ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 83 ขนหน้าแข้งจีเฉวียนเยอะกว่าจีเย่ว์
“เราจำได้ว่ามีสตรีบางคนที่มีวิชาตบหน้าขจัดพิษของบรรพบุรุษ กำลังวังชาดีไม่น้อยไม่ใช่หรือ? “
จีเฉวียนยกพระหัตถ์ข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บมาวางลงบนบ่าของนาง พลันหัวเราะออกมา “ไทเฮา เจ้าไม่ใช่ว่ารักเอ็นดูเราที่สุดหรอกหรือ? ตอนนี้เรายังไม่ได้ขอให้เจ้าอุ้มสักหน่อย แค่แบกเราออกไป เกินไปตรงไหน? “
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหัวเราะใส่เสียจนร่างกายหนาวสะท้าน สถานที่ใต้ดินแห่งนี้สะสมธาตุหยินเอาไว้มาก แสงสว่างจากไข่มุกราตรีส่องลงบนใบหน้าของเขา ดูไปยิ่งเย็นเยือกอย่างไรก็ไม่รู้ พาให้คนเห็นรู้สึกขนอ่อนลุกชัน
เจ้าลูกสุนัขนี้ยังจดจำเรื่องที่เคยถูกนางตบหน้าได้ ยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก!
นางได้แต่แอบกลอกตาบน หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือสุสานของท่านย่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขตายไปคนตระกูลตู๋กูยากที่จะหนีความรับผิดชอบล่ะก็ นางละอยากจะฝังเขาให้อยู่ยาวที่นี่ไปเลย
และเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้มากความ นางก็เตรียมจะพยุงเขาขึ้นบ่าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียที่คุ้นเคยดังมาไม่ไกล
“ไทเฮาพะยะค่ะ กระหม่อมเองก็บาดเจ็บสาหัส ต้องการการดูแล”
เพียงแค่ประโยคเดียว ตู๋กูซิงหลันก็รีบเอาไข่มุกราตรีส่องไปตามเสียงที่มุมกำแพงด้านหลัง เห็นจีเย่ว์นั่งพิงอยู่ตรงนั้น ราวกับดวงวิญญาณดวงหนึ่งกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา
ใบหน้าที่งดงามดุจดอกไม้หยกของเขาถลอกจนมีเลือดออก แขนเสื้อก็ขาดวิ่น เผยให้เห็นเลือดที่กำลังไหลหยดตรงข้อมือ ดวงเนตรที่ลึกล้ำประหนึ่งดวงดาวในท้องทะเล ตอนนี้กลับริบหรี่ลงไปมากเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปในทันที และไม่รู้ทำไมในใจพลันเจ็บปวดอย่างไร้ที่มา
ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองทุ่มแทงทำร้ายจีเย่ว์ไปนับไม่ถ้วน
โอ้ ความรักของร่างเดิมนี้ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก ความรู้สึกผูกพันธ์ที่เคยมีแม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีเยื่อใยหลงเหลืออยู่
อืม….ตอนนี้นางรู้สึกปวดฟันเสียแล้ว
คราวนี้ละเกิดปัญหาขึ้นแล้ว : เมื่อบุรุษที่เคยรักกับเจ้าลูกชายสุนัขตกลงมาในหลุมและบาดเจ็บขยับไม่ไหวไปครึ่งร่างพร้อมกัน นางควรจะแบกคนไหนดีละ?
จีเฉวียนเองก็ทอดพระเนตรตามไป ตอนแรกเขาคิดว่าจีเย่ว์จะตกลงไปตามซอกหลืบมุมไหนก็ไม่รู้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะหล่นลงมาใกล้พวกเขาเสียขนาดนี้ ดูผมเผ้าหลุดรุ่ย ท่าทางหมดสภาพเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคิดจะเรียกคะแนนความสงสารหรอกหรือ?
ก็แค่ข้อมือถลอกปอกเปิกนิดๆ หน่อยๆ เอง จะหนักหนากว่าเขาได้หรือไง?
เขาทอดสายตาเย็นชาออกไป ยามนี้คนทั้งคนทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวตู๋กูซิงหลัน “ไทเฮา มือของเราเจ็บปวดมากเลย เจ้าดูสิ ถูกแทงเป็นแตงเสียบไม้แบบนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าช่วยเจ้าไว้ เราคงไม่ต้องมาบาดเจ็บอเนจอนาถขนาดนี้”
ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่ามือของเขายามนี้ดูเหมือขาหมูเสียบไม้ย่างมากกว่า…….
“นี่ ยังมีเท้าของเราอีก ดูสิว่าบวมเป็นซาลาเปาลูกใหญ่เลยไม่ใช่หรือ? ” จีเฉวียนตรัสไป ก็ดึงชายสนับเพลาขึ้นมา สบัดรองเท้าหุ้มส้นออก เผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมเป็นหมั่นโถลูกหนึ่ง แล้วยังแกว่งไปมาต่อหน้านาง
ตู๋กูซิงหลันหันมาเขม่นตาใส่เขาครั้งหนึ่ง ทำไมนางถึงได้รู้สึกคล้ายกับว่าเจ้าตัวปัญหานี่กำลังจงใจโอ้อวดอยู่บ้าง?
เจ้าเท้าบวมเช่นนี้ เจ้าภูมิใจเสียเหลือเกินนะ
ตู๋กูซิงหลันคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องเสียเท่าไหร่ เจ้าฮ่องเต้สุนัขคงไม่ได้รู้ทันความคิดของนางที่อยากจะตัดศีรษะของเขา แต่ว่าตนเองยามนี้ไร้กำลังต่อต้าน จึงได้งัดเอาแผนแสร้งน่าสงสารสร้างความเห็นใจมาปกป้องชีวิตตนเองหรอกนะ? “
หากว่ากันตามอุปนิสัยของเขาแล้ว มีที่ไหนจะมายอมลงให้นางขนาดนี้กัน?
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินทางด้านจีเย่ว์ร่ำร้องว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ขาของกระหม่อมท่าจะหักเสียแล้ว เดินไม่ได้เลย ขอไทเฮาทรงพระกรุณาประคองกระหม่อมด้วย~”
ว่าแล้ว เขาก็รั้งชายสนับเพลาขึ้นเช่นกัน เผยให้เห็นบาดแผลที่ค่อนข้างหนักหนาบนท่อนขา
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
นี่มิใช่หมายความว่ามีแต่นางที่เป็นหญิงแกร่งหนังเหนียวกระดูกเหล็กหรอกรึ นอกจากว่าตกลงมามึนสลบไปครู่หนึ่ง ที่เหลือก็ไม่มีที่ใดเสียหาย
นางมองดูพระบาทของจีเฉวียน แล้วก็หันไปมองดูขาของจีเย่ว์ ทันใดนั้นก็พบเรื่องสำคัญขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ขนหน้าแข็งจีเฉวียนเยอะกว่าจีเย่ว์!
เมื่อต้องเผชิญกับอี้อ๋องที่ยกความอนาถมาสู้กัน ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมา จากนั้นเขาก็งัดเอามาดฮ่องเต้ออกมาสู้บ้าง “ซี่โครงของเราก็หักด้วย! ไทเฮา เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าเห็นเราเป็นดังลูกชายแท้ๆ ? ลูกแท้ๆ ก็ย่อมจะสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือไง? “
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นน้องชายของพระองค์ ไทเฮาเองก็ถือว่าเป็นมารดาในนามของกระหม่อมด้วย กระหม่อมก็ย่อมถือว่าเป็นบุตรของนางเช่นกัน ไทเฮาย่อมไม่อาจเลือกที่รักมักที่ชังได้หรอกพะยะค่ะ” จีเย่ว์อาศัยว่าพิงกำแพงพยุงตัวตอกกลับมา ดวงตาคู่นั้นตั้วแต่ต้นจนจบก็จดจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
โอกาสที่จะได้มองดูนางใกล้ๆ นานๆ เช่นตอนนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว ดังนั้นเขาย่อมห่วงแหนเป็นพิเศษ
ต่อให้ต้องตกลงมาอยู่ในสุสานของเย่วฮูหยินก็ตาม
ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าลมอะไรพัดมาถึงทำให้สองพี่น้องคู่นี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอยากจะมีแม่ขึ้นมาเสียอย่างงั้น
คราวนี้แม้แต่วิญญาณทมิฬยังพูดไม่ออกไปแล้ว มันหมอบอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน หน้าตาบูดบึ้ง “ข้าว่านะ ลูกชายของเจ้าสองคนนี้อายุรวมกันคงได้แค่สามขวบล่ะมั้ง ถึงได้โยเยขนาดนี้? “
ไม่คิดจะดูสักหน่อยหรือว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ไหนกัน! ใครจะไปคิดว่าสุสานของเย่วฮูหยิน ที่แท้ก็ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้หรือ?
สุสานแห่งนี้มีธาตุหยินเข้มข้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีตัวอะไรที่น่ากลัวออกมาก็ได้ ครั้งนี้แม้แต่ตัวมันยังไม่กล้าหยามใจ สองตาคอยจดจ้องรอบทิศทั้งสี่ด้านตลอดเวลา
สถานที่ที่พวกเขาอยู่กันในตอนนี้ ดูคล้ายกับโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง รอบด้านมีแต่กำแพงหินที่ชื้นแฉะ บนกำแพงหินยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำลื่นๆ ใต้ตะไคร่น้ำคล้ายกับจะเป็นลวดลายอะไรบางอย่าง มองได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่
ทั้งๆ ที่ตกลงมาจากด้านบนชัดๆ แต่ว่าตอนนี้เพดานเหนือศีรษะกลับมีแต่กำแพงหินที่แข็งแกร่ง ไม่มีดินโคลนแม้แต่น้อย
ภายใต้แสงสว่างของไข่มุกนี้ อย่างมากก็เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยเท่านั้น เบื้องหน้าของพวกเขาทุกสิ่งยังคงดำมืด มองอย่างไรก็ไม่เห็นปลายทางสักนิด
ราวกับว่าตกอยู่ในปากของสัตว์ประหลาด ยิ่งเดินก็ยิ่งถูกกลืนลึกลงไปเรื่อยๆ
วิญญาณทมิฬพยายามเบิกตาของมันให้กว้างเข้าไว้ ด้วยเกรงว่าหากมันพลั้งเผลอเมื่อไหร่ก็อาจจะพลาดอะไรไปก็ได้
เจ้าวิญญาณผีตายโหงบนตัวตู๋กูเหลียนนั้น ช่วงนี้คงจะไม่อาจกินมันได้ชั่วคราว หากว่าบังเอิญสุสานแห่งนี้มีสัตว์ประหลาด มารร้ายอะไรต่างๆ โผล่มาแล้วล่ะก็ จะได้จับพวกมันกินแทน ………เฮอะๆๆๆๆ แค่คิดก็หิวเสียแล้ว
แน่นอนว่า ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่จะต้องเป็นตัวที่สามารถจะจัดการได้
ว่าไปแล้วก็ประหลาดแท้ๆ เย่วฮูหยินนั่นคงจะไม่ใช่ตัวประหลาดอะไรหรอกนะ แต่ไม่งั้นทำไมพอตายแล้วในสุสานถึงได้มีบรรยากาศเช่นนี้?
ขณะที่วิญญาณทมิฬกำลังครุ่นคิด อยู่ๆ มันก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีสายลมพัดมาเบาๆ ความเย็นวาบที่กระจายมาถึงนี้ทำให้แม้แต่ตัวมันยังรู้สึกหนาวสะท้าน
มันยื่นมือสั้นๆ ของตนเองออกมา เกาะอยู่รอบๆ คอของตู๋กูซิงหลัน ยกก้นขึ้นกล่าวอย่างตื่นเต้นระคนดีใจว่า ” อ้ายหย๋าๆๆๆ มาแล้วๆๆ มาแล้วววว! “
คราวนี้ แม้แต่ฮ่องเต้และอี้อ๋องที่กำลังยื้อแย่งมารดากันอยู่ก็ยังรู้สึกได้ มันราวกับว่าเป็นแรงสั่นสะท้านจากลมหลายใจอันหนาวเหน็บยิ่งกว่าความเย็นในฤดูหนาว ลมนั่นคล้ายกับพัดมาจากทางด้านหลัง และก็เหมือนกับว่าพัดขึ้นมาจากปลายเท้าด้วย แทรกซึมผ่านผิวหนังเข้าไปถึงภานในร่าง
ทั้งสองคนต่างก็พากันขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่มีใครยื้อแย่งชิงดีชิงเด่นกันอีก ดวงตาของพวกเขากวาดมองไปรอบทิศทั้งสี่ด้าน
สุสานของเย่วฮูหยินนั้น ฟังมาว่าได้ไปเชิญสุดยอดปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยและด้านกลไกมาร่วมกันสร้างขึ้น ไม่รู้ว่าพวกเขาบังเอิญไปแตะต้องโดนกลไกตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้หลุดเข้ามาอยู่ในนี้ หากว่าอีกสักพักยังออกไปไม่ได้ แล้วเกิดไม่ระมัดระวังไปดึงดูดอะไรออกมา พวกเขาที่มีแต่มือเปล่าเกรงว่าคงจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
จีเฉวียนใช่มือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บมากุมข้อมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น เขามองไปยังบนกำแพงหินที่ด้านหลังของจีเย่ว์ที่เกิดเสียงแปลกประหลาดขึ้น
ครู่ต่อมากำแพงนั่นก็เริ่มขยับ……..