ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 79 น่ากลัวเหลือเกิน หงิงๆๆๆ
ยันต์คร่าชีวิต?
ผู้คนทั้งหลายต่างตกใจ!
แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ตาโตขึ้นมาแล้ว!
” ท่านนักพรตอู๋เจินกล่าวผิดไปแล้วมั้ง นั่นเป็นยันต์เสริมวาสนาภพหน้า ที่พระสนมเต๋อเฟยวอนขอมาต่างหาก! ” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงของเจียงเหม่ยหยู่ก็ค่อยๆ แผ่วลงไป
เต๋อเฟยบอกแล้วว่า ยันต์แผ่นนั้นเป็นนางใช่เวลาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนหน้าอ้อนวอนขอนักพรตอู๋เจินมาอย่างยากลำบาก แต่ว่าตอนนี้แม้แต่โฉมหน้าของนักพรตอู๋เจินนางกลับไม่รู้จัก เช่นนั้นยันต์ผืนนี้……
“ข้านักพรตวาดยันต์มาก็หลายปี คนที่กล้าสงสัยในสายตาของข้านักพรต พึ่งจะมีฮูหยินผู้เฒ่าท่านเป็นคนแรก” นักพรตอู๋เจินเขม่นมองเจียงเหม่ยหยู่คราหนึ่ง เจียงเหม่ยหยู่ถึงได้ปิดปากลง
เป็นเพราะแผลเป็นจากดาบบนตาข้างซ้ายนั่นกับแววตาที่หนาวเย็นของเขารวมกันพาลให้ผู้พบเห็นต้องผวา
ครู่ต่อมาก็เห็นนักพรตอู๋เจินนำยันต์ผืนนั้นขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าวว่า “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ของข้า~ ข้าวกินมั่วยังพอได้ แต่ยันต์ไม่อาจใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ยันต์ผืนนี้หากถูกลูกหลานของเย่วฮูหยินนำมาเผาเซ่นไหว้ต่อหน้าสุสานละก็ นี่จะกลายเป็นเคราะห์หนักแล้ว บุญบารมีของบรรพบุรุษที่สะสมมาเสื่อมสลาย ลูกหลายสายสกุลทั้งหมดต้องสิ้นสูญ นี่จะต้องมีผู้ที่มีแค้นลึกล้ำขนาดไหนทำขึ้นมา? ถึงได้ลงมือหนักขนาดนี้ “
แคว้นต้าโจวมีธรรมเนียมในการเซ่นไหว้ผู้ที่จากไป จะต้องให้ผู้ที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุดจุดไฟเผาส่ง
ยังดีที่วันนี้เขาอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นหากว่ายันต์ผืนนี้ถูกไทเฮาและท่านแม่ทัพสองพี่น้องเผาไปละก็ ผลร้ายที่จะตามมาเขาคงไม่กล้าคาดคิด
พูดไปแล้ว เขาก็พยักหน้าติดๆ กันหลายครั้ง พลางเหลือบตาไปทางตู๋กูซิงหลัน เห็แม่นางน้อยชุดขาวนั่นจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด ใจของเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอีก
สตรีที่สามารถทำให้ฮ่องเต้หลงใหลในความงามจนถึงกับสิ้นพระชนม์ไปได้ สตรีที่ทั้งฝีปากดีเป็นพิเศษและยังมักจะอารมณ์รุนแรง สตรีที่น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าผีปีศาจ……จะมีคู่แค้นมากหน่อยก็ถือว่าสมควรอยู่
“แต่ว่ายันต์นั่น เทียบกับยันต์ภพหน้าแล้วดูคล้ายกันมาก ” ในบรรดาผู้ที่อยู่ที่นี่ก็มีผู้ที่มากประสบการณ์รวมอยู่ด้วย “ท่านนักพรตอู๋เจิน คงไม่ใช่แค่ท่านกล่าวว่ามันเป็นยันต์แช่ง มันก็ถือว่ามันใช่แล้วหรอกนะ? “
“อักขระยันต์นี้นับว่าคล้ายคลึงกับยันต์ภพหน้ามากอยู่ เพียงเปลี่ยนแปลงไม่กี่ลายภู่กันเท่านั้น พวกเจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรวิชาเต๋า จะไปรู้อะไร? ” นักพรตอู๋เจินขู่ใส่คนพวกนั้น “ยิ่งไปกว่านั้น ยันต์ผืนนี้ใช้เลือดเขียนขึ้นมา เป็นเลือดจากศพคน พวกเจ้าคิดว่ายันต์ที่ใช้สิ่งอัปมงคลเช่นนี้วาดขึ้นมาจะยังเป็นยันต์ที่ดีได้อีกหรือ? “
“แต่ไหนแต่ไรผู้อาวุโสล้วนไม่เคยมุสา หากทุกท่านข้องใจในตัวผู้อาวุโส ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพอารามเทียนเก๋อกวนเรา” บรรดาลูกศิษย์ของนักพรตอู๋เจินชักจะเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว คำพูดของนักพรตในอารามเทียนเก๋อกวน พวกคนธรรมดาสามัญเหล่านี้กลับกล้าแสดงความสงสัยออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
คำพูดพึ่งกล่าวจบไป ในมือของนักพรตอู๋เจินก็เกิดเปลวเพลิงสีน้ำเงินขึ้นบนกลางฝ่ามือ เผาทำลายยันต์ผืนนั้น พลันเกิดกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนอย่างรุนแรง ทำให้ผู้อยู่ใกล้พะอืดพะอม
เป็นกลิ่นที่เกิดจากเลือดของศพที่ยันต์ผืนนี้ใช้วาดขึ้นมา
คราวนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยอีกแล้ว
เมื่อมองเห็นยันต์คำสาปกลายเป็นเถ้าถ่าน ผู้คนทั้งหลายก็พากันหันไปมองเต๋อเฟยแล้ว
พวกเขาล้วนรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อเลย พระสนมเต๋อเฟยที่มีเมตตาปราณีหนักหนา จะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
เรื่องนี้จะต้อง มีความเข้าใจผิดในที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ใช่ไหม?
เต๋อเฟยกุมมือไว้ที่ทรวงอก ดวงตาทั้งคู่ล้วนมีประกายน้ำตาคลออยู่แล้ว สะท้อนความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและความชอกช้ำเพราะความอยุติธรรมที่ได้รับ ยันต์ที่นางขอมาไม่มีทางเกิดปัญหาได้!
ทั้งหมดนี่เป็นตู๋กูซิงหลันและนักพรตอู๋เจินนั่นร่วมมือกัน คิดจะผลักนางให้ไร้ซึ่งหนทางอีกต่อไป!
สองขาของนางอ่อนแรง ทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าฝ่าบาท “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ความ หม่อมฉันไม่มีทางกระทำเรื่องเลวทรามโหดร้ายเช่นนั้นได้! ขอพระองค์ทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ~”
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างๆ จีเฉวียน สายตาของนางจดจ้องอยู่ที่เต๋อเฟยอย่างเย็นชาสุดขีด
ดูใบหน้าน้อยๆ นั่นสิ ทำเป็นโศกเสียจนเสมือนดอกไม้สลด ใครเห็นเป็นต้องเกิดความสงสาร
ปกติเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันจะต้องชิงลงมือก่อนเต๋อเฟยก้าวหนึ่ง โผเข้ามาหาฮ่องเต้เรียกคะแนนสงสารไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทผู้ทรงเตรียมพระองค์ไว้อย่างดีว่าจะถูกนางเข้ามากระเง้ากระงอดเพื่อการณ์นี้ ถึงกับทำพระองค์ไม่ถูกเพราะไม่เคยชินเสียแล้ว
นางสมควรจะคว้าฉลองพระองค์ของเขาไว้คร่ำครวญว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัว นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกินเพคะ หงิงๆๆๆ ~”
แต่ว่าคราวนี้นางกลับไม่มากระเง้ากระงอดเขาแล้ว เพียงแต่ยืนอย่างสงบนิ่งข้างๆ เขา ราวกับว่าเรื่องนี้จะมีเขามาเอี่ยวด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยจนรุ่มร้อนอย่างไร้สาเหตุ เขาถูกตู๋กูซิงหลันพะเน้าพะนอมานานจนเคยเสียแล้ว หากว่านางกลายเป็นเฉยชาไร้อารมณ์ เขารู้สึกว่าไม่ดีไม่เหมาะอย่างไรไม่รู้
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เคร่งขรึมลง กวาดพระเนตรมองเต๋อเฟยที่น้ำตาตกดังสายฝนครั้งหนึ่ง “ตกลงว่าเจ้าขอยันต์มาจากผู้ใดกันแน่? “
เต๋อเฟยรีบทูลตอบว่า “หม่อมฉันได้ทำการวอนขอยันต์จากท่านนักพรตอู๋เจินจริงๆ เพคะ แต่ว่าท่านนักพรตไม่เคยยอมออกมาพบ ต่อมาลูกศิษย์ของท่านนักพรตถูกหม่อมฉันวิงวอนจนหวั่นไหว จึงได้มอบยันต์ให้สองผืน เขาบอกว่าอักขระยันต์นี้เป็นท่านนักพรตอู๋เจินเขียนด้วยตนเอง….หม่อมฉันย่อมต้องเชื่อ เพราะว่าสถานที่เช่นอารามเทียนเก๋อกวนนั้น คนเช่นหม่อมฉันจะกล้าสงสัยได้อย่างไร…..”
เต๋อเฟยร่ำไห้ไม่หยุด ท่าทางของนางราวกับได้รับความอยุติธรรมอย่างหนักหนา
นางกัดริมฝีปากจนแทบจะเลือดออก วันนี้นางต้องเจอเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มีหรือจะยอมถอดใจไปได้!
นังตู๋กูซิงหลันช่างมีพิษสงนัก วางแผนร้ายใส่นาง! นางจะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด!
“พอดีเชียว ศิษย์ทั้งหมดขอข้านักพรตล้วนอยู่ที่นี่แล้ว พระสนมเต๋อเฟยท่านลองดูสิ ว่าเป็นคนหนึ่งคนใดในพวกเขาหรือ? ” นักพรตอู๋เจินนำศิษย์ทั้งหมดมาที่เบื้องหน้าของเต๋อเฟย ให้นางได้ชี้ตัวคน
เต๋อเฟยกวาดตามอง แล้วก็ชะงักไป ในบรรดาคนพวกนี้……ไม่มีผู้ใดเหมือนกับนักพรตผู้นั้นเลย
นางกัดริมฝีปากย้ำลงไปอีก มองไปที่ตู๋กูซิงหลันด้วยแววตาโกรธเกลียด ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ตู๋กูซิงหลันวางหมากเอาไว้อย่างดีถึงเพียงนี้!
นางเคยคิดว่าตนเองวางแผนแต่ละก้าวเอาไว้อย่างดี กลับคาดไม่ถึงว่าตนเองจะตกลงไปในหลุมพรางของนังตัวร้ายนั่น
ช่างยอดเยี่ยมนัก นังไทเฮาที่ทำตัวเป็นหมูกินเสือ!
ยันต์ที่เอาชีวิตนางได้ผืนนั้น จะต้องเป็ตู๋กูซิงหลันวางแผนให้คนนำมาให้นาง!
นังตัวร้ายนั่นไม่พอใจนางอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว! ย่อมต้องเป็นเพราะเคยเห็นนางและอี้อ๋องพุดคุยกัน ถึงได้เกิดความหึงหวง!
และเพราะคราวนี้ นังหญิงชั่วนั่นคิดจะเกาะติดฝ่าบาท คิดจะเปลี่ยนตนเองจากไทเฮามาเป็นพระสนม ไม่สิ อาจจะเป็นถึงฮองเฮา!
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางกำจัดผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญเช่นตนเอง!
หมากตานี้ช่างชั่วช้านัก!
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นางใจไม่เ**้ยมมือไม้อ่อนเกินไปละก็ มันคงต้องตายไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง!
ตอนนั้นยาที่ใส่ให้มันตอนที่ส่งขึ้นเตียงบรรทมของฝ่าบาท………. ตัวยาน้อยเกินไปแล้ว!
ตู๋กูซิงหลันมองดูนางอย่างเงียบๆ คำพูดของเต๋อเฟยนางเชื่อถือเพียงแค่ครึ่งเดียว
นางอาจจะไม่รู้จริงๆ ว่ายันต์นั่นเป็นยันต์สาปแช่ง เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเต๋อเฟยในวันนี้ คือต้องการให้ ‘ฆาตกรฆ่านักโทษ’ เช่นนางพ่ายแพ้ชื่อเสียงย่อยยับ ให้ฝ่าบาทจำต้องจัดการลงโทษนางต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางและพี่ใหญ่ย่อมไม่มีโอกาสมานั่งเผายันต์ผืนนั้นแล้ว
เช่นนี้ก็มีปัญหาอยู่บ้างแล้ว…..ตกลงว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ ที่คิดจะยืมมือของเต๋อเฟย มาจัดการพวกนางตระกูลตู๋กูไม่ให้ตายดี?
จีเฉวียนหรือ?
ตู๋กูซิงหลันคิดถึงเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่เป็นคนแรก นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง
พอดีกับที่ต่างฝ่ายก็ประสานสายตาหากัน
ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงเย็นชาเหมือนเช่นเคย แต่ว่ากลับมีแววภูมิใจอยู่ไม่น้อย
มองมาที่เรา หมายความว่าอยากให้เราหนุนหลังเจ้า
จีเฉวียนยกคางขึ้นเล็กน้อย สงสายตากลับไปว่า ‘ขอร้องเราสิ’!
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจการสื่อสารทางสายตาของเขาสักนิด นางลอบส่ายศีรษะเบาๆ
ไม่ใช่เขา….เมื่อสักครู่ก็ได้ยินเต๋อเฟยพูดแล้วว่า นางขอยันต์นั่นมาสองผืน อีกผืนหนึ่งเตรียมจะถวายฉางซุนไทเฮา
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นี้ คิดลงมือใครก็ได้อยู่แต่ไม่มีทางทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน
แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะจงใจทำยันต์สาปแช่งนั่นขึ้นมาอีกชุด เพราะถึงอย่างไรจะเผาหรือไม่เผาก็อยู่ที่ตัวเขาเอง
หากว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่เผายันต์นั่นต่อหน้าพระสุสานของฉางซุนฮองเฮาละก็……..
ตู๋กูซิงหลันลูบคางอย่างครุ่นคิด พลางหันไปมองดูผู้คนที่อยู่โดยรอบ สุดท้ายก็หยุดลงที่จีเย่ว์และเสียนไท่เฟยที่เสมือนไม่มีตัวตนมาโดยตลอด
ในแผ่นดินต้าโจวนี้ ผู้ที่อยากจะให้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นตายวันตายพรุ่ง นอกจากตัวนางตู๋กูซิงหลันแล้ว ก็คือสองแม่ลูกอี้อ๋องนี้ละ