ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 91 อย่าได้ลืมความตั้งใจเดิม
ทันทีที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน ความเยือกเย็นที่แหลมคนส่งผ่านมาทางหลังมือ แววตาของตู๋กูซิงหลันที่มองออกไปก็พลันวูบวาบขึ้น ภายใต้คิ้วโก่งดั่งไต้หยู่ สีหน้าของนางยังสงบราบเรียบ ดวงตาดอกท้อก็เพิ่มประกายเย็นชา
“ไท่เฟยกล่าวหนักไปแล้ว อี้อ๋องเองก็นับว่าเป็นโอรสของเรา เราย่อมต้องช่วยเหลือเขา”
เสียนไท่เฟยชะงักไปชั่วขณะ “ไทเฮาทรงมีน้ำพระทัยเช่นนี้ หม่อมฉันย่อมจดจำเอาไว้แล้ว”
ว่าแล้ว นางก็มองดูตู๋กูซิงหลันอย่างจดจ้อง “ไม่ทราบว่าตลอดทางที่อยู่ในสุสาน ไทเฮาทรงพบเจออะไรบ้างหรือไม่? ถึงได้ทำให้มีสภาพที่ยากลำบากเเช่นนี้”
“เราชักจะไม่รู้แล้วว่า ที่แท้ไท่เฟยทรงกังวลใจในสุสานของท่านย่ายิ่งกว่าตัวอี้อ๋องเสียอีก…….” ตู๋กูซิงหลันขยับริมฝีปากแดงฉ่ำ “หากว่าเสียนไท่เฟยมีความสนใจ ลองเข้าไปสำรวจดูด้านในด้วยตัวเองก็จะได้รู้แล้วมิใช่หรือ? “
เสียนไท่เฟยชะงักไปครู่หนึ่ง นางคิดจะกล่าวอะไร กลับเห็นตู๋กูซิงหลันกระตุกชายแขนเสื้อตู๋กูจุนถี่ๆ “พี่ใหญ่เจ้าค่ะ ข้าเหนื่อยจัง”
เสียนไท่เฟยคิดจะสอบถามอะไรเพิ่มเติม ก็เห็นตู๋กูจุนมองมาที่นางด้วยสายตาอาฆาต พลันรีบโอ้อุ้มนางขึ้นมา “พี่ใหญ่จะพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“พาเจ้าไก่นั่นกลับไปด้วย มันดูน่ากินดี” ตู๋กูซิงหลันไม่ลืมเจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูรีบใช้ปีกมาห่อหุ้มตัวมันเอาไว้ ที่จริง มันอยู่ในสุสานมานานมากเลย กระทั่งขนยังขึ้นราหมดแล้ว ไม่น่ากินเลยสักนิด
ตู๋กูจุนเหลือบมองมันคราหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเจ้าไก่ตัวนี้อวบอ้วนดีไม่น้อย หากว่านำไปนึ่งสักครึ่งตัว ตุ๋นน้ำแดงอีกครึ่งตัวก็คงจะกำลังดี
ว่าแล้วเขาก็สั่งให้คนจับมันกลับไปด้วย
จากนั้นก็สั่งให้ทหารตระกูลตู๋กูส่วนหนึ่งกลบปิดอุโมงค์ใต้ภูเขานั่นให้เรียบร้อย
ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะจากไป นางยังไม่ลืมกล่าวกับท่านนักพรตอู๋เจินที่ถูกเหล่านักพรตรูปงามทั้งหลายรายล้อมเอาไว้ “ที่เราสามารถออกจากสุสานมาได้อย่างปลอดภัยในวันนี้ เป็นเพราะยันต์ที่ท่านอุส่าห์มอบให้ไว้ เราจะต้องหาเวลาไปขอบคุณที่อารามเทียนเก๋อกวนด้วยตนเอง”
ท่านนักพรตอู๋เจินฟังแล้วก็หนาวใจขึ้นมาวาบหนึ่ง พ่อแก้วแม่แก้ว! ขอท่านได้โปรดอย่าได้มาที่อารามเทียนเก๋อกวนอีกเถอะ อารามหลังน้อยของเราไม่อาจรองรับผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านได้หรอก!
ยังมีอีกเรื่องเขาเคยมอบยันต์ให้แก่นางที่ไหนกัน? นี่มันชัดเจนเลยว่าไทเฮาน้อยทรงเอาเขาไปเป็นหนังหน้าไฟแท้ๆ ……
ยามนี้ตู๋กูจุนกลับรู้สึกได้ถึงเรื่องแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม พอน้องเล็กออกจากสุสานของท่านย่าได้ ถึงได้เปลี่ยนเป็นตัวหนักขึ้นมาไม่น้อย
เขาลองกะๆ น้ำหนักในอ้อมแขนดู ไม่ทันไรก็ได้ยิ่งเสียงตุ๊บๆ ทองแผ่นหนึ่งหล่นลงมาจากตัวตู๋กูซิงหลัน ทองคำแผ่นนั้นเกือบจะหล่นทับเท้าของเขาอยุ่แล้ว ครู่ต่อมา เขายังไม่ทันจะอุ้มให้ดี ก็ตกลงมาอีกแผ่น
ตู๋กูซิงหลัน “อุ้ยๆๆๆ เงินของเรา! ” อย่าแตกหักนะ มันปวดใจเหลือเกิน!
ผู้คนทั้งหลาย “……..” ไทเฮาน้อยผู้นี้ แม้แต่สมบัติร่วมกลบฝังของท่านย่าตัวเองก็ยังจะลักเอามาหรือ?
ดูสิว่าช่างเป็นลูกหลานที่อกตัญญูขนาดไหน! ที่เย่วฮูหยินไม่ได้โกรธจนลุกขึ้นมจากโลงอีกครั้งก็นับว่าแปลกแล้ว!
ตู๋กูจุนปวดใจเพราะเห็นแก่น้องเล็กอย่างที่สุด เขาก้มลงไปเก็บของสองแผ่นนั้นขึ้นมาให้นางกอดเอาไว้ แอบสาบานอยู่ในใจเงียบๆ เขาจะต้องขนเอาภูเขาเงินภูเขาทองมากองไว้ที่ตรงหน้าน้องเล็กให้จงได้
ยามที่เขากำลังอุ้มตู๋กูซิงหลันหายลับไปจากสายตาผู้คนนั้น ท่านราชครูจึงค่อยหันมามองทางนี้ ดวงตาที่แสนงดงามน่าดูคู่นั้น หรี่ลงน้อยๆ ค่อยสาดประกายที่เย็นยะเยือกออกมา
…………………………………….
กว่าที่ฝ่าบาทจะทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมานั้น เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว หากท่านหมอหลวงซุนมิได้ทุ่มเทฝีมือวิชาแพทย์ทั้งหมดลงไปคาดว่าฝ่าบาทคงเสด็จขึ้นสวรรค์ไปนานแล้ว
เพราะยามที่ท่านราชครูนำเสด็จฝ่าบาทกลับไปนั้น ตลอดพระวรกายเยือกเย็นไปหมด…….แทบจะเหมือนศพไปแล้ว แม้แต่ชีพจรก็อ่อนบางจนแทบจะขาดช่วง
พระหัตถ์ข้างซ้ายที่ถูกปิ่นแทงทะลุนั้น บวมฉลุราวกับอุ้งมือหมี ถึงพวกเขาจะถอนออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงเสียพระโลหิตมากเกินไปอยู่ดี
อีกทังยังมีกระดูกเคลื่อนและบาดแผลภายนอกมากมาย ใครไม่รู้เข้าคงคิดไปว่าฝ่าบาททรงออกรบที่ใดมา
บาดแผลต่างๆ เหล่านี้ หากว่าเป็นผู้อื่นคาดว่าคงขาดใจตายไปก่อนแล้ว ยังดีที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงมาโดยตลอด ถึงได้พอฝืนทนมาได้
ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าฝ่าบาททรงไปพบเจออะไรในสุสานเย่ฮูหยินถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
ฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์ตัวในสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ดุจหิมะ เอนพระองค์อิงกับเบาะอ่อน พระเกศาดำยาวสยาย พระพักตร์ยังคงงามล้ำเกินกว่าใครเทียบได้ เพียงแต่ออกจะซีดเซียวไปบ้าง บนพระปรางค์ขวายังมีรอยแผลอยู่สองรอย
บรรดาผู้รับใช้ในพระตำหนักตี้หัวกงต่างถูกไล่ออกไป เหลือเพียงหลี่กงกงน้อมเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
ตอนนี้ ท่านราชครูนั่งอยู่บนเบาะอ่อนด้านข้าง ในมือของเขากำลังถือตลับยาทาผิวสีขาวราวหิมะอยู่ ใช้ขนนกทายาลงไปเบาๆ ให้ฝ่าบาท
บาดแผลบนพระพักตร์ของฝ่าบาทสมานตัวแล้ว บาดแผลที่มือติดเชื้อ ยังคงเป็นหนอง
“ฝ่าบาท พระองค์ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เรื่องของตระกูลตู๋กูนั้น จะปล่อยไปโดยไม่เอาความจริงหรือพะยะค่ะ? ” ฉางซุนซิ่วใส่ยาอย่างระมัดระวังพลางสอบถามไปด้วย
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะอวบอ้วนเป็นหมูสามชั้น แต่ว่าใบหน้าและมือไม่ได้อ้วนไปด้วย มือที่ใช่ใส่ยาถวายนั้นสวยงามหน้าดู ทั้งเรียวยาว ขาวสะอาดและได้รูปกระดูกสวยงามชัดเจน แม้แต่เล็บยังเงางามเสมือนแท่งหยก
ดูแล้วแตกต่างกับพระหัตถ์ที่ได้รับบาดเจ็บของฝ่าบาทเป็นอย่างมาก
จีเฉวียนทรงพิงพระองค์อยู่บนหมอนนุ่ม ในดวงพระเนตรหงส์มีแววเย็นชาที่เคยอยู่เสมออีกครั้ง “เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ”
“ทั้งๆ ที่ฝ่าบาททรงสามารถอาศัยเรื่องนี้จัดการตระกูลตู๋กูได้แท้ๆ ” ฉางซุนซิ่วมาดูพระหัตถ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็มีแววกังวลอยู่ไม่น้อย “กระหม่อมจำได้ว่ายามเมื่อฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น เคยตรัสไว้ว่าหากมิได้พิฆาตตระกูลตู๋กูจะไม่ขอเลิกรา”
จีเฉวียนขมวดพระขนง สายพระเนตรทอประกายเย็นชากว่าเดิม
“เป็นเพราะไทเฮาหรือพะยะค่ะ? ฝ่าบาททรงมีพระทัยต่อไทเฮา หรือว่า…..”
พูดถึงตรงนี้ ฉางซุนซิ่วก็ชะงักไปชั่วครู่ เขาหยิบเอาผ้าโปรงออกมา ค่อยๆ พันรอบพระหัตถ์ “ถึงแม้ว่าอาจทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย แต่อย่างไรกระหม่อมยังขอทูลเตือนสักประโยค ขอพระองค์อย่าได้ทรงลืมว่าฉางซุนฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์ไปได้อย่างไร อย่าได้ทรงลืมว่าญาติผู้พี่ของกระหม่อมฉางซุนซูตายเพราะอะไร ยิ่งอย่าได้ลืมว่า…….”
“เรารู้ดี ” จีเฉวียนสบพระเนตรเขาครั้งหนึ่ง ก็ยื่นพระหัตถ์ไปฉวยผ้าโปร่งผืนนั้นมาถือพันเอง พระกระแสรับสั่งของขาเย็นชาราวกับสายธารน้ำแข็งในคิมหันต์
และเพราะทรงใช้พละกำลังมาก ผ้าโปร่งจึงทับบาดแผลจนพระโลหิตซึมออกมาอีก แต่คล้ายกับว่าไม่ได้ทรงรู้สึกเจ็บอันใด
ฉางซุนซิ่วมองดูเลือดที่ปากแผล ก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงพันแผลไม่เป็น ให้กระหม่อมช่วยเถอะ”
สายพระเนตรของจีเฉวียนเข้มข้นขึ้น ยังคงฝืนผูกผ้าด้วยตนเองต่อไป
พระองค์เสด็จลงจากเบาะอ่อนไปยังพระบัญชร ทอดพระเนตรมองดอกกุ้ยฮวาที่กำลังผลิบาน “ราชครู สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เราย่อมรู้กระจ่างดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ กังวลให้มากไป”
ฉางซุนซิ่วชะงักงันไปครู่หนึ่ง มองดูแผ่นหลังที่องอาจสง่างามของฮ่องเต้ เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดในปากลงไป สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นสอบถามว่า “ฝ่าบาททรงประสบพบเจอสิ่งใดในสุสานของเย่วฮูหยินกันแน่? นับแต่เมื่อทรงรู้สึกพระองค์ขึ้นมา กระหม่อมรู้สึกกว่าพระองค์ทรงไม่เหมือนเดิม”
เปลี่ยนไปแล้ว …….เปลี่ยนเป็นมีน้ำพระทัยเมตตาแล้ว
น้ำพระทัยเมตตานี้ ทรงมีต่อตระกูลตู๋กู หรือพูดให้ถูกคือมีต่อตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงช่วยตู๋กูซิงหลันจากน้ำมือของเต๋อเฟยนั้น พระองค์ก็มิใช่ฝ่าบาทคนเดิมอีก
“พอเราตกลงไปก็สลบหมดสติ เป็นไทเฮาที่ช่วยเราไว้ เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ? ” จีเฉวียนทรงหันพระขนองให้เขา ทอดพระเนตรมองออกไปยังทิศทางของพระตำหนักเฟิ่งหมิง
“อ๋อ……..แบบนี้เอง” ฉางซุนซิ่วปิดตาลง ก็ถวายบังคมลง “ในเมื่อฝ่าบาทไม่โปรดจะรับสั่ง เช่นนั้นกระหม่อมก็จะไม่ถามอีก เพียงหวังว่า…….ฝ่าบาทจะไม่ทรงลืมความตั้งพระทัยแต่เดิม”