ยัยจอมกวนป่วนหัวใจนายไอดอล - ตอนที่ 463 ฉันอยากนอนกับนาย / ตอนที่ 464 ซย่าซย่าไม่ใช่ลูกของตระกูลอัน
- Home
- ยัยจอมกวนป่วนหัวใจนายไอดอล
- ตอนที่ 463 ฉันอยากนอนกับนาย / ตอนที่ 464 ซย่าซย่าไม่ใช่ลูกของตระกูลอัน
ตอนที่ 463 ฉันอยากนอนกับนาย
พอเห็นว่าเขาไม่สนใจเธอ ซูเสี่ยวโม่ก็กะพริบตาปริบๆ “นายไม่ชอบปีกไก่งั้นเหรอ? รอเดี๋ยว ฉันจะหาอย่างอื่นให้!”
เมื่อเห็นกองอ้วกที่แผ่กลิ่นไม่พึงประสงค์ เหอจยาอวี๋ก็แทบจะทรุดเข่า
ใครกินก็โง่แล้ว!
เขาจับมือเธอและใช้ทิชชู่เช็ดให้เธอ เหอจยาอวี๋พูดอย่างเคร่งขรึม “เรามาเล่นเกมกันเถอะ ใครพูดก่อนจะต้องตะโกนสามครั้งว่า “ฉันมันปัญญาอ่อน” !”
ซูเสี่ยวโม่พยักหน้าติดต่อกัน เหอจยาอวี๋ทำอุบายได้สำเร็จที่สามารถทำให้คนเมาไร้สติอย่างเธอขึ้นรถได้ เขาแอบชมตัวเองในใจ
ในที่สุดก็ทำสำเร็จเสียที
–
บ้านตระกูลอัน
อันซย่าซย่าเกาะตัวเซิ่งอี่เจ๋อเหมือนจิงโจ้ เธอเอาแต่พูดว่า “กอดๆ จุ๊บๆ”
หากเปลี่ยนเป็นเวลาปกติ เซิ่งอี่เจ๋อก็คงรู้สึกถึงความหวานชื่นดังชายหนุ่มที่ได้รับความโปรดปราณจากหญิงสาว
ทว่าตอนนี้…พวกเขาอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลอัน
ป่าป๊าอันกำลังถือช้อน อันอี้เป่ยกำลังถือมีดทำครัว และสองพ่อลูกกำลังจดจ้องมาที่คนทั้งสอง
สองพ่อลูกกำลังทำอาหารมื้อดึก แต่พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พวกเขาจึงลงมารับลูกสาวและเห็นภาพนั้นด้วยสายตาเผ็ดร้อน
“ทำไมนายไม่จูบฉัน…นายไม่ชอบฉันแล้วเหรอ…” อันซย่าซย่าออดอ้อนอย่างน่าเวทนา
เซิ่งอี่เจ๋อกระแอมเสียง “ทำตัวดีดี ลงได้แล้ว เราถึงบ้านแล้ว”
อันซย่าซย่าบุ้ยปาก “ฉันไม่ลง ฉันไม่ลง! นายไม่จูบซย่าซย่า ซย่าซย่าก็ไม่ลง!”
“หึหึ” อันอี้เป่ยหัวเราะเย็นชาพลางแกว่งมีดทำครัวที่ถืออยู่ในมือ
เซิ่งอี่เจ๋อไม่รับรู้อะไรแล้ว เขาหอมแก้มอันซย่าซย่าอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกับพูดเอาใจ “เอาล่ะ รีบเข้าไปเถอะ”
อันซย่าซย่าลูบแก้มพลางส่ายหัวอย่างไม่พอใจ “ฉันไม่อยากจูบแบบนี้ ฉันอยากจูบแบบปกตินั่น…”
เธอเอียงศีรษะและพยายามอธิบาย “ก็จูบแบบยื่นลิ้นออกมาจากปากไง…หวานจัง…อืม…”
เซิ่งอี่เจ๋อปิดปากเธอและแอบเหลือบมองอันอี้เป่ย เขาเห็นเพียงอันอี้เป่ยค่อยๆ ท่องประโยคหนึ่งอย่างช้าๆ “ข้าเคยฆ่าคนตายภายในสิบกระบวนท่า แต่กลับต้องมาแพ้สายตาเจ้า”
นี่คือประโยคที่จิงเคอพูดไว้ตอนสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ต เซิ่งอี่เจ๋อเหงื่อแตก ทว่าอันซย่าซย่าก็ยังคงกอดคอเขาไว้พร้อมกับพูดคำพูดคลุมเครือ “ฉันอยากนอนกับนาย…”
“เอาล่ะๆ นอน นอน นอน” เซิ่งอี่เจ๋อรีบอุ้มเธอกลับไปในห้องแล้วโยนลงบนเตียง จากนั้นใช้ผ้านวมมาล้อมไว้ อันซย่าซย่าที่กำลังเมาอยู่จึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วค่อยๆ หลับไป
เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอกแล้วเปิดประตูออกไป อันอี้เป่ยไม่ได้ถือมีดทำครัวแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงเย็นชาไม่แยแส
“พี่อัน…” เซิ่งอี่เจ๋อกล่าวทักทายด้วยความสุภาพ อันอี้เป่ยถลึงตามอง “อดใจไหวด้วยเหรอ?? คิดว่าบ้านเราไม่มีคนอยู่ล่ะสิ? นายถึงกล้าพาน้องสาวฉันไปดื่มเหล้า? มีดล่ะ? มีดฉันไปไหนแล้ว?!”
เซิ่งอี่เจ๋อเช็ดเหงื่อที่ไหลพลัก อาการหลงน้องสาวนี่แหย่ไม่ได้เลยจริงๆ
“แคก แคก ผมรับรองได้ว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ”
“หึ!” อันอี้เป่ยเชิดคางอย่างจองหอง “นายไปได้แล้ว”
เซิ่งอี่เจ๋อเตรียมจะจากไป แต่กลับได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของอันซย่าซย่าลอยออกมาจากข้างในห้องอีกครั้ง
เธอร้องไห้อีกแล้ว…
ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม…
ทันใดนั้นเซิ่งอี่เจ๋อก็เปลี่ยนเป็นท่าทีเคร่งขรึมพลางมองไปทางอันอี้เป่ย “พี่อัน ผมอยากรู้เรื่องอดีตของซย่าซย่า”
อันอี้เป่ยโกรธ “นายคิดว่านายเป็นใคร? ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย?”
“ผมเป็นแฟนเธอ”
“ถ้าบอกไปแล้ว นายจะแบกรับความเจ็บปวดแทนเธอได้ไหม?” อันอี้เป่ยยิ้มเยาะ “นายถูกทำร้ายหรือตายแทนเธอได้ไหม?”
ตอนที่ 464 ซย่าซย่าไม่ใช่ลูกของตระกูลอัน
เซิ่งอี่เจ๋อหน้าเข้ม “ในอดีตผมไม่สามารถเจ็บปวดแทนเธอได้ แต่ผมจะทำให้เธอมีความสุขในอนาคต”
ปลายนิ้วอันอี้เป่ยสั่นเล็กน้อยพลางยิ้มเยาะ “เอาล่ะ ในเมื่อนายอยากรู้งั้นฉันจะบอกนายเอง”
–
ในห้องทำงานตลบอบอวลด้วยกลิ่นกาแฟ ทว่าทั้งสองกลับไม่แตะถ้วยเลย
น้ำเสียงอันอี้เป่ยเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ “ซย่าซย่าไม่ใช่ลูกของตระกูลอัน พ่อฉันเป็นคนเก็บเธอมาเลี้ยง”
อันอี้เป่ยทิ้งระเบิดตั้งแต่เปิดมาประโยคแรก
เซิ่งอี่เจ๋อกระตุกมุมปากเล็กน้อยและมีสีหน้าเยือกเย็น
“ตอนนั้นเธอเป็นคนไข้ของพ่อฉัน ตอนที่ถูกส่งมาโรงพยาบาล เธอถูกทรมานเจียนตาย เด็กผู้หญิงที่อายุยังไม่ถึงแปดขวบ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถี่ยิบ มีรอยจี้ก้นบุหรี่ ถูกรัดด้วยเข็มขัด ทั้งยังโดนหินฟาด…ผอมถึงขนาดน้ำหนักไม่ถึงยี่สิบกิโล พูดไม่ได้ ร้องไห้ไม่ได้ แม้แต่กินข้าวก็ไม่กล้ากิน…” พอนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา ร่างของอันอี้เป่ยก็แผ่กลิ่นอายสังหารอย่างหนัก “นายรู้ไหมว่าทำไมเธอถึงกลัวแมว? พูดแล้วก็น่าขำสิ้นดี เธอพักอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีคนมารับเลี้ยงเธอ แต่ไอ้สัตว์นรกนั่นก็เอาแต่ทำร้ายเธอ!”
“ตอนแรกยังพอมีเพื่อนบ้านไปเกลี้ยกล่อม ต่อมาทุกคนก็เฉยชากันไปหมด มองเธอถูกทรมานอย่างไร้หัวใจ แม้แต่เด็กวัยเดียวกันยังรุมรังแกเธอ! มีครั้งหนึ่งเธอเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยงและดูแลมันอย่างดี ทั้งยังเอาข้าวของตัวเองให้แมวกินไปไม่น้อย…แต่ผลสุดท้ายก็ถูกพ่อบุญธรรมจับได้ เขาเอาแมวใส่ลงไปในน้ำร้อนแล้วใช้มีดหั่นต่อหน้าต่อตาเธอ…”
พอฟังจนถึงตรงนี้ เซิ่งอี่เจ๋อก็กำหมัดแน่น
เขาไม่คิดเลยว่าอดีตของอันซย่าซย่าจะประสบเรื่องเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้!
“ขั้นตอนการทารุณกรรมแมวถูกถ่ายวีดีโอแล้วโพสต์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นเรื่องขำขัน แต่ผลก็คือกลุ่มคนรักแมวได้ออกมาประท้วงและรวมตัวกันลามมาจนถึงบ้านพ่อบุญธรรมของเธอ…แล้วต่อมาก็ได้พบกับซย่าซย่าที่กำลังหายใจเฮือกสุดท้าย…”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเศร้าใจ ไม่มีใครสนใจว่าเด็กคนหนึ่งถูกทำร้ายปางตาย แต่ในทางกลับกัน แมวแค่ตัวเดียวกลับสามารถดึงดูดความสนใจจากสังคมได้
“ต่อมาเธอได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลที่พ่อของฉันอยู่ หลังจากเธอรอดชีวิตมาได้ ทางโรงพยาบาลก็ให้เธอเข้ารับการรักษาสภาพจิตใจ ความทรงจำของเธอหยุดอยู่แค่ตอนอายุแปดขวบ เธอจำเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้แล้ว” อันอี้เป่ยจุดบุหรี่ สว่างได้แค่สองวิก็ดับลง
“หลังจากรักษาอาการจนหายดีแล้ว เธอจะต้องถูกส่งกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตามระเบียบ แต่เธอคนที่ไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะเอาแต่กอดขาพ่อของฉันร้องไห้อยู่ตั้งหลายชั่วโมง คาดว่าจิตใต้สำนึกของเธอคงกลัวสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่น พ่อฉันสงสารเธอจึงรับเธอมาเลี้ยง ตอนที่เข้าเรียน พวกเด็กๆ ต่างก็หัวเราะเยาะที่เธอโง่…เพราะเธอได้รับการกระตุ้นและสูญเสียความทรงจำ อะไรก็ทำไม่เป็น กลัวไปซะหมด ทั้งขี้อายและชอบร้องไห้…” อันอี้เป่ยพูดอย่างติดๆ ขัดๆ เมื่อเห็นเซิ่งอี่เจ๋อขอบตาแดง ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดอยู่คนเดียวอีกต่อไป
“นายยังอยากฟังต่อไหม? ยังอยากรู้อะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงอันอี้เป่ยเหมือนกำลังวางยา เซิ่งอี่เจ๋อถามด้วยเสียงอันมืดมน “เธอรู้ว่าตัวเองถูกเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า?”
อันอี้เป่ยยิ้มเยาะ “ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอรู้หรือไม่ นายล่ะ? นายคิดว่าเธอควรจะรู้ไหม?”
ว่ากันว่าแปดขวบก็มีความทรงจำแล้ว ทว่าท่าทีของอันซย่าซย่าดูเหมือนจะยังไม่รู้
“ถ้าเธอไม่รู้ก็ปกปิดไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเธอรู้แล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ ผมก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไปกับเธอเองตลอดชีวิต”