ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 715 จีเย่กลับมาแล้ว
ขณะที่เขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป ผลึกส่องมารในอ้อมอกก็สว่างวาบขึ้นมา มันทำปฏิกริยากับไอมารในร่างของฉางซุนซิ่ว
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ตอนนั้นเขาเป็นคนตัดเอ็นร้อยหวายของฉางซุนซิ่วด้วยตนเอง แต่ว่าตอนนี้เขากลับสามารถยืนได้อย่างมั่นคง เดินได้อย่างคล่องแคล่ว
“เจ้ากับนังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่น ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างดี แล้วข้าจะไม่อยู่ให้ดีได้อย่างไร”
ฉางซุนซิ่วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาชั่วร้าย เขายืนตัวตรงอย่างมั่นคงอยู่ตรงเบื้องหน้าจีเฉวียน
สงครามที่เมืองต้าเหยียนในตอนนั้น เขาถูกจีเฉวียนตัดเอ็นร้อยหวายทิ้ง ขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของวังหลวง ตลอดสองปีมานี้ เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานราวกับมิใช่คน
ความเครียดแค้นในหัวใจยิ่งทีก็ยิ่งลึกล้ำกว่าเดิมและเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน จิตมารซึมลึกถึงกระดูกไปนานแล้ว เดิมทีเขาก็ถูกฟ่านอิงเลี้ยงเอาไว้เป็นลูกมือ จึงมีจิตมารบ่มเพาะอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
และตอนนี้ ก็เป็นเพราะจิตมารนั่น จึงทำให้เขาสามารถอาศัยการกลายเป็นมารเพื่อเกิดใหม่อีกครั้ง ดีหรือไม่?
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ทำให้น้องสาวที่ ‘เกิดใหม่’ อย่างยากลำบากของเขาต้องตายไปอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ยังต้องแบกรับชื่อเสียงอันเน่าเฟะในฐานะ ‘สนมชั่วที่ล่มบ้านเมือง’ อีกด้วย
เขาเพียงแค่แกล้งทำเป็น ‘โปรดปราน’ น้องสาว เพื่อใช้ชื่อของนางมาสร้างแรงกดดันและสลายวังหลังออกไป เพื่อเปิดทางให้กับตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
น้องสาวของตน กลับถูกสองคนนนี้เหยียบย่ำขึ้นไปทั้งเป็น!
บุรุษผู้นี้ ไร้หัวจิตหัวใจอย่างแท้จริง
ฉางซุนซิ่วพึ่งพาแรงแค้นเหล่านี้เพื่อพยุงชีวิตของตนต่อไป
ทันทีที่เขาพูดจบ จีเฉวียนก็พุ่งมาถึงที่ด้านหน้าของตน
จีเฉวียนตวัดมือขึ้นมา บีบลำคอของฉางซุนซิ่วเอาไว้ “เจ้าคิดว่า เราไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆงั้นรึ?”
สำหรับจีเฉวียนแล้ว เขาจะไม่ยอมทนให้ผู้ใดลบหลู่ตู๋กูซิงหลันแม้แต่น้อย
‘นังแพศยา’ สองคำนั่น จะเอามาใช้กับนางไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เดิมทีฉางซุนซิ่วคิดจะหลบหลีก แต่ว่าความเคลื่อนไหวของจีเฉวียนนั้นรวดเร็วจนเขาไม่ทันแม้แต่จะมีปฏิกริยาใดๆ
หัวใจของเขากระตุกวูบ ตะลึงมองดูใบหน้าไร้ความรู้สึกของบุรุษที่งดงามล้ำโลกผู้นี้
ในดวงตาหงส์คู่นั้น เปี่ยมไปด้วยไอสังหารท่วมท้น ไอสังหารที่คิดฆ่าคนให้ตายคาที่ไปจริงๆ
มือของจีเฉวียนเพิ่มกำลังมากกว่าเดิม ใกล้จะเค้นลำคอของเขาให้ขาดสะบั้นเข้าไปทุกที
ฉางซุนซิ่วหายใจขาดช่วง “เจ้า…สตรีที่เจ้ามีใจให้เพียงผู้เดียว …..นางไม่ใช่ตู๋กูซิงหลันตัวจริง!”
เขาพูดพลาง ขับไอสีดำออกมาจากร่างจนท่วมท้น
จีเฉวียนขมวดคิ้วมุ่น ปลายนิ้วที่บีบลำคอของเขาเอาไว้ คลายออกเล็กน้อย
“ที่เจ้าบุกมาหาเราอย่างอาจหาญเช่นนี้ ก็เพื่อจะพูดเพียงไม่กี่คำนั้น?” น้ำเสียงของเขาเย็นชาเป็นน้ำแข็ง ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจจะเหลือบมองเขาอีกต่อไป
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฉางซุนซิ่ว จบสิ้นไปตั้งแต่ศึกในแคว้นเหยียนตอนนั้นแล้ว ระหว่างพวกเขาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
เขาอาศัยชีวิตของชาวเมืองในแคว้นเหยียนมาแพร่กระจายพิษร้ายสร้างศพคืนชีพขึ้นมา ทำร้ายราษฎรต้าโจวไปนับไม่ถ้วน ความผิดที่ร้ายแรงเช่นนี้ สมควรต้องตายตั้งแต่แรกแล้ว
ที่ละเว้นชีวิตของเขาไว้ ก็เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์และน้ำใจที่เคยมีระหว่างกันในอดีต
แต่น้ำใจนี้ จีเฉวียนชดใช้ให้หมดแล้ว
ยามนี้เขามองดูฉางซุนซิ่ว เป็นเพียงแค่คนที่พบเจอกลางทางเท่านั้น
พอมือของเขาคลายออก ฉางซุนซิ่วก็รีบฉวยโอกาส ดิ้นหลุดออกจากการควบคุมของเขา ถอยหนีไปจนไกล
กระทั่งอยู่ในจุดที่รู้สึกว่าปลอดภัย เขาถึงได้หัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “นางคือตัวปลอมตั้งแต่หัวจรดเท้า นางหลอกลวงเจ้า เป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อนไร้หัวนอนปลายเท้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นที่ร่างหลักฆ่าตัวตาย ก็ฉวยโอกาสยึดเอาร่างกายมา!”
“เจ้าเงียบงันพูดอะไรไม่ออกเช่นนี้ คงเพราะไม่เคยรู้ความจริงมาก่อนสินะ?”
ฉางซุนซิ่วยืนตัวตรงดุจพู่กัน สตรีที่เจ้าตกหลุมรักผู้นั้น ที่จริงแล้วเป็นแค่คนหลอกลวง!
จีเฉวียนจ้องมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าของเขายังคงเยือกเย็นดุจแท่งน้ำแข็ง “เจ้ายังรู้อะไรมาอีก?”
“โกรธกริ้วแล้วหรือ?” ฉางซุนซิ่วพอใจกับปฏิกริยาของเขามาก สิ่งที่ตนต้องการ ก็คือทำให้จีเฉวียนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนังผู้นั้น!
ตนต้องการให้เขาสำนึกเสียใจ เสียใจในสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมด!
“สิ่งที่ข้ารู้มีมากมาย ข้ายังรู้ด้วยว่าวันที่แปดนี้พวกเจ้าจะแต่งงานกัน”
เขายังคงหัวเราะเสียงเย็นต่อไป “เจ้าว่า หากถึงวันที่แปดนั่น แล้วทุกคนได้รับรู้ว่านางคือของปลอม งานแต่งงานของพวกเจ้ายังจะสำเร็จอีกหรือ?”
“เกรงว่าแค่เหล่าราษฎรทั้งหลายถ่มน้ำลายออกมา ก็เพียงพอจะให้นางจมน้ำตายแล้วกระมั้ง!”
เพื่อวันนี้ เขาถึงกับเตรียมการเอาไว้มากมาย!
อีกเพียงแค่สามวันก็จะถึงวันที่แปดแล้ว ที่เขามาพบจีเฉวียนในตอนนี้ ก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต จึงคิดจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง
“ตอนนี้เจ้าก็ได้รู้ว่านางคือของปลอมแล้ว เจ้าก็สมควรนำทุกสิ่งที่เคยเป็นของเจ้ากลับมา ปกครองบ้านเมืองของเจ้าอีกครั้ง!”
จนถึงตอนนี้ฉางซุนซิ่วยังไม่อาจให้อภัยเรื่องที่เขาส่งมอบใต้หล้าให้กับตู๋กูซิงหลัน
สายตาของจีเฉวียนยังคงเย็นชา “เจ้ามีหลักฐานใดมาพิสูจน์ว่า นางเป็นตัวปลอม?”
ฉางซุนซิ่วเข้าใจในตัวเขาเป็นอย่างดี เขารู้ว่า คนอย่างจีเฉวียนมีจิตใจที่หนักแน่นเพียงไหน หากว่าตนเองไม่อาจนำสิ่งใดมาพิสูจน์ เขาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “จีเย่”
จีเฉวียนไม่ได้ขัดคำพูดเขา เพียงรอฟังเขาว่าต่อไป
“เจ้าอย่าได้ลืมสิว่า คนที่ตู๋กูซิงหลันเคยรักมากที่สุดก็คือ จีเย่”
จีเฉวียน “นั่นแล้วจะอย่างไร?”
“ในใต้หล้านี้ เกรงว่า จีเย่ ยังรู้จักตู๋กูซิงหลันยิ่งกว่าคนตระกูลตู๋กูเสียอีก….” ฉางซุนซิ่วหรี่ตาลง “เขาคือลูกหลานของศพคืนชีพ เดิมทีย่อมมีจิตมารกลืนร่างอยู่แล้ว ตอนนี้ใต้หล้ามีไอมารเพิ่มพูน เช่นนี้ในไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมต้องเข้าสู่เส้นทางสายมารอย่างแน่นอน”
“เรื่องบังเอิญก็คือ ข้ากับเขามีการติดต่อกัน เขายืนอยู่ฝั่งข้า รอให้ถึงวันแต่งงานของเจ้ากับนังตัวปลอมนั่น เขาก็จะเปิดโปงฐานะของนางด้วยตนเอง”
คราวนี้หัวคิ้วของจีเฉวียนถึงได้ขมวดมุ่นจนห้ามไม่อยู่ขึ้นมา
จีเย่ ก่อนนี้ถูกเขาขับไล่ไปไกลจนถึงซีเหลียงแล้วนี่
หรือใจของเขายังไม่คิดจะยอมแพ้ ถึงได้มีการติดต่อกับฉางซุนซิ่ว?
ฉางซุนซิ่วว่าแล้วก็หยิบเอาตราประทับดวงหนึ่งออกมา
บนตราประทับนั่น มีอักษร ‘หนานตูจวิน’ สามตัวสลักเอาไว้
ถึงแม้ว่าท้องที่ต่างๆจะอยู่ใต้การปกครองของตู๋กูซิงหลันทั้งหมด อำนาจของผู้ปกครองท้องถิ่นสลายไปแล้ว แต่ว่าตราประทับนั่นก็ยังคงอยู่กับพวกเขาเหล่านั้น
ตราประทับนั่น จีเฉวียนย่อมรู้จักอย่างแน่นอน
ฉางซุนซิ่วให้เขาได้เห็นตราประทับนั่นเพียงแวบเดียว ก็รีบเก็บกลับไป
“คืนนี้ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะว่าต้องการให้โอกาสเจ้า ขอเพียงเจ้านำแผ่นดินทั้งหมดกลับมาเป็นของเจ้า แล้วสังหารนังตัวปลอมนั่นเสีย ข้ากับอี้อ๋องก็จะกลายเป็นมือขวามือซ้ายของเจ้า”
ว่าแล้ว ฉางซุนซิ่วก็ขยับมาด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง
“จีเฉวียน ขอเพียงเจ้ายอมกลับใจหันเข้าหาฝั่ง เป็นพวกเดียวกับพวกเรา อ่อนน้อมต่อท่านจอมมาร ภายหน้าพวกเราย่อมสามารถมีอิสระเสรีท่องไปได้ทั่วทั้งหกภพภูมิ”
“เจ้าไม่ควรทำลายตนเอง เพื่อนังตัวปลอมคนหนึ่ง”
ฉางซุนซิ่วคิดว่าตนเองเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตแล้ว จึงได้รักษาทั้งหน้าตาและโอกาสให้กับจีเฉวียน ส่วนเขารับไว้หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว
วันที่แปด นับว่าเป็นวันดี เหมาะสมกับการจัดงานมงคล หรือเปิดเผยข่าวลือ หรือจะหลั่งเลือดเป็นท้องธารก็ได้ทั้งนั้น
จีเฉวียนจ้องมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยส่งยิ้มเย็นชากลับไป
………………………..