ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 14 ตั้งปณิธาน
“เด็กที่ไหน เด็กของตระกูลใด” มือของโจวชูจิ่นบีบไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น สีหน้าซีดเผือด “เจ้าพูดให้ชัดเจน เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ไหล่ของโจวเสาจิ่นเจ็บอย่างรุนแรงจนปวดร้อน นางพลันตื่นจากความทรงจำในอดีต ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้
เรื่องเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวในชาติที่แล้ว ตนเองไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวในชาติที่แล้วส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิด แยกไม่ออกระหว่างชาติที่แล้วกับชาตินี้ ทำเรื่องที่ทำร้ายผู้อื่นและตัวเองออกมา!
นางสบงสติอารมณ์ลง กล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงอารมณ์ไม่ดี อยากจะร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของท่านพี่สักหน่อยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” โจวชูจิ่นติดใจสงสัย
“ข้าไม่ได้หลอกท่านพี่จริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นแสดงท่าทีแง่งอน ใช้อุบายที่นางมักใช้บ่อยๆ หวังจะเบี่ยงเบนความสนใจของพี่สาว “ข้า ข้าเกิดความกลัวอยู่ในใจเจ้าค่ะ!”
ได้ยินน้องสาวพูดเช่นนี้ ความสงสัยที่อยู่ในใจของโจวชูจิ่นยิ่งมีมากยิ่งขึ้น
เมื่อกี้ตอนที่น้องสาวพิงอยู่ตรงหัวไหล่ของนาง แล้วพูดอะไรบางอย่างนั้น นางได้ยินอย่างชัดเจน น้ำเสียงนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นของหญิงสาวแต่งงานแล้วที่มีความขมขื่นซ่อนอยู่ผู้หนึ่งเพราะได้รับความเจ็บปวดมามากจากความไม่ยุติธรรม แต่ว่าน้องสาวเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ได้รับการเลี้ยงดูให้อยู่แต่ในห้องหอและยังไม่พ้นวัยสิบสองปี…หรือว่าสิ่งที่รบกวนเสาจิ่นยังไม่ไปไหน?”
นางมองโจวเสาจิ่นขึ้นลงอย่างละเอียด ก็เห็นเพียงโจวเสาจิ่นที่แววตาสุกใส ท่าทางสงบ อากัปกิริยาก็ปกติ ไม่เหมือนลักษณะของคนที่ถูกของไม่ดีมารบกวน…หรือว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธ์ของแม่ชีจิ้งฟางได้ผลขึ้นแล้ว? เพราะฉะนั้นของไม่ดีนั้นเลยแสดงอาการออกมาบ้างไม่แสดงอาการบ้าง?
ในใจของโจวชูจิ่นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง คิดกับตัวเองว่าตนเองควรจะไปที่วัดฮุ่ยจี้อีกครั้งดีหรือไม่ สาวใช้วิ่งเข้ามากล่าวรายงาน “ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาเจ้าค่ะ!”
ฝานหลิวซื่อที่ยังคงไม่วางใจ ให้คนไปแจ้งข่าวให้กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
นางเพียงม้วนผมขึ้นเป็นมวยอย่างง่ายมวยหนึ่ง หน้าไร้เครื่องสำอาง เครื่องประดับใดๆ ก็ไม่ได้สวม เห็นได้ชัดว่าพอได้รับข่าวแล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงรุดมาที่นี่
โจวชูจิ่นกลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องที่โจวเสาจิ่นถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงเป็นที่สุด เรื่องที่ไม่ระวังเพียงเรื่องหนึ่งก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องแต่งงานของโจวเสาจิ่นได้
นางรีบกระซิบเรื่องหนึ่งที่ข้างหูของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง หัวเราะพลางกล่าว “พวกเจ้าสองพี่น้องทำให้ข้าตกใจแทบแย่จริงเชียว” ขณะที่พูดก็กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้น “จากนี้ไปก็โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว” จากนั้นพูดเรื่องที่ควรระวังเกี่ยวกับระดูของผู้หญิงอีกต่างๆ มากมาย
โจวเสาจิ่นไม่ได้คุยกับใครเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว นางหน้าแดงไปหมด
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงตัดจบหัวข้อสนทนา ยิ้มพลางสรุปกับโจวชูจิ่นอีกไม่กี่ประโยค ลุกขึ้นจากไป
สองพี่น้องตระกูลโจวส่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับนั้นได้พบกับซื่อเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนตรงประตูใหญ่
นางยิ้มอ่อนโยนพลางย่อเข่าลงคำนับ กล่าวขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนหว่านเซียงเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
ซื่อเอ๋อร์อธิบายว่า “หลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าล้วนนอนหลับเป็นเวลาสั้น ขณะที่กำลังเตรียมตัวพักผ่อนนั้น เห็นมีคนจากเรือนหานชิวจุดโคมไฟมุ่งหน้ามาทางเรือนหว่านเซียง เลยให้ข้ามาสอบถามดูเป็นการพิเศษเจ้าค่ะ”
รู้ไปถึงท่านยายจนได้
โจวเสาจิ่นหน้าแดงด้วยความอับอาย
โจวเสาจิ่นกระซิบพูดกับซื่อเอ๋อร์สองสามประโยค สายตาของซื่อเอ๋อร์ตกอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นแล้วอมยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าก่อนเจ้าค่ะ”
ขายหน้าไปจนถึงเรือนเจียซู่แล้ว
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นเห่อร้อน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและซื่อเอ๋อร์เดินไปทางเรือนหลัก ส่วนนางและพี่สาวกลับไปที่เรือนหว่านเซียง
ฝานหลิวซื่ออยู่ปรนนิบัติโจวเสาจิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าและดื่มน้ำตาลทรายแดงต้ม
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้น “เสาจิ่น ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้าหลายอย่าง คืนนี้พวกเรานอนด้วยกันอีกก็แล้วกัน?”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
เห็นได้ชัดว่าพี่สาวสงสัยว่านางถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ยังคงจะมานอนกับนาง สำหรับพี่สาวแล้ว ตนเองเป็นคนที่นางใส่ใจที่สุด สำคัญที่สุด และรักมากที่สุดมาโดยตลอด!
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ มีความสุขของการถูกเอาอกเอาใจ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้ยกเรื่องการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งของตัวเองมาพูดกับพี่สาว ต้องทำให้พี่สาวเชื่อให้ได้ว่านางไม่ได้คิดเลอะเทอะไปเอง แต่เมื่อนางมองใบหน้าที่งดงามประณีตทว่ายากที่จะปิดบังความหมองหม่นของพี่สาวแล้ว นางก็เกิดความลังเลสายหนึ่ง
เมื่อชาติที่แล้วพี่สาวได้แบกรับความทุกข์ยากและความรับผิดชอบแทนนางมาแล้วมากมายยิ่ง ชาตินี้ยังจะให้พี่สาวแบกรับความทุกข์ยากและความรับผิดชอบแทนนางเหมือนอย่างชาติที่แล้วอีกอย่างนั้นหรือ นอกจากนี้ว่ากันตามจริงแล้ว อายุจริงของนางมากกว่าของพี่สาวอีก ควรจะเป็นนางที่มาดูแลพี่สาวถึงจะถูก!
นางลังเล
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้าเห็นว่าอาการป่วยของเจ้าเกือบจะหายดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพูดกับท่านยาย พวกเราสองพี่น้องไปขึ้นธูปไหว้พระที่วัดฮุ่ยจี้ด้วยกันเป็นอย่างไร?”
วัดฮุ่ยจี้ก็คือวัดเซนที่พี่สาวไปขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาให้นางเมื่อคราวก่อน
หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานตัวคนเดียวพาสาวรับใช้ไปขึ้นธูปไหว้พระ พี่สาวต้องหาข้ออ้างเท่าไหร่ เสียชื่อเสียงไปแล้วเท่าไหร่กว่าจะสามารถโน้มน้าวท่านยายให้อนุญาตได้?
ในใจของนางปวดตุ้บๆ สำหรับเรื่องที่พี่สาวทำเพื่อนางและเรื่องที่นางเป็นสาเหตุให้พี่สาวต้องอับอาย
ชั่วขณะนั้น นางตั้งปณิธาน
ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอะไร นางจะไม่ให้เป็นเหมือนเช่นชาติที่แล้วที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รบกวนพี่สาว ยิ่งไม่ให้เป็นเหมือนเช่นชาติที่แล้วที่ให้พี่สาวจ่ายราคาค่างวดแทนความผิดของนาง
ชาตินี้ นางจะปกป้องพี่สาว ปกป้องตระกูลเฉิง และรับประกันท่านพ่อ!
เหมือนกับสิ่งที่นางคิดตอนเผชิญหน้ากับความตายนั้น นางจะเปิดตาให้กว้าง ดูจิตใจคนให้ทะลุปรุโปร่ง จะไม่อ่อนแอเช่นนั้นอีก และอยู่ให้ไกลจากเฉิงลู่…ไม่ให้โศกนาฏกรรมในชาติที่แล้วเกิดขึ้นอีกครั้ง!
โจวเสาจิ่นลอบบีบกำปั้นตัวเอง คิดแล้วคิดอีก พิงอยู่บนไหล่ของพี่สาวอย่างรักใคร่ เตือนความจำโจวชูจิ่นว่า “ท่านพี่ท่านลืมแล้วหรือเจ้าคะ ข้าต้องคัดลอกพระไตรปิฎกให้ท่านยาย! พระพุทธองค์จะอำนวยพรและปกปักรักษาข้าเจ้าค่ะ!”
จริงด้วย!
ทำไมตนเองถึงลืมเรื่องนี้ไปได้!
โจวชูจิ่นเกือบจะตบหน้าผากของตัวเอง
เนื่องจากไตรปิฎกนั้นนำถวายแด่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ย่อมอำนวยพรและปกปักรักษาคนที่คัดลอกพระไตรปิฎกนั้น
คนในวัดเซนกล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือว่า ในห้องพระล้วนมีลำแสงของพระพุทธคุณปกปักรักษาอยู่ ไม่แน่ว่าหากน้องสาวได้คัดลอกพระไตรปิฎกสักสองสามหน้า ได้อยู่ในห้องพระเล็กของท่านยายสักหน่อย ก็จะสามารถขับไล่สิ่งสกปรกที่คอยรบกวนเสาจิ่นอยู่ให้หมดไปได้!
“พรุ่งนี้พี่สาวจะปลุกเจ้าตื่นเร็วหน่อย!” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มร่า หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความปิติยินดี
โจวเสาจิ่นมองดูแล้วเศร้าจนน้ำตาเกือบจะร่วงหล่นลงมา
นางย้ำเตือนกับตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่า โจวเสาจิ่นเอ๋ยโจวเสาจิ่น เจ้าดูความปรารถนาของพี่สาวเจ้าเรียบง่ายถึงเพียงนี้ เจ้าจะต้องเป็นความภูมิใจให้นาง ต้องไม่ร้องไห้โยเยคร่ำครวญอีก ยามเผชิญกับปัญหาให้เรียนรู้จากพี่สาวในชาติที่แล้ว ใช้สมองคิดหาวิธิแก้ปัญหา ไม่ใช่โยนปัญหาทั้งหมดไปให้ผู้อื่น
ใครจะรู้ว่าพอถึงวันถัดมา ซื่อเอ๋อร์มาแจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า คุณหนูรองสุขภาพไม่ดี ช่วงสองสามวันนี้ให้งดเว้นการคารวะยามเช้าและเย็น ให้พักรักษาตัวอยู่ในเรือนสักสองสามวัน รอให้หายดีแล้วค่อยไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สายไปเจ้าค่ะ” ทั้งยังหยิบยาออกมาอีกสองสามอย่าง กล่าวขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับมาว่าให้ฝานมามาต้มยานี้ให้คุณหนูรองดื่มเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณ ทว่าในใจกลับหดหู่ยิ่ง
เช่นนี้เสาจิ่นก็ยังต้องทนทุกข์ไปอีกช่วงหนึ่งใช่หรือไม่
ขณะที่นางกำลังคิดหาเหตุผลอะไรสักอย่างเพื่อให้โจวเสาจิ่นได้เริ่มคัดลอกไตรปิฎกเร็วขึ้นอยู่นั้น ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนส่งคนมาเชิญนางให้ไปหา “ใกล้จะต้องตัดชุดสำหรับฤดูร้อนแล้ว เชิญคุณหนูใหญ่ไปช่วยลงบัญชีเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นจำต้องไปหาฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก่อน
ภายในเรือนฉับพลันเงียบสงบลง
โจวเสาจิ่นกลับเข้าไปนอนอีกครั้ง ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น ชุ่ยหวนกำลังคุยกับซือเซียงอยู่ใต้ชายคาเรือน
พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางก็เข้ามาคารวะโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ของพวกข้าเชิญท่านไปเด็ดดอกกุหลาบที่สวนดอกไม้ในช่วงบ่าย กล่าวว่าต้องการทำน้ำดอกกุหลาบเจ้าค่ะ”
อาจเป็นเพราะได้ร้องไห้อย่างหนักเช่นนั้นไปแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวในใจได้ถูกปลดปล่อยออกมา พอได้ยินชื่อของเฉิงเจียอีกครั้ง นางกลับกลายเป็นสงบขึ้นมาก
“เจ้ากลับไปบอกคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้า” นางกล่าวอย่างเฉยชา “ช่วงนี้ข้าไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของนางแล้ว!”
ชุ่ยหวนประหลาดใจ
คุณหนูรองตระกูลโจวไม่เคยปฏิเสธคุณหนูใหญ่มาก่อน ทำไมครั้งนี้ถึงได้…หรือว่าคุณหนูใหญ่ทำให้คุณหนูรองตระกูลโจวไม่พอใจไปตอนไหนโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้?
ชุ่ยหวนรีบกลับเรือนหรูอี้ที่เฉิงเจียอาศัยอยู่
พอไม่มีคนรบกวนแล้ว โจวเสาจิ่นเอนตัวนอนอยู่บนเตียงคิดอะไรในใจคนเดียวเงียบๆ
เพราะมั่นใจแล้วว่าตนเองนั้นกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แสดงว่าตระกูลเฉิงก็จะต้องโดนตรวจสอบ ยึดทรัพย์ และถูกลงโทษ
จะยับยั้งอย่างไรไม่ให้ตระกูลเฉิงโดนตรวจสอบ ยึดทรัพย์ และถูกลงโทษ?
นางนึกย้อนถึงเรื่องราวในชาติที่แล้วอย่างข่มขื่น
เนื่องจากอาศัยอยู่ที่บ้านสวนในเมืองต้าซิงมาเป็นเวลานาน ทั้งยังไม่ชอบสังสรรค์ร่วมงานทางสังคม นอกจากกลับตระกูลหลินเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษกับหลินซื่อเซิ่งในวันตรุษจีน ไปสวนมนต์ที่วัดต้าเจาแล้ว นางแทบจะไม่ออกจากบ้าน ที่ทราบข่าวเกี่ยวกับการที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์นั้นก็เป็นหลินซื่อเซิ่งที่เป็นคนเล่าให้นางฟัง หลินซื่อเซิ่งยังปลอบโยนนาง ให้นางไม่ต้องเป็นกังวล ข้าราชการระดับสูงหลายท่านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิงมาอย่างยาวนานหลายท่านได้คิดหาหนทางช่วยเหลือตระกูลเฉิงแล้ว ถึงแม้ว่าถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้น นางถือเป็นหญิงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ย่อมไม่โยงใยมาถึงตัวนางได้
ถึงแม้ว่าอารมณ์ของนางในเวลานั้นจะค่อนข้างซับซ้อน ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะร้ายแรงมากนัก กล่าวคือ ตระกูลเฉิงนั้นมีชื่อเสียงเป็นตระกูลบัณฑิตมากว่าร้อยปี ถึงแม้ว่าจะสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไป แต่ภายในตระกูลยังมีเมล็ดพันธ์ผู้มีความรู้อีกมาก อย่างมากที่สุดก็คงจะเงียบหายไปสักสองสามปี วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส ย่อมสามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาอีก กลับมาเป็นผู้นำทางบัณฑิตอีกครั้ง นางถึงกับถอนหายใจกล่าวกับหลินซื่อเซิ่งว่า “เรือนชิวปัวในสวนดอกไม้ของตระกูลเฉิงเป็นศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง เพดาน หน้าต่างไม้ระแนง และบานประตูล้วนเป็นไม้สนซีดาร์สลักไว้ด้วยลูกแก้วสีฟ้าล้ำค่า บนพื้นปูด้วยอิฐทอง ยามที่อากาศสดใส แสงแดดจากผิวน้ำทะเลสาบจะส่องเข้ามา สะท้อนแสงวิบวับ ราวกับเดินเข้าในพระราชวังแก้วของราชามังกรอย่างไรอย่างนั้น คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคงไม่อาจนึกภาพความงามของมันได้ ไม่รู้ว่าเก็บรักษาลูกแก้วในเรือนชิวปัวไว้ได้หรือไม่”
ข้อถูกกล่าวหาของตระกูลเฉิงคือเฉิงจิงบกพร่องต่อตำแหน่งหน้าที่และเฉิงเว่ยมีส่วนพัวพันกับคดีทุจริต ผู้ที่ฟ้องร้องตระกูลเฉิงคือข้าราชการอาวุโสตู้ ศัตรูทางการเมืองของเฉิงจิง แม้แต่ผู้ใกล้ชิดโอรสแห่งสวรรค์อย่างหลินซื่อเซิ่งเองก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการกดดันทางการเมือง เป็นเรื่องของลมตะวันออกอยู่เหนือกว่าลมตะวันตก รอให้เรื่องราวผ่านไป ก็เป็นเพียงฟ้าหลังฝนเท่านั้น ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้แล้ว เขายังหัวเราะถามนางว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าแทบไม่เอ่ยถึงตระกูลเฉิง แต่เมื่อได้เอ่ยถึงตระกูลเฉิงแล้ว เจ้าก็มีเรื่องให้พูดมากมาย ตามความเห็นของข้าแล้ว ช่วงเวลาที่เจ้าอยู่ที่ตระกูลเฉิงนั้น เกรงว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เจ้ามีความสุขที่สุด!”
นางไม่ยอมรับ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว ยกเรื่องงานวันเกิดของหลานชาย เลี่ยวเฉิงฟาง ขึ้นมาพูดแทน
ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วก็น่าขันนัก!
ทั้งที่จริงแล้วนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความล่มสลายอย่างใหญ่หลวงต่างหาก
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ดวงตาเปียกชื้น นึกถึงค่ำคืนวันนั้น หลินซื่อเซิ่งยังไม่ทันได้กลับเข้าเมืองมา พี่สาวกลับปรากฏตัวอยู่หน้าบ้านสวนด้วยอารามรีบร้อนมีสัมภาระเพียงเล็กน้อย ดวงตาทั้งแดงก่ำและปูดบวม กอดนางเอาไว้ร้องไห้สะอึกสะอื้น “…พูดกันว่าผู้ชายถูกตัดสินให้ประหารทันที ส่วนผู้หญิงถูกขายเข้ากองสอนงานฝีมือ…ทางการยังมีเมตตา ลอบส่งข่าวมาให้ที่จวน นายท่านซ่งผู้มากวาดล้างก็ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง…พวกท่านป้าใหญ่ทุกคนล้วนผูกคอปลิดชีพตัวเอง…แม้แต่หยวนหยวน ก็ไม่รอดพ้น…ท่านป้าใหญ่ลงมือทำลงไปได้อย่างไร…ลงมือทำลงไปได้อย่าง”
หยวนหยวนคือบุตรสาวของพี่ชายเก้า เพราะว่าเกิดในวันเทศกาลโคมไฟวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง จึงเรียกชื่อเล่นว่าหยวนหยวน…ยังไม่ครบรอบหนึ่งเดือน
นางในตอนนั้นสับสนมึนงง
จากนั้นก็มึนๆ งงๆ รู้เพียงร้องไห้ รู้เพียงมองดูพี่สาว พี่เขยและหลินซื่อเซิ่งเข้าออกอย่างรีบร้อน ยังต้องมาปลอบโยนนาง ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่ง่ายเลยกว่าที่สติของนางจะกลับคืนมา นายท่านสี่แห่งจวนหลักร่วมมือกับโจรป่าบุกเข้าไปที่ลานประหาร ช่วยเฉิงสวี่ออกไปได้ ตระกูลเฉิงราวกับเป็นดอกเบญจมาศหลังวันงานเทศกาลที่ไม่น่าสนใจอีก…นางถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ถามพี่สาว “คนตระกูลเลี่ยวว่าอย่างไรบ้าง มีใครแสดงสีหน้าต่อหน้าท่านหรือเปล่า”
พี่สาวเป็นบุตรสาวคนโตที่กำพร้ามารดา เหตุผลที่สามารถแต่งให้กับตระกูลเลี่ยวได้นั้นล้วนเป็นเพราะตระกูลเฉิงอยู่สูงกว่าตระกูลเลี่ยวหนึ่งขั้น นอกจากนี้ตระกูลเฉิงยังให้ความสำคัญกับหลานสาวผู้นี้ยิ่ง ทว่าตอนนี้ตระกูลเฉิงกลายมาเป็นภาระของตระกูลเลี่ยวแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าตระกูลเลี่ยวจะไม่พลิกหน้าเป็นศัตรู?