ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 733 ในที่สุดก็จำได้แล้ว
นั่นเป็นความรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงอย่างแท้จริง
แม้ว่านางจะทุ่มเทพลังและแรงใจทั้งหมดเพื่อเข้าใกล้เขา แต่สุดท้ายแล้วก็ยังห่างไกลกันหมื่นพันลี้อยู่ดี
ยิ่งทุ่มเท ก็ยิ่งห่างไกลออกไป
ชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้
เขาคือเทพบนแดนสวรรค์ ส่วนนางคือมารในความมืดมน
ความรักของนาง ลากเขาลงมาจากเบื้องบนอันสูงส่งสู่หุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง…
ต่อให้มีความจริงใจที่ร้อนระอุอย่างเต็มเปี่ยมเพียงใด พอเจอความจริงตรงหน้า ก็เหมือนถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ และทิ้งลงไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ
หยวนเมิ่งหลุบดวงตาลง แพขนตายาวสั่นสะท้านน้อยๆ
นางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าควรจะพูดกับเขาให้น้อยที่สุด ทางที่ดีคืออย่าได้มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป
ขณะที่เท้ากำลังจะขยับออก ก็ได้ยินตู๋กูจุนเรียกนางเอาไว้
“แม่นางหยวน…” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หยวนเมิ่งจดจ้องมองเขาอย่างนิ่งๆ “หืม?”
“คืนวันนั้น….” ตู๋กูจุนทรุดลงไปอยู่บนพื้น ทอดขาเหยียดออกไป พอคิดถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าตนเองไม่อาจสู้หน้าหยวนเมิ่งได้
คำพูดเหล่านี้ค้างคาอยู่ในลำคอของเขา “ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่คู่ควรกับความชื่นชอบจากแม่นาง”
ว่าแล้ว ก็เห็นสีหน้าของหยวนเมิ่งซีดขาวไปหมด
ตู๋กูจุนก็รีบเอ่ยว่า “เจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีงาม สมควรเคียงคู่กับบุรุษที่รู้จักทะนุถนอมเจ้าจึงจะถูก
หยวนเมิ่งถูกยัดเยียดให้เป็นคนดี ก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพ คำพูดที่แทงใจเช่นนี้บอกเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำกันสองสามครั้ง”
“เหอะ ข้ามิใช่ว่าชาตินี้จำต้องหาคนมาแต่งงานด้วยให้ได้”
ตู๋กูจุนเห็นสีหน้าของนางย่ำแย่ ก็รู้แล้วว่านางเข้าใจในตนเองผิดไป เขาก็คิดจะอธิบาย แต่ว่าเขาเป็นพวกที่ไม่รู้วิธีการเอาใจสตรีเสียเลย
ยิ่งพูดมากก็เหมือนจะยิ่งผิด
สมองก็ปวดไปหมด พูดจาสับสนปนเป เสียจนไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่
ยิ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมตนเองจึงพูดออกไปเช่นนั้น
ระหว่างทั้งสองมีช่องว่างที่เงียบงัน สร้างความอึดอัดขัดเขินกว่าเดิม
หยวนเมิ่งเห็นอาการปวดหัวของเขาดีขึ้นบ้างแล้ว ก็ไม่คิดจะรั้งอยู่อีกต่อไป นางยังไม่ทันได้เดินจากไป ก็รู้สึกขึ้นมาว่าอากาศอบอุ่นรอบกายพลันหายไป ความหนาวเย็นไหลบ่าเข้ามาราวกับเกลียวคลื่น ทำให้คนต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
หยวนเมิ่งเพิ่มความระมัดระวังป้องกันขึ้นมาในทันที
แม้แต่มารอสูรผึ้งพิษของนางก็ยังเกิดความเอะใจ เพิ่มความระมัดระวัง มันรู้สึกใจไม่สงบอย่างประหลาด
คืนนี้ เมื่อครู่ยังมีดวงดาวอยุ่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเมฆดำปิดแผ่นฟ้า ลมหนาวพัดผ่านซอกคอผู้คนออกไป เย็นจนแทบจะแช่แข็งคนได้
ทันใดนั้นเอง หยวนเมิ่งมองออกไปรอบด้านก็เห็นเงาร่างของผู้คนเจ็ดคน
ผู้มาแต่ละคนเงาร่างสูงใหญ่ดูมิใช่ธรรมดา
สายลมพัดหวีดหวิว หนาวลึกๆ เมื่อมีฉู่เจียงเป็นผู้นำ ทั้งหมดก็พร้อมใจกันมองไปที่ตู๋กูจุน จากนั้นก็มองเห็นหยวนเมิ่ง
“พวกเรามาก็มาแล้ว แต่นี่ช่างบังเอิญไปหรือไม่?” นัยตาของหลุนจ่วนอ๋องกรอกกลับไปกลับมา พวกเขาตั้งใจจะมาหาซือหนาน แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอแม่นางผู้นี้ด้วย
อืม…..หน้าตาช่างคลับคล้าย
มิว่าดูอย่างไร ก็มีเค้าขององค์หญิงหลีเกออยู่ห้าหกส่วน?
ในใจของเหล่ายมราชต่างก็คิดเช่นนี้
พอหลุนจ่วนอ๋องเอ่ยออกมา ก็เห็นตู๋กูจุนคว้าดาบยักษ์ที่อยู่ข้างกายขึ้นมา มืออีกข้างก็คว้าหยวนเมิ่งเอาไว้ ดึงนางไปแอบที่ข้างหลัง
หยวนเมิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง นางมองดูฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือของตนเองเอาไว้ ต้องเหม่อลอยจนไม่ทันได้ทำอะไร
แต่ว่าเพียงครู่เดียวตู๋กูจุนก็ปล่อยนาง
เขายืนตัวตรง ร่างที่สูงใหญ่มิได้ดูอ่อนแอกว่าเหล่ายมราชทั้งหลายเลย
ดวงตาที่มีประกายดวงดาวคู่นั้นมองไปยังผู้คนทั้งหมด “ทุกท่านล้วนเป็นสหายของตี้โฮ่ว มิทราบว่าเสาะข้าแม่ทัพด้วยเรื่องใดกัน?”
เขากระชับดาบยักษ์ในมือ แต่มิได้เคลื่อนไหววู่วาม
พวกเขาเคยได้เห็นกันในงานอภิเษกของตี้โฮ่วมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างน้อยๆคนเหล่านี้ ก็มิใช่ศัตรู
“ดูสิ นี่ถึงกับไม่รู้จักพวกเราแล้วจริงๆหรือ?” ฉู่เจียงเอ่ยปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ออกจะฟังดูลึกลับอยู่บ้าง
เขากำลังสังเกตดูตู๋กูจุน ท่าทางเช่นนี้มิได้มีอะไรแตกต่างไปจากซือหนานเลย หากจะบอกว่าเพียงแค่มีหน้าตาคล้ายกัน ก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในร่างของเขายังมีพลังที่พิเศษเฉพาะของยมราชอยู่ด้วย
“ดูแล้วไม่เหมือนเป็นฝีมือคนธรรมดา เช่นนี้คงโดนกรอกน้ำแกงยายเมิ่งไปรอบหนึ่ง ถึงได้จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น?” หลุนจ่วนอ๋องสนับสนุนอยู่ด้านข้าง
ตู๋กูจุนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน ที่พูดมาฟังดูเหมือนว่าเขาควรจะรู้จักคนเหล่านี้ อย่างนั้นหรือ?
หากว่าการได้พบหน้าครั้งหนึ่ง ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วละก็
สีหน้าของเขาหนักอึ้ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ฉู่เจียงก็ส่งเสียงเรียกเขาคำหนึ่ง “ซือหนาน”
ตู๋กูจุนถึงกับตกตะลึงไปในทันที
ซือหนาน……
ชื่อนี้ดังกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของเขานับครั้งไม่ถ้วน ทำไมคนที่เคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวกลับสามารถเรียกออกมาได้?
“ข่านอ๋อง ข้าเห็นเจ้าทำท่าทำทางโง่งมเช่นนี้แล้ว รู้สึกว่าน่าหงุดหงิดจริงๆ!” หลุนจ่วนอ๋องอยากจะพุ่งเขาไปอัดเขาสักสองทีเสียเดียวนี้
ยมราชองค์อื่นต่างก็มีทีท่าเช่นเดียวกัน
“อ้าว อย่าได้มัวกล่าวาจาไร้สาระอยู่เลย เดิมทีก็มาเพื่อจะเคาะกระโหลกให้เขาอยู่แล้ว จัดการอัดพลังหยินเข้าไป ไอ้สมองที่อุดตันอยู่จะได้โล่งขึ้น”
บอกลงมือเป็นลงมือ เหล่ายมราชต่างก็พุ่งเข้าไปรายล้อมตู๋กูจุนเอาไว้ทุกทาง ในมือของแต่ละคนแผ่พุ่งพลังหยินออกมา ส่งเข้าไปในสมองของเขาอย่างไม่คิดชีวิต
หยวนเมิ่งยืนอยู่ด้านหลังของตู๋กูจุน โดยมิได้เข้าไปขวาง
จากความทรงจำในชาติก่อนของนาง……คนเหล่านี้ นางยังพอจดจำได้อยู่บ้าง
ที่ตู๋กูจุนปวดศีรษะจนแทบระเบิดอยู่เสมอ ก็เพราะว่าเขาไม่อาจจดจำเรื่องในชาติก่อนได้เสียที สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นความทุกข์ทรมานที่เรื้อรัง ในเมื่อเหล่ายมราชต่างคิดจะช่วยเขา ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
ดังนั้นหยวนเมิ่งจึงมิได้ขัดขวาง นางเพียงแต่ถอยหลังไปอีกหลายก้าว พยายามลดทอนความคงอยู่ของตนเองให้เหลือน้อยที่สุด
เจ็ดยมราชลงมืออย่างพร้อมเพรียง ทำเอาแม้แต่ตู๋กูจุนก็ยังไม่มีโอกาสต่อต้าน
เขายืนอยู่ตรงกลาง ปล่อยให้พลังหยินที่เข้มข้นเหล่านั้นไหลเข้าไปในสมอง
ยิ่งได้รับพลังหยินอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งทำให้เขานึกเรื่องต่างๆออกอีกมากมาย
เผ่าภูติ (เผ่าหมิง) ……เผ่าเทพ……เผ่ามาร
แดนสวรรค์ ตระกูลซือ
เผ่ามาร …….หลีเกอ
ทั่วร่างมีแต่เหงื่อ แม้แต่เสื้อผ้าทั้งหมดก็เปียกจนชุ่มชื้น
การนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับถูกเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงทั่วร่าง
รอจนคววามทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา ร่างกายถึงได้ผ่อนคลายลง
ในร่างกายของเขาเดิมทีก็มีพลังที่จีเฉวียนถ่ายทอดเอาไว้ให้อยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อยมราชทั้งเจ็ดร่วมกันทะลวงพลังหยินให้กับเขา สิ่งที่ควรจะจำได้ก็ล้วนจดจำได้หมดแล้ว
พักใหญ่ ตู๋กูจุนค่อยปล่อยมือจากดาบยักษ์ คุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่ง
เมฆดำบนท้องฟ้าจางหายไป แสงดาวค่อยสาดส่องลงมาบนร่างของเขา
หยวนเมิ่งมองดูเงาหลังของเขา พริบตานั้น ก็ทำให้นางจดจำเรื่องราวในชาติก่อนได้
เพราะได้เห็นเพียงครั้งเดียว ก็ตราตรึงไปชั่วชีวิต
แม้ว่าจะกลายเป็นคนของเผ่าหมิงไปแล้ว เขาก็ยังโดดเด่นพร่างพราวจนแสบตา
ส่วนนาง….แม้ว่าจะมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่อาจชำระล้างตราประทับของเผ่ามารที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกออกไปได้
ฐานะที่แตกต่าง กลายเป็นอุปสรรค ที่กีดกันพวกนางออกจากกัน ทำให้โลกของทั้งสองไม่อาจมาบรรจบกันได้ มิว่าจะอย่างไรเขาไม่มีทางจะมาชอบนางได้ตลอดกาล ใช่หรือไม่?
นางปิดตาลง ประกายในดวงตาอ่อนจาง
ชั่วพริบตาที่นางหลับตาลงนั้นเอง ตู๋กูจุนหันหน้ากลับไป มองดูนางแวบหนึ่ง
ในแววตาคู่นั้น ทั้งซับซ้อน สับสน และลึกซึ้ง
ฉู่เจียงอยู่ใกล้กับเขาที่สุด จึงมองเห็นแววตาของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาขยับเข้าไปบังสายตาของตู๋กูจุนเอาไว้ เอ่ยว่า “ซือหนาน เผ่าภูติไม่อาจขาดเจ้า สงครามสุดท้ายนี้ ทั้งหมดต้องร่วมมือใจกัน”
………………….