ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 716 ใต้เท้าผู้นี้ มอบชีวิตใหม่ให้กับเขา
ฉางซุนซิ่วเห็นรอยยิ้มเย็นชาของเขาก็ขุ่นเคืองขึ้นมา เขาถลึงตาโต “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”
จีเฉวียนยังคงจดจ้องเขาอย่างเย็นชา ไม่พูดไม่จาอะไรแม้แต่คำเดียว
คราวนี้ ฉางซุนซิ่วมองออกแล้ว จีเฉวียนมิได้เชื่อเขาเลยสักนิด เขาถูกนางมารนั่นล่อลวงจนปิดบังดวงตาไว้หมดแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้เสียใจในภายหลังก็แล้วกัน!”
ฉางซุนซิ่วผุดไอมารสีดำรอบกาย แต่เขามิได้เข้าใกล้จีเฉวียนอีก
ขณะที่พูด เขาก็ถอยออกไปจากห้องเครื่อง
ภายในห้อง เปลวไฟบนเตายังคงลุกโชนดังพรึ่บพั่บอยู่ จนทำให้เงาจากดวงหน้าที่งดงามของจีเฉวียนทอทาบลงไปบนหน้าต่าง
ฉางซุนซิ่วไม่ยอมแพ้
ที่ผ่านมา เขากับจีเฉวียนผูกพันกันอย่างใกล้ชิด…..
แต่ว่าทั้งหมดนี้ กลับเปลี่ยนแปลงไปเพราะการปรากฏตัวของตู๋กูซิงหลัน เดิมที พวกเขาสมควรเป็นกษัตริย์และขุนนางคู่ใจกันไปชั่วชีวิต
เดิมที อิงเอ๋อร์ไม่สมควรต้องตาย
“จีเฉวียน อีกเพียงไม่นาน เจ้าจะต้องมาขอร้องข้า!”
เขาเอ่ยประโยคนั้นทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็หายไปจากวังหลวง
จีเฉวียนเพียงกวาดตามองไปที่นอกหน้าต่าง แต่มิได้ไล่ตามไป เขาไม่ทำลายฉางซุนซิ่ว และไม่ไล่ฆ่า ราวกับว่าจะปล่อยให้เขากลายเป็นมาร
……………
ฉางซุนซิ่วจากไปแล้ว น้ำแข็งสีดำด้านนอกห้องก็จางหายไปจนหมดสิ้น หลี่กงกงกับหลงเซียวก็หายจากอาการแข็งทื่อ
ทั้งสองรีบเข้าไปในห้องเครื่อง เห็นฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่ข้างเตาไฟ บนร่างสวมใส่ผ้ากันเปื้อนเอาไว้ สองข้างแก้มก็ยังเปื้อนเขม่าควันจากก้นหม้อ แม้แต่สีพระพักตร์ยังคงเยือกเย็นเช่นเดิมมิได้เปลี่ยน
พระหัตถ์ที่นวลเนียนดุจเนื้อหยก ยังคงประคองชามน้ำแกงสร่างเมาที่อุ่นร้อนเอาไว้
“ฝ่าบาท!” หลงเซียวคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งตรงเบื้องพระพักตร์ หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “เมื่อครู่นี้…..”
ถึงแม้ว่าตัวเขาและหลี่กงกงจะถูกแช่แข็ง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเงาสีดำนั้นได้อยู่ ตัวเขาเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ ความสามารถในการตรวจสอบและระแวดระวังภัยย่อมต้องสูงส่งและละเอียดลออ
เพียงแค่กวาดตาดูรอบเดียว เขาก็สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า นั่นจะต้องเป็นราชครูที่สมควรจะถูกขังอยู่ในคุกหลวงอย่างแน่นอน
ขาของเขาหายดีแล้ว?
ทั้งยังสามารถเข้านอกออกในวังหลวงได้อย่างอิสระเสรี?
“ไม่เป็นไร” จีเฉวียนโบกแขนเสื้อเบาๆ
ว่าแล้วก็ประคองน้ำแกงสร่างเมา สาวเท้าเดินไปทางตำหนักตี้หัวกง
พึ่งจะเดินไปเพียงก้าวเดียว ฝีเท้าก็พลันหยุดลงทั้งยังเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “พวกเจ้าจงปกป้องตนเองให้ดี”
หลี่กงกงและหลงเซียวต่างก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ฝ่าบาททรงตรัสว่ากระไรนะ?
ให้พวกเขาปกป้องตนเองให้ดี?
หากว่าเป็นแต่ก่อน ตีให้ตายพวกเขาก็คงไม่มีทางเชื่อว่าฝ่าบาทจะตรัสกับพวกเขาเช่นนี้
ฝ่าบาททรง….ห่วงใยในตัวของพวกเขา?
ทั้งสองคนยังไม่ทันได้เรียกสติกลับมา ก็เห็นฝ่าบาทเสด็จหายลับไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ พวกเขากลับรู้สึกว่าสายลมยามดึกในคืนนี้มิได้เหน็บหนาวอีกต่อไป
………………
ที่นอกเมืองหลวง ในเรือนไม้ที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง
จีเย่ว์สวมใส่ชุดสีดำตลอดทั้งร่าง อี้อ๋องผู้เคยมีรูปโฉมงามสง่าดุจเทพเซียน ตอนนี้มีหนวดเครารกครึ้ม ดวงตาที่เคยกระจ่างใสดุจดวงดาวกลางท้องทะเล ยามนี้หม่นจนมองไม่เห็นประกายแสงใดๆ
เขาผ่ายผอมลงไปกว่าเดิม ผิวพรรณซีดขาวอย่างยิ่ง ซีดจนไร้สีเลือด ขาวอย่างคนเจ็บป่วย
บนศีรษะของเขามีปิ่นไม้ต้นไห่ถางอยู่ชิ้นหนึ่ง บนตัวปิ่นยังมีใบไม้สีเขียวสดอยู่ เกรงว่าบนทั่วทั้งร่างของเขา นี่คงจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังมีชีวิต
ยามนี้ เขานั่งอยู่บนบันไดก้อนหินนอกตัวบ้าน ในมือถือขลุ่ยเอาไว้เลาหนึ่ง เป่าออกมาเป็นเสียงหวีดหวิว ที่ฟังดูวังเวงอย่างยิ่ง
เมื่ออยู่ท่ามกลางสายลมยามดึก จึงดูหลอกหลอนอย่างอธิบายไม่ถูก
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังๆหยุดๆนั้น ฉางซุนซิ่วพลันปรากฏกายขึ้นมา “อี้อ๋อง ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เจ้ากลับเล่นเพลงที่ฟังดูเจ็บช้ำเช่นนี้ ไม่เป็นมงคลเท่าไรกระมั้ง”
ฉางซุนซิ่วยืนอยู่ที่ด้านข้างของจีเย่ว์ ปรายตามองลงไปยังจีเย่ว์ที่นั่งอยู่บนบันไดหิน
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตบนร่างของคนผู้นี้กำลังหดหายไปอย่างช้าๆ
บุรุษผู้นี้ กำลังกลายเป็นศพแล้ว
อีกทั้งยังมีไอมาร ที่เริ่มซึมซาบเข้าไปในร่าง อีกไม่ช้าก็เร็วไอมารจะต้องลากเขาเข้าสู่เส้นทางสายมารอย่างแน่นนอน
ใช่แล้ว จีเย่ว์จะไร้ซึ่งความเกลียดชังได้อย่างไร?
ทั้งตำแหน่งฮ่องเต้ พระสนมผู้เป็นมารดา และสตรีที่เขารักที่สุด เขาล้วนไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ แถมยังถูกทอดทิ้งเอาไว้กับความโดดเดี่ยวเพียงลำพังในซีเหลียงที่ทั้งกันดารและรกร้าง
หัวใจดวงนั้นย่อมต้องเกลียดชังจีเฉวียนมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้อยู่ๆก็ได้เห็นเขากลับมายังต้าโจว ฉางซุนซิ่วเองมิได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
จีเย่ว์จรดขลุ่ยยาวอยู่ที่ริมฝีปาก เป่าสั้นๆยาวๆอีกหลายเสียง ในที่สุดก็ค่อยหยุดลง
เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูฉางซุนซิ่วอย่างเรียบเฉย “ข้ากลายเป็นเพียงราษฎรธรรมดามาเนิ่นนานแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเรียกข้าว่าอี้อ๋องอีก”
ได้ยินแล้ว ฉางซุนซิ่วก็หัวเราะออกมาในทันที
“ในร่างกายของเจ้า มีสายเลือดของราชวงศ์จีแห่งแคว้นต้าโจว ตอนนี้จีเฉวียนถูกนังตัวปลอมนั่นล่อลวง เขาหลงใหลจนไม่รู้จักกลับตัวไปแล้ว”
“พอถึงวันที่แปด พวกเราก็จะเปิดโปงพวกมันกลางงานอภิเษก เจ้าคิดว่านังตัวปลอมนั่นจะยังสามารถนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์ฮ่องเต้หญิงต่อไปได้อีกหรือ?”
“ในเมื่อจีเฉวียนไม่รู้จักรักดี ก็ให้เขาแตกดับไปพร้อมๆกับนางดีแล้ว ถึงตอนนั้น แคว้นต้าโจว และดินแดนทั้งหมดยังมิใช่รอให้จีเย่ว์ท่านรับสืบทอดไปหรอกหรือ?”
พอพูดถึงตรงนี้ ฉางซุนซิ่วก็หยุดไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวต่อว่า “อ้อ ถึงตอนนั้นก็ไม่ควรเรียกเจ้าว่าอี้อ๋องอีกต่อไป สมควรเรียกท่านว่าฮ่องเต้จึงจะถูก”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าจีเย่ว์จะไม่มีใจคิดเป็นใหญ่ หากไม่มีใจทะเยอทะยากอยาก ก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีก
เกรงว่าใจที่มักใหญ่ใฝ่ลาภยศของจีเย่ว์ อาจจะมีมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้อีกเสียด้วยซ้ำ
จีเย่ว์เพียงปรายตาดูเขาอย่างเย็นชา โดยมิได้พูดอะไร
เขาเก็บขลุ่ยลงไป เพียงลูบไล้ปิ่นไม้ต้นไห่ถางอย่างแผ่วเบา
ปิ่นไม้นั้น มีพลังชีวิตอยู่
และครั้งนี้ที่เขากลับมายังต้าโจว ก็เพื่อ….
มือพึ่งจะสัมผัสกับปิ่นไม้ไห่ถาง ในป่าก็เกิดสายลมหอบหนึ่งพัดออกมา
สายลมที่เหน็บหนาวพัดมาถึงเบื้องหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
พลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งกำจายออกมาจากในสายลมนั้น พอฉางซุนซิ่วรู้สึกได้ถึงพลังนั้น คนก็ก้มศีรษะลงไปในทันที
“ใต้เท้า….”
เขาประสานมือ คำนับลงไปด้วยความเคารพ
ที่เขาสามารถหลบหนีออกมาจากคุกในวังหลวงได้อย่างราบรื่น และกลายเป็นมารได้อย่างราบรื่น ล้วนพึ่งพาใต้เท้าผู้นี้ทั้งสิ้น
และก็เป็นใต้เท้าท่านนี้เอง ที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเขา
จีเย่ว์ยังคงนั่งอยู่บนบันไดหินเช่นเดิม โดยไม่แม้แต่จะทำความเคารพเลยสักนิด
ใต้เท้าผู้นั้นปรายตามองดูแวบหนึ่ง ราวกับว่าเห็นเขาเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น
เจ้ามดปลวกของโลกเบื้องล่าง สมควรจะเป็นเช่นฉางซุนซิ่ว พวกมันควรจะแสดงความเคารพนบนอบออกมา
คนผู้นี้ ยังมิได้เข้าสู่ภาวะมารอย่างสมบูรณ์ ดูแล้วเย่อหยิ่งจองหองสิ้นดี
เห็นแล้ว ฉางซุนซิ่วก็รีบเข้าไปกระตุกแขนเสื้อของจีเย่ว์ “เมื่อได้พบกับใต้เท้า สมควรแสดงความเคารพ”
จีเย่ว์เงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองแวบหนึ่ง ‘ใต้เท้า’ ตรงหน้าผู้นี้ เป็นสตรีนางหนึ่ง
นางสวมใส่ชุดดำตลอดร่าง ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือด วางตนสูงส่ง แววตามีแต่ความเย้ยหยันผู้อื่น
ที่เขากลับมายังต้าโจวในครั้งนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นี้อยู่บ้าง
เป็นนางบุกมาหาเขาถึงที่ นางต้องการให้เขาเปิดโปงเรื่องที่ฮ่องเต้หญิงเป็นตัวปลอมในงานอภิเษก
สตรีผู้นี้ มีนามว่าซือหลิน
นางมิใช่คนธรรมดา และมิใช่มาร พลังวิญญาณในร่างของนางเข้มข้น นางเป็นพวกเทพจากบนสวรรค์ คือผู้ที่พวกมดปลวกบนโลกไม่สมควรเผยอไปเทียบเคียง
ซือหลินจับจ้องดูเขาด้วยสายตาเย็นชา เมื่ออยู่กับพวกชั้นต่ำเหล่านี้ นางก็คร้านที่จะพูดด้วยให้มากความ
หากมิใช่เพราะว่านายท่านมีบัญชา มอบหมายหน้าที่ลงมา นางไม่มีทางจะมาเจรจาติดต่อกับพวกมดปลวกเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
…………………..