ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 120 งานเย็บปัก
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหนานผิงเกรงใจมากเกินไป
นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ไม่ขนาดนั้น แม่นางจี๋อิ๋งเพียงให้ข้าสอนนางทำถุงเท้าเท่านั้น ก็ไม่ได้รบกวนอะไร”
หนานผิงได้ยินแล้วก็ดูเหมือนจะโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองก็เคยทักทายกับจี๋อิ๋งมาบ้างแล้ว อะไรนางก็ดีหมดทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่านิสัยเถรตรงมากเกินไป ไม่สามารถเก็บอารมณ์เลยแม้แต่นิดเดียว แต่มนุษย์บนโลกใบนี้ ไหนเลยจะกระทำตามใจได้ทุกอย่าง ดังนั้นข้าถึงได้ให้นางช่วยทำงานเย็บปักสักเล็กน้อยให้นายท่านสี่ และใช้โอกาสนี้กักตัวนางเอาไว้ ไม่ให้นางวิ่งเพ่นพล่านไปทั่ว เนื่องจากนายท่านสี่ไปไหวอัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นเชื่อคำพูดของหนานผิง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้จี๋อิ๋งทำถุงเท้าถึงสี่คู่ให้เฉิงฉือ สำหรับคนที่ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น การทำถุงเท้าสี่คู่ถือเป็นงานที่ยาก แต่สำหรับคนที่ทำงานเย็บปักถักร้อยเป็นแล้ว จะใช้เวลาในการทำเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าระหว่างหนานผิงกับจี๋อิ๋งนั้นมีความบาดหมางอะไรกันบ้าง แต่อย่างที่บอกคือเฉิงฉือยังไม่กลับมา จึงค่อนข้างกลัวว่าทั้งสองจะมีเรื่องทะเลาะกันขึ้นมา นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่เจ้าก็ให้จี๋อิ๋งมาเรียนงานเย็บปักถักร้อยกับข้าสักสองสามวันก็แล้วกัน! รอให้ท่านน้าฉือกลับมาแล้ว เจ้าค่อยสอนนางก็ยังไม่สาย”
หนานผิงรู้ดีว่าตนไม่สามารถควบคุมจี๋อิ๋งได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นช่วงสองสามวันนี้ต้องรบกวนคุณหนูรองแล้ว อย่างมากที่สุดอีกสามวันนายท่านสี่ก็น่าจะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ พลางเดินไปส่งหนานผิงกลับออกไป
เมื่อกลับเข้าไปภายในห้อง ก็เห็นว่าจี๋อิ๋งกำลังถือเข็มและด้ายเพื่อฝึกฝนอยู่ในนั้น
โจวเสาจิ่นมองดูแล้วก็ปีติยินดียิ่งนัก รู้สึกว่าถึงแม้จี๋อิ๋งจะเป็นคนที่หยิ่งยโส แต่ก็เป็นคนที่เอาการเอางานและเอาจริงเอาจังผู้หนึ่ง
จี๋อิ๋งถามนางว่า “หนานผิงกลับไปแล้วหรือ”
“ใช่!” โจวเสาจิ่นนั่งลงมาแล้วเย็บถุงเท้าต่อ กล่าวขึ้นว่า “เห็นบอกว่าที่เจ้ามาเรียนทำงานเย็บปักถักร้อยกับข้าอยู่ที่นี่นั้นถือเป็นการรบกวนข้า ก็เลยตั้งใจมากล่าวขอบคุณเป็นการเฉพาะ”
จี๋อิ๋งครวญเสียงเย็นออกมาเสียงเหนึ่ง ทิ้งเข็มและด้ายในมือลง กล่าวขึ้นว่า “ข้ารังเกียจท่าทางเช่นนั้นของนางเสียจริง ทำเสมือนกับว่ามีเพียงนางที่จงรักภักดีต่อท่านน้าฉือของเจ้า ส่วนผู้อื่นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ไม่จงรักภักดีอย่างไรอย่างนั้น”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เลือกที่จะไม่พูดอะไรดีกว่า หนานผิงกับจี๋อิ๋งเป็นคนสองประเภทที่แตกต่างกันมากจริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพวกนางก็เป็นได้
นางเย็บถุงเท้าได้หนึ่งข้างแล้ว แต่เห็นจี๋อิ๋งยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไร ติดขัดตรงไหนหรือไม่”
“อ้อ!” จี๋อิ๋งได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้ติดขัดตรงไหน เพียงแต่ว่าไม่ค่อยชินเท่านั้น” ขณะที่กล่าว ก็หยิบเข็มกับด้ายขึ้นมา ค่อยๆ เย็บเศษผ้าสองชิ้นตามที่โจวเสาจิ่นสอนไปเมื่อครู่นี้
โจวเสาจิ่นหัวเราะ ไม่นานก็เย็บถุงเท้าอีกข้างจนเสร็จเรียบร้อย
นางหยิบขึ้นมาพิจารณาดูครั้งแล้วครั้งเล่า พลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
จี๋อิ๋งขยับเข้ามาใกล้ กล่าวขึ้นว่า “ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จะทำให้ถุงเท้าคู่นี้ดูดีขึ้นมาเยอะเลย” นางยังกล่าวอีกว่า “เจ้าชอบทำงานเย็บปักถักร้อยมากเลยหรือ พ่อข้ากล่าวว่า มีเพียงตอนที่ชอบอะไรมากๆ เท่านั้น ถึงจะสามารถทำสิ่งนั้นออกมาได้ดี”
โจวเสาจิ่นค่อนข้างจะประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “พ่อของเจ้าช่างมีโลกทัศน์กว้างยิ่งนัก”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ!” จี๋อิ๋งยืดหลังขึ้นอย่างรู้สึกเป็นเกียรติเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “สมัยยังเป็นหนุ่มบิดาของข้าเคยเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ มากมาย ยังเคยออกทะเลไปตามหาเกาะแห่งทวยเทพที่เผิงไหลด้วย ทว่ากลับหาไม่เจอ…” ขณะที่นางกล่าว ก็ยิ้มบางๆ ขึ้นมา ดูงดงามพริ้งเพราราวกับเด็กสาวผู้หนึ่ง ไหนเลยจะยังหลงเหลือมาดเย็นชาและหยิ่งยโสนั้นอีก
โจวเสาจิ่นเองก็ยิ้มออกมา รู้สึกยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของจี๋อิ๋งมากขึ้นไปอีก
นางวางถุงเท้าลงข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าฝึกฝนไปก่อน รอให้ได้เวลาแล้ว ข้าจะสอนเจ้าเดินเข็มแบบกากบาทเช่นนี้”
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “แม้แต่ตะเข็บพื้นฐานที่ง่ายที่สุดอันนี้ข้าก็ยังทำไม่ได้อีกหรือ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อะไรที่ดูเหมือนว่าง่ายที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อต้องการทำให้ดีกลับเป็นเรื่องยากที่สุด เจ้าคิดว่าเพราะอะไรพวกเราถึงใช้การเดินเข็มแบบกากบาทมาทำถุงเท้าให้ท่านน้าฉือก่อน? ก็เพราะว่าการเดินเข็มแบบกากบาทนี้ต่อให้มีการเกี่ยวหรือพันกันก็ไม่เป็นที่สะดุดตานัก ซึ่งเหมาะกับเจ้าเช่นนี้พอดี”
“อย่างนั้นหรือ” จี๋อิ๋งไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ก้มหน้าฝึกเย็บต่อไป
โจวเสาจิ่นหยิบผ้าโพกศีรษะที่ยังทำไม่เสร็จขึ้นมาปักลายต่อ
จี๋อิ๋งถามนาง “นี่สำหรับมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรือ ข้าดูแล้วน่าจะเป็นลายดอกเป่าเซียงอันล้ำค่า…แต่ผู้อื่นล้วนใช้สีแดงสด สีเขียวสว่าง และสีน้ำเงินสดใสกันทั้งนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงใช้สีม่วงอ่อนของดอกติงเซียง สีเหลืองอ่อนของหวาย และสีดำของอีกาหรือ”
“สีที่ใช้ก็ต้องให้เหมาะสมกับวัยของคนรับด้วย” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าดูท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่ากัว หากเป็นผ้าโพกศีรษะที่มีสีแดงสด สีเขียวสว่าง และสีน้ำเงินสดใส เจ้าคิดว่านางจะชอบหรือไม่”
จี๋อิ๋งหัวเราะขึ้นมา ทำให้ความเย็นชาและหยิ่งยโสบนสีหน้าลดลงไปหลายส่วน แทนที่ด้วยความอ่อนโยนที่มากขึ้นอีกหลายส่วน
โจวเสาจิ่นจึงถามนางว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นแม่นางหมิงเฮ่อเลย” นางเล่าเรื่องที่ไปเจอหมิงเฮ่อที่โรงตัดเย็บเมื่อคราวก่อนขึ้นมา กล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมาสองสามครั้งแล้วแต่กลับไม่เคยเจอนางเลย”
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “นางกำลังจะเป็นเจ้าสาวแล้ว ดังนั้นช่วงนี้ก็เลยเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อทำงานเย็บปัก!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “หมิงเฮ่อจะแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินคนที่เรือนหานปี้ซานเอ่ยถึงเลย คนที่นางแต่งงานด้วยเป็นใคร เป็นบ่าวรับใช้อยู่ที่ไหนหรือ”
“นางเป็นสาวใช้ของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย เรื่องแต่งงานมีท่านน้าฉือของเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจให้ จะส่งเสียงดังออกไปให้ทุกคนรู้ไปทำไมกัน” จี๋อิ๋งกล่าว “ท่านน้าฉือของเจ้าให้นางหมั้นหมายกับมือปราบแซ่เสิ่นผู้หนึ่งที่หูโจว คนทุกรุ่นของครอบครัวคนแซ่เสิ่นผู้นั้นล้วนแต่เป็นมือปราบ ที่บ้านยังมีทรัพย์สินอยู่อีกจำนวนหนึ่ง คงจะไม่เลวนักกระมัง ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพร่ำบ่นต่อไปว่า “หากไม่ใช่ว่าแม้แต่หมิงเฮ่อก็ไม่มีเวลาว่างแล้วล่ะก็ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้!”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
สามีของหมิงเฮ่อ จี๋อิ๋งจะอยากเจอไปเพื่ออะไร
นางรู้สึกว่ายิ่งปฏิสัมพันธ์กับจี๋อิ๋งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดและการกระทำของจี๋อิ๋งล้วนแปลกๆ อยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ท่านน้าฉือถึงกับให้หมิงเฮ่อแต่งงานกับมือปราบผู้หนึ่ง…นี่ก็ถือว่าแปลกประหลาดมากพอแล้ว!
ทั้งสองคนพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านขึ้นมา บางครั้งโจวเสาจิ่นถามไปเพียงหนึ่งประโยค จี๋อิ๋งกลับพูดเจื้อยแจ้วไปมากกมาย บางครั้งโจวเสาจิ่นถามไปกว่าครึ่งค่อนวัน จี๋อิ๋งกลับตอบมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น แต่ไม่ว่าใครจะพูดมากหรือใครจะพูดน้อย เมื่อผ่านไปสักพัก โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์กับจี๋อิ๋งก็ไม่ใช่ภาระหนักหนาอะไร ยิ่งอยู่ความรู้สึกที่มีต่อจี๋อิ๋งก็ยิ่งดีมากยิ่งขึ้น
แต่ยิ่งอยู่อารมณ์ของจี๋อิ๋งก็ยิ่งไม่ดีมากยิ่งขึ้น นางทิ้งเศษผ้าในมือลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากพักสักหน่อย!”
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้ม ให้ซือเซียงไปชงชามาให้นางใหม่ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เช่นนั้นเจ้าไปดื่มชาสักหน่อยเถิด!”
จี๋อิ๋งเปล่งเสียง “อือ” อย่างเนือยๆ ออกมาเสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นยังคงปักผ้าโพกศีรษะของตนต่อไป
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเย็บให้ดูข้าอีกสักหลายๆ ฝีเข็มหน่อยได้หรือไม่!”
โจวเสาจิ่นวางผ้าโพกศีรษะในมือลง หยิบผ้าที่ตัดเรียบร้อยแล้วขึ้นมา ไม่นานก็เย็บผ้าส่วนที่เป็นส่วนพื้นของถุงเท้าจนเสร็จ เหลือเพียงนำผ้าส่วนที่เป็นลำขาของถุงเท้าเย็บเข้าไปก็จะได้ถุงเท้าอีกหนึ่งข้างแล้ว นางลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เย็บส่วนที่เป็นส่วนลำขาของถุงเท้าเข้าไปด้วย จากนั้นยื่นส่งให้จี๋อิ๋งพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าดูจนเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“เข้าใจแล้ว!” ขณะที่จี๋อิ๋งกล่าว ก็หยิบผ้าของถุงเท้าอีกข้างขึ้นมากำลังจะเริ่มเย็บ
โจวเสาจิ่นรีบห้ามนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปเย็บอีกข้างใหม่เถิด ต่อให้วิธีการจะเหมือนกัน แต่ความหนักเบาเวลาเย็บก็ไม่เหมือนกัน อีกข้างที่เหลือนั้น…เดี๋ยวข้าจะเย็บให้เสร็จเองก็แล้วกัน”
จี๋อิ๋งพยักหน้า ไม่ได้เกรงใจนางอีก แล้วไปหยิบถุงเท้าอีกคู่ขึ้นมาเริ่มเย็บใหม่
โจวเสาจิ่นนำถุงเท้าอีกข้างมาเย็บจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จี๋อิ๋งเพิ่งจะได้เริ่มต้น ถึงแม้ว่ารอยตะเข็บจะคดเคี้ยวไปมา น่าเกลียดยิ่งนัก แต่ลำดับวิธีเย็บก่อนหลังกลับไม่มีผิดพลาดเลย
โจวเสาจิ่นให้กำลังใจนาง “ไม่เลวเลยทีเดียว! เจ้าพยายามต่อไป ไม่กี่วันก็สามารถทำเสร็จหนึ่งคู่แล้ว”
จี๋อิ๋งมองเข็มและด้ายในมือของตนแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวขึ้นอย่างมั่นใจว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
โจวเสาจิ่นอดยิ้มออกมาไม่ได้
จิ๋อิ๋งลุกยืนขึ้นมา “นี่ก็สายแล้ว ตอนบ่ายเจ้ายังต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอีก เช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมารบกวนเจ้าใหม่” กล่าวจบ นางก็ยกถุงเท้าในมือขึ้นมา “ชิ้นนี้ข้าจะเอากลับไปก่อน จะได้เอาไว้ฝึกตอนกลางคืน จะได้เรียนได้เร็วยิ่งขึ้น”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางพยักหน้า ส่งจี๋อิ๋งออกจากเรือนไป
ตอนเที่ยงขณะที่นางกับพี่สาวกำลังทานมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่นั้น ก็มีจดหมายส่งมาจากจวนรอง แจ้งว่าเจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือได้ให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง น้ำหนักหกจินหกเหลี่ยง ปลอดภัยทั้งแม่และลูก
ชาติก่อนไม่ใช่ว่านางคลอดตอนช่วงทานปูหรอกหรือ เหตุใดชาตินี้ถึงได้คลอดก่อนหลายวันเช่นนี้?
โจวเสาจิ่นลอบรำพึงอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับยินดีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ดี” ไม่หยุด สั่งให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปเยี่ยมสะใภ้สือหลังจากที่ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว “…ที่ผ่านมาทายาทชายของตระกูลเฉิงของพวกเรามีน้อยนัก ในรุ่นของพวกเจ้า ก็มีเพียงเจ้ากับสะใภ้ใหญ่หงเท่านั้นที่คลอดออกมาเป็นบุตรชายทั้งสองครรภ์ วันนี้ถือได้ว่าสะใภ้ใหญ่สือเริ่มต้นเอาไว้ได้ดี ต่อไปในภายภาคหน้าตระกูลเฉิงจะต้องขยายยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” นางต้องการพาสองพี่น้องตระกูลโจวไปเยี่ยมทารกเกิดใหม่ด้วยกัน
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าจวนรองและจวนสามล้วนเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากนัก จึงบ่ายเบี่ยงปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล แล้วไปที่เรือนหานปี้ซาน
โจวชูจิ่นกลับรู้สึกอยากไปดูสักหน่อย จึงติดตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปที่จวนรองด้วย
ระหว่างทางโจวเสาจิ่นได้พบกับบ่าวรับใช้หลายคนที่ต่างก็กำลังยินดีปรีดากันเป็นอย่างมาก มีบ่าวสองคนยังกระซิบคุยกันว่าจวนรองจะให้รางวัลพวกนางอย่างไรบ้างเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองให้กับคุณชายน้อยคนรองของจวนรอง แม้จะอยู่ไกลๆ ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความปีติยินดีของพวกนาง เพียงแต่ว่าเวลาผ่านมานานแล้ว นางจึงคิดไม่ออกว่าตอนที่เจิ้งซื่อให้กำเนิดบุตรชายคนแรกนั้นจวนรองให้รางวัลแก่บรรดาบ่าวรับใช้เป็นอะไรบ้าง กระทั่งนางมาถึงเรือนหานปี้ซาน ภายในลานกลับเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เจิ้งซื่อให้กำเนิดบุตรชายเลยสักคน สีหน้าของทุกคนนิ่งสงบ ใครควรทำอะไรก็ยังคงทำอย่างนั้นเหมือนเก่า ยามเจอโจวเสาจิ่นก็เพียงพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ให้เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา เสมือนกับว่าไม่รู้เรื่องที่เจิ้งซื่อให้กำเนิดบุตรชาย
คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนหลักและจวนรองจะมาถึงจุดวิกฤตได้ขนาดนี้ แม้แต่เรื่องที่เป็นเรื่องของหน้าตาเช่นนี้ก็ยังไม่ยินยอมที่จะใส่หน้ากากเข้าหากัน
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านน้าฉือก็จะได้ไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากท่านผู้นำตระกูลจวนรองอีก
โจวเสาจิ่นยิ้มขณะเดินเข้าไปในห้องพระ หลังจากล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มคัดพระธรรม
แต่นางยังคัดได้ไม่ถึงสองหน้า เสี่ยวถานก็วิ่งเข้ามาอย่างยินดี กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง คุณหนูเซียว อ่า เป็นกูไหน่ไหคนรอง คลอดบุตรชายได้ผู้หนึ่งเจ้าค่ะ ตระกูลหยวนมาแจ้งข่าวน่ายินดีนี้ คนที่มาแจ้งข่าวกำลังคุยกับฮูหยินหยวนอยู่ มีคนวิ่งมาแจ้งข่าวให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
อา?!
ทั้งสองบ้านต่างได้รับข่าวดีพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นจะได้กล่าวอะไร ก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก
เสี่ยวถานรีบวิ่งออกไป แล้วก็กลับเข้ามาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มให้นาง
ไม่ว่าจะเป็นบ้านไหนให้กำเนิดบุตรชาย ล้วนเกี่ยวข้องกับนางไม่มากนัก อย่างมากที่สุดประเดี๋ยวตอนที่นางไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยกล่าวแสดงความยินดีสักครั้งหนึ่ง จากนั้นรอให้ถึงตอนที่จวนหลักให้คนนำของขวัญครบรอบเดือนไปมอบให้พี่สาวเซียวค่อยหยิบเสื้อผ้าเด็กที่มีอยู่ใน**บออกมาทำเป็นของขวัญสักชุดหนึ่งก็แล้วกัน…
นางจุ่มพู่กันลงในหมึก จากนั้นก็คัดพระธรรมต่อ
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว ที่จวนหลักก็ครึกครื้นขึ้นมา
หยวนซื่อตกเงินรางวัลให้พ่อบ้านแม่บ้านที่มีหน้ามีตาและบรรดาหมัวมัวทั้งหลายคนละห้าเหลี่ยงเงิน สาวใช้ที่มีตำแหน่งให้รางวัลตั้งแต่สามไปจนถึงหนึ่งเหลี่ยงเงินลดหลั่นกันไป และบรรดาบ่าวรับใช้ทั่วไปอีกคนละห้าร้อยเหรียญทองแดง ส่วนบ่าวรับใช้จากจวนต่างๆ ที่มาแสดงความยินดีให้คนละสี่ร้อยเหรียญทองแดง
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีข่าวมาจากฝั่งของจวนรองว่า จวนรองก็ให้รางวัลเป็นนจำนวนที่สอดคล้องกับของจวนหลัก
…………………………………………………………………….