ามือเล็กๆที่ไม่อยู่สุขของนางเอาไว้ “วันที่แปดคือคืนวันเข้าหอ”
ตู๋กูซิงหลัน “อืม คืนวันเข้าหอคืออะไร กินได้ไหม?”
“แน่นอนว่าสามารถกินได้” จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ ขอเพียงเป็นนาง แม้แต่กลิ่นสุราก็ยังหอมหวน
กับตู๋กูซิงหลันแล้ว จีเฉวียนให้ความสำคัญและเคารพในตัวนางอย่างหนักแน่น เขาต้องการมีสัมพันธ์กับนางในยามที่นางมีสติแจ่มใสเท่านั้น
พอได้ฟังว่ามีของกิน นางก็ดีใจที่สุด “แสดงว่ามีเนื้อเยอะแยะเลยใช่ไหม?”
จีเฉวียน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ผงกศีรษะ “เยอะมาก แต่ต้องกินด้วยกันกับข้านะ”
“อย่างนั้นก็อยากให้ถึงคืนเข้าหอเร็วๆจังเลย นู๋อยากกินเนื้อกับพี่ชาย!”
จีเฉวียนถึงกับหัวเราะออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งพอใจและเอาใจ
ฝ่ามือของเขาปรากฏพลังวิญญาณขุมหนึ่งขึ้นมา พลังอบอุ่นไหลเข้าสู่ร่างกายนางช้าๆ ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ง่วงงุนจนหลับใหลไป
เห็นนางหลับสนิทแล้ว จีเฉวียนจึงค่อยลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ย่างเท้าออกไปจากห้อง ต้มน้ำแกงสร่างเมาให้กับนาง
…………………….
ดึกสงัด คืนนี้ยังคงมืดมิดจนแทบจะไม่มีแสงดาว
จีเฉวียนลุกขึ้นมาต้มน้ำแกงสร่างเมาให้กับตู๋กูซิงหลันกลางดึก หลี่กงกงกับหลงเซียวเฝ้ารับใช้อยู่ด้านข้าง ทั้งสองต้องถอนหายใจออกมา
ผ่านเรื่องราวมากมายหลายทั้งใหญ่น้อยไปหลายรอบ ในที่สุดฝ่าบาทก็จับไทเฮาน้อยไว้จนอยู่หมัด
ดูเอาเถอะ หากว่าเป็นเมื่อสามปีก่อน พวกเขาหรือจะเชื่อว่า ฝ่าบาทจะทรงรักใคร่โปรดปรานไทเฮาน้อยจนถึงเพียงนี้?
หลงเซียวมองดูรอบๆห้อง ฝ่าบาททรงขลุกพระองค์อยู่ในห้องเครื่อง ถึงแม้ว่าพระพักตร์นั้นยังคงไร้พระอารมณ์ใดๆดังเช่นเก่า แต่ว่าตอนนี้สามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวแล้ว
สายลมโชยมา พัดพาเสียงใบไม้มาดังซู่ซู่ แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่สายลมยามดึกเช่นนี้ยังหนาวจนคนแข็งได้
“ลมนี่มันพัดแปลกๆ เหมือนจะพัดผ่านลำคอไป หนาวจนคนจะแข็ง” หลี่กงกงซุกสองมือเข้าไปในแขนเสื้อ เขาขยับเข้าไปใกล้หลงเซียวอีกเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นกวาดมองออกไปยังรอบด้าน
หลงเซียวอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นมา เขาชักจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไรนัก
พอสำรวจดู ก็เห็นว่าสายลมนั้นพัดเย็นกว่าเดิม เพียงครู่เดียว ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งสีดำเย็นๆขึ้นมาชั้นหนึ่ง
หลงเซียวรีบคว้าหลี่กงกงถอยหลบออกไป
แต่ถอยไปไม่ทันกี่ก้าว น้ำแข็งสีดำนั่นก็เพิ่มพูนขึ้นมา ยึดพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้
ทั้งสองคนถึงกับส่งเสียงร้องไม่ทัน
น้ำแข็งสีดำนั้นยังแผ่กระจายเข้าไปในห้องเครื่อง และที่ติดตามมาพร้อมๆกันคือเงาร่างสีดำเงาหนึ่ง
จีเฉวียนพึ่งจะต้มน้ำแกงสร่างเมา ตอนนี้ดวงหน้าที่งดงามไร้ที่เปรียบ ถึงกับมีเขม่าควันจับที่สองข้างแก้ม
เขาไม่เคยเข้าครัวมาก่อน แต่เพื่อตู๋กูซิงหลันแล้ว กลับมีหลายต่อหลายสิ่งที่ล้วนเป็นครั้งแรก
พอในมือประคองน้ำแกงสร้างเมาเอาไว้ชามหนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นก็ต้องอึมครึมลง
ฝ่ามืออีกข้างโบกขึ้นมา พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกไป ปลดปล่อยหลี่กงกงและหลงเซียวออกจากแผ่นน้ำแข็งในชั่วพริบตาเพียงแต่ว่าทั้งสองคนตัวแข็งไปแล้ว จึงยังไม่รู้สึกตัว
เงาสีดำนั่นเข้าไปในห้องเครื่อง จากนั้นก็สร้างเขตอาคมขึ้นมา แบ่งแยกห้องเครื่องกับโลกภายนอกออกจากกัน
จีเฉวียนยืนอยู่หน้าเตาไฟ เส้นผมยาวของเขาพลิ้วไปตามสายลม
ในความมืดมิดนั่น มีเสียงที่อบอุ่นนุ่มนวลดั่งหยกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ฝ่าบาท จากกันเนิ่นนานสบายดีหรือ”
จีเฉวียนไม่ตอบ ไฟในเตายังคงลุกโชนอยู่ แม้ไม่ถึงกับแสบตา แต่ก็สว่างไสว
เมื่อเงาสีดำนั้นเข้าใกล้ยิ่งขึ้น แสงสว่างก็สาดส่องลงมาบนร่างของเขา
ใบหน้าที่ดูคุ้นเคยนั้น หล่อเหลานุ่มนวลดุจหยก แต่ดวงตากลับมิได้เย็นฉ่ำดุจสายน้ำอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งประกายสดใสในดวงตาก็ยังจางไป หางตาเพิ่มรอยสีแดงกว่าเดิม
เขามิได้อ้วนอีกต่อไปแล้ว รูปร่างผอมสูง อย่างคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่ง
เพียงแต่เสื้อผ้าที่เคยเป็นสีม่วงตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งร่าง พละกำลังภายในร่างก็ยิ่งเพิ่มพูน
จีเฉวียนเหลือบมองเขาอย่างเฉยชา ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แววตามิได้เปลี่ยนแปลง
“ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนานจริงๆ”
พักใหญ่ เขาถึงได้ตอบกลับไปคำหนึ่ง
น้ำเสียงเหมือนพูดคุยกับคนแปลกหน้า
ฉางซุนซิ่วกลับไม่อาจสงบใจให้นิ่งได้ เขาจ้องมองไปที่จีเฉวียน “เดิมทีข้าคิดว่า เมื่อเจ้าได้พบข้าอีกครั้ง จะต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะตอนนั้น เจ้าถึงกับเอาชีวิตข้าไปครึ่งหนึ่ง ทั้งยังขังข้าเอาไว้ที่นั่น เหมือนตายทั้งเป็น”
จีเฉวียน “ตอนนี้เจ้ากลับอยู่อย่างสุขสบายดี”
………………..