ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 732 ไปปลุกพี่ใหญ่
ในคุกหลวง พวกซือหลินถูกทัณฑ์ทรมานจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว
ต่อให้ฝันนางก็ยังคิดไม่ถึงว่า สักวันนึงนางจะต้องมาถูกคนทรมานอยู่ในโลกเบื้องล่างเช่นนี้
เมื่อมีฉู่เจียงคอยเฝ้าดู ฝีมือของพวกยมราชย่อมสร้างความน่าประทับใจจนคนต้องชื่นชม ต่อให้คนตรงหน้าเป็นสตรี ก็ไม่มีทางมืออ่อนเท้าอ่อน
หลังถูกทัณฑ์ทรมานอยู่สามวันติดๆกัน ซือหลินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
บนตัวนางทั้งบนและล่างไม่มีเนื้อที่เป็นชิ้นดีเลยสักแห่งเดียว ใบหน้ามีรอยแผลมีดาบเจ็ดแปดแห่ง ในปากมีแต่เลือดสดๆ นางสารภาพจุดประสงค์ของนางออกไปอย่างหมดเปลือก
ก่อนหน้านี้จีเฉวียนยังแวะมา ฟังนางสารภาพไปแล้วรอบหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดจะอาศัยวิธีแทรกแซงเข้าไปในจิตใต้สำนึกของนางเพื่อล้วงเอาข้อมูลที่ตนเองต้องการออกมา แต่ว่าจิตใต้สำนึกของซือหลินมีอาคมป้องกันเอาไว้ หากแข็งขืนฝ่าเข้าไปก็จะทำให้สมองของนางระเบิดออกมา จนแม้แต่ข่าวคราวอะไรก็ไม่มีทางได้รับรู้เลยสักนิด
เกรงว่าแม้แต่ซือเป่ยเองก็คิดไม่ถึงว่า ลูกน้องที่เขาไว้วางใจมากที่สุด ก็ยังไม่อาจรับมือกับทัณฑ์ทรมานของพวกยมราชได้เลย
ซือหลินเป็นคนฉลาด นางย่อมคิดจะพูดปดออกไปเสียบ้าง จะได้สร้างความเข้าใจผิดให้กับพวกเขา แต่ว่าพวกยมราชกลับมีความสามารถมากล้น ไม่รู้ว่าพวกเขาไปหายาลูกกลอนพูดความจริงมาจากที่ใด จับใส่ปากของนางจนต้องกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง
ขอเพียงซือหลินกล้าพูดปดออกไป รอบกายก็จะรู้สึกเหมือนถูกมีดดาบทิ่มแทงเจ็บไปถึงหัวใจ
เป็นความทุกข์ทรมานแต่ก็ไม่ยอมให้ถึงตาย ความแค้นทั้งหมดนี้ซือหลิน รอให้สบโอกาสจะต้องตอบแทนให้กับร่างกายของพวกเขาทุกเม็ดเช่นกัน!
“ไม่ต้องแม้แต่จะคิดแล้ว หากว่าจัดการเจ้าไม่ได้ ก็ต้องถือว่าพวกเราพ่ายแพ้แล้ว” ฉู่เจียงพูดเหมือนกับว่าอ่านใจนางออก ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
จะว่าไปแล้ว พวกเขาทั้งเจ็ดคน เดิมทีก็มาเพื่อดื่มเหล้ามงคล ใครจะไปนึกว่าตลอดสามวันมานี้จะต้องมาหมกตัวอยู่แต่ในคุกหลวงลงทัณฑ์ให้สารภาพ
ฝ่าบาทก็ช่างสุขสบายนัก เข้าหอทีก็นานถึงสามวัน บ้านใครที่ไหนเข้าเข้าหอกันเช่นบ้านนี้?
เมื่อครู่นี้พึ่งจะแวะมาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ฝ่าเท้ายังไม่ทันจะประทับรอยเท้าทั้งสองเอาไว้ ก็รีบร้อนกลับไปอยู่ข้างกายชายาตัวน้อยเสียแล้ว
จุ๊ จุ๊ จู๊ ….ดูเอาเถอะ ใครเขากลัวภรรยาจะหายกัน
ฉู่เจียงตั้งใจว่า รอให้เรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะกลับไปที่ภูเขาฝูซางซาน ใช้ชีวิตอย่างเจ้านายกับคนรับใช้สองคนอย่างสงบสุขกับเหลียงเซิงเซิงเจ้าตัวน้อยที่ไร้เดียงสาของเขา จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายของโลกภายนอกอีก
จะว่าไปหลายวันมานี้ เมื่อต้องมาอยู่กับเหล่ายมราชผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เขาก็ชักจะคิดถึงเจ้าตัวน้อยของเขาขึ้นมาแล้ว
คิดๆดูแล้ว เขาหาสุนัขตัวหนึ่งไว้เป็นเพื่อนนาง เจ้าตัวน้อยคงจะมิได้เงียบเหงาจนเปล่าเปลี่ยวกระมั้ง?
ต้องโทษคู่รักหน้าไม่อายทั้งสองคนนี้ พวกเขาทำเอาหัวจิตหัวใจของฉู่เจียงถึงกับเร่าร้อนขึ้นมา ได้แต่ระบายความขุ่นเคืองลงไปกับร่างของซือหลิน
ที่ผ่านมา ยามที่ยมราชอย่างพวกเขาลงทัณฑ์ อีกฝ่ายไม่อาจทนทานได้จนถึงชั่วก้านธูปด้วยซ้ำ ซือหลินผู้นี้นับว่าเป็นพวกมีพรสวรรค์ นางทนอยู่ถึงสามวันจึงค่อยยอมสำรอกความจริงออกมา
ในเมื่อพวกเขายังมีจิตวิญญาณของต้าซือมิ่งคอยเป็นพยาน จึงพบว่าเจ้าซือเป่ยผู้นั้นก่อเรื่องเอาไว้ในใต้หล้าไม่น้อยจริงๆ เขาคิดจะเปลี่ยนจิตวิญญาณของทุกชีวิตให้กลายเป็นจิตมาร เพื่อจะได้ปลดปล่อยเผ่ามารที่สาบสูญไปแล้วให้กลับมาสร้างความทุกข์ระทมให้กับใต้หล้าอีกครั้ง
พูดถึงเผ่ามาร แม้แต่เหล่ายมราชยังต้องรู้สึกปวดไข่ขึ้นมา
หากว่าพวกมันกลับมาได้จริงๆ เกรงว่าหกภพภูมิคงไม่อาจสงบสุขได้อีกแล้ว
“พูดถึงซือเป่ยนะ …..พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า พี่ใหญ่ของหวังเฟย คล้ายคลึงกับซือหนานมากหรือ?”
หลังจากขังซือหลินเอาไว้ในห้องขังเดี่ยวห้องหนึ่ง เหล่ายมราชก็รวมกันอยู่ในห้องๆหนึ่ง หลุนจ่วนอ๋องตั้งประเด็นถามออกมา
วันงานอภิเษกมีผู้คนมากมาย พวกเขามุ่งความสนใจไปที่ฝ่าบาทและหมิงอ๋องเฟย จึงไม่ทันได้สังเกตผู้อื่นสักเท่าไหร่
แม้แต่ซือหลินเองก็ยังไม่ทันได้มองดูตู๋กูจุนสักเท่าไหร่
พอหลุนจ่วนอ๋องเอ่ยออกมา เหล่ายมราชก็พากันครุ่นคิดดูอย่างละเอียด พอทบทวนดูในสมอง ก็ค่อยรวบรวมความทรงจำทั้งหมดเข้าด้วยกัน
“เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ ก็เหมือนจะใช่อยู่” ฉู่เจียงจับปลายคางของตนเองเอาไว้ หลายวันนี้พวกเขามัวแต่วุ่นวายอยู่กับการสอบสวน จึงไม่ทันได้สังเกตไปบ้าง
ซือหนานมีฐานะที่สำคัญเพียงไร ทั้งหมดต่างก็ทราบดี
ตระกูลซือถือเป็นตระกูลสูงส่งในแดนสวรรค์ เป็นรองก็แต่เพียงราชวงศ์ตี้เท่านั้น ตอนนั้นซือหนานไปหลงรักคนที่ไม่สมควรจะไปรักเข้า จึงทำให้ขัดแย้งกับแดนสวรรค์ สุดท้ายถูกหมิงอ๋องรับตัวเอาไว้
ซือเป่ยกับซือหนานเป็นฝาแฝดกัน แต่กลับมีชีวิตที่แตกต่าง ผู้หนึ่งสุดท้ายกลายเป็นเทพสงครามของแดนสวรรค์ อีกผู้หนึ่งกลายเป็นยมราชของหมิงอ๋อง กลายเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน
สุดท้าย….ซือหนานก็ตกตายไปในสงครามท่ามกลางคมดาบ
พอคิดดูแล้ว เหล่ายมราชต่างก็รู้สึกหัวใจวูบโหวง
“ตอนนี้พวกมารกำลังจะพลิกฟื้นคืนมาอีกครั้ง เผ่าหมิงของพวกเราย่อมไม่อาจตกเป็นรองอยู่เช่นนี้!” หลุนจ่วนอ๋องที่ส่งมอบกวนอิมประทานบุตรนั้นมีนิสัยกระตือรือล้นที่สุด เขาตบตักดังฉาดเอ่ยว่า “ในใต้หล้าไหนเลยจะมีผู้ใดเกิดมาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเช่นนี้ ข้าว่าพี่ใหญ่ของหวังเฟยก็คือซือหนาน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ฟื้นคืนความทรงจำ ในเมื่อจะฟื้นฟูเผ่าหมิงของพวกเรา อย่างแรกก็ต้องรวบรวมสิบยมราชให้ครบถ้วนเสียก่อน เอาเช่นนี้เถอะ รอจนพรุ่งนี้มิสู้วันนี้ลงมือ ตอนนี้พวกเราพากันไปหาพี่ใหญ่ของหวังเฟย กระตุ้นสมองปลุกเขาเสียหน่อยเป็นไร?”
พอหลุนจ่วนอ๋องเสมอความเห็นออกมา ยมราชองค์อื่นๆก็พากันคล้อยตาม
อย่างไรเสียในคุกนี้ เรื่องที่ต้องสอบถามก็ถามไปหมดแล้ว เหล่าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายไม่มีเรื่องใดจะทำ ทั้งยังไม่อาจไปรบกวนช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันของฝ่าบาทและหวังเฟย ดังนั้นย่อมต้องหาอะไรทำเองเสียหน่อย
ดังนั้นทั้งหมดจึงประสานมือเข้าหากัน ยกขบวนกันไปหาตู๋กูจุน
……………….
ช่วงนี้พี่ใหญ่มีอาการปวดศีรษะแทบจะทุกชั่วโมง และทุกครั้งที่ปวดศีรษะ จะมีภาพมากมายเกิดขึ้นในสมอง
ชื่อของซือหนานยิ่งทียิ่งได้ยินชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
คืนนี้เขาเข้ามาในวัง เพื่อมาพบหยวนเมิ่ง
แต่ยังไม่ทันจะได้ไปถึงไหน ศีรษะก็แทบจะระเบิดออกมา ในสมองปรากฏภาพเงาหลังของแม่นางในชุดกระโปรงสีดำ แต่ว่าครั้งนี้ ภาพนั้นเหมือนถูกย้อมไปด้วยเลือดที่เข้มข้น
พี่ใหญ่มีแต่ศีรษะท่วมหัว เขาวางดาบยักษ์ลงที่ด้านข้าง ตนเองเดินโซเซอยู่ในสวนดอกไม้ จนสุดท้ายต้องนั่งลงพักผ่อน
บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตๆที่อุ่นร้อน หยดลงไปตามคอเสื้อเป็นทาง
สีหน้าของเขาปราศจากสีเลือด ปวดศีรษะแทบระเบิด แม้แต่การรับรู้ก็ยังเลือนลางไปด้วย
ท่ามกลางความพร่าเลือนนั้น เขารู้สึกเหมือนว่าได้พบกับหยวนเมิ่ง
นางแต่งกายด้วยชุดขององค์หญิงแห่งหนานเจียง สีม่วงอมชมพูบนร่างช่างน่าดูยิ่งนัก
“ท่านแม่ทัพ ท่านดูไม่ค่อยดีเลย หยวนเมิ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งลงมา
นี่คงต้องเรียกว่า…..คู่แค้นบนหนทางคับแคบละมั้ง
นางกำลังรู้สึกเบื่อและอึดอัดใจ จนออกมาเดินเล่น ใครจะไปคิดว่า ยังจะเอิญได้พบกับตู๋กูจุน
เดิมทีนางคิดจะทำเป็นมองไม่เห็น เดินจากไปเสียเฉยๆ พอดีเห็นเขาอาการปวดศีรษะกำเริบ นั่งอยู่บนเดียวในสวนดอกไม้ ทำให้นางไม่อาจทอดทิ้งโดยไม่สนใจใดๆเช่นนี้ได้
ตู๋กูจุนรับผ้าเช็ดหน้าของนางเอาไว้ บนนั้นมีกลิ่นหอม เป็นกลิ่นหอมประจำตัวของหยวนเมิ่ง เขาจดจำได้เป็นอย่างดี
ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเอาไว้ กลิ่นหอมนั่นก็เหมือนจะไหลผ่านใบหน้าของเขาเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
“แม่นางหยวน….” ตู๋กูจุนพยายามผืนอาการปวดศีรษะ เขาไม่อาจจะเสียมารยาทต่อหน้าหยวนเมิ่ง
หยวนเมิ่งคุกเข่าอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบๆ ในแววตามีร่องรอยความปวดร้าว
นางคือหยวนเมิ่ง และก็คือหลีเกอ
ตอนที่เป็นหลีเกอ นางชื่นชอบคนผู้หนึ่ง หลงรักเขามานานหลายปี คนผู้นั้นมีนามว่า…ซือหนาน
แต่พอมาเกิดใหม่ แม้ว่าพวกนางจะมีฐานะใหม่แล้วก็ตาม เขาก็ยังคงมิได้ชื่นชอบนาง
………………………..