ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 141 สนทนา
โจวชูจิ่นเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน เงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าประตู
ภรรยาของหม่าฟู่ซานเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกของประตู
หลานทิงกระวนกระวายใจ กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าไม่ได้หลอกลวงท่านนะเจ้าคะ ท่านหมอเป็นคนสนิทผู้หนึ่งของนายท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรคของสตรีเป็นที่สุด หลังจากที่จบเรื่องแล้วท่านหมอผู้นั้นยังประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่าใบสั่งเทียบยาของเขาเป็นของที่ได้รับสืบทอดต่อกันมา ที่ผ่านมาไม่เคยมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น และก็ไม่เคยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังเรียกหมอตำแยและสาวใช้ทุกคนที่ให้การรับใช้อยู่ในห้องในเวลานั้นมาสอบถามอีกด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดข้อผิดพลาดจากตรงไหน ตอนที่ท่านหมอผู้นั้นเดินทางกลับยังได้แต่ส่ายศีรษะและกล่าวว่า เป็นเรื่องประหลาด อีกด้วยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นถามขึ้นว่า “แต่จากเรื่องนี้ก็ไม่อาจไปตัดสินว่าน้ำกานั้นของซินหลานมีปัญหาไม่ใช่หรือ”
“แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ข้าก็ได้พบกับซินหลานเจ้าค่ะ!” หลานทิงกล่าว “สุขภาพร่างกายของฮูหยินไม่แข็งแรง ทั้งกายและใจทั้งหมดของนายท่านผูกติดอยู่กับฮูหยิน จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลเรื่องภายในบ้านสักเท่าไรนัก ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว แต่ข้าวของต่างๆ ที่ต้องใช้ในช่วงปีใหม่ของที่บ้านก็ยังไม่ได้ซื้อ สาวใช้ใหญ่หลายคนถูกจัดเวรให้เวียนกันไปรับใช้ฮูหยินอยู่ภายในห้อง สาวใช้ที่แต่งงานแล้วและพอจะมีประสบการณ์หากไม่ใช่ไปเฝ้าคุณหนูใหญ่ก็ไปเฝ้าคุณหนูรอง โดยเฉพาะคุณหนูรอง” ขณะที่นางพูด ก็มองโจวเสาจิ่นไปด้วย “ตอนที่คลอดออกมาดูเสมือนกับลูกแมวน้อยก็ไม่ปาน ผ่านไปสองวันถึงจะมีแรงดูดน้ำนม นายท่านนั้นด้านหนึ่งก็เป็นห่วงทั้งคุณหนูรอง อีกด้านหนึ่งก็เป็นห่วงฮูหยิน ในเวลาเดียวกันก็ยังต้องหาเวลาไปดูแลคุณหนูใหญ่ ทำให้ร่างกายผ่ายผอมลงไปทั้งร่าง พ่อบ้านจึงเรียกให้พวกข้าที่เป็นสาวใช้เด็กหลายคนช่วยกันไปหาซื้อของใช้สำหรับใช้ในช่วงปีใหม่…
…ข้าเคยติดตามเรียนเขียนอ่านกับฮูหยิน อีกทั้งยังพอจะเข้าใจการคำนวณอยู่บ้าง พ่อบ้านจึงให้ข้าไปช่วยตรวจสอบบัญชีกับบรรดาคู่ค้าเหล่านั้นที่ตลาดขายของ…
…คู่ค้าผู้นั้นลายมือหวัดยิ่งนัก ข้าเพิ่งจะเรียนเขียนอ่านได้ไม่นาน ตอนที่ตรวจบัญชียังต้องเอ่ยถามคู่ค้าผู้นั้นอยู่บ่อยๆ ว่าที่เขียนนั้นคืออะไร…
…พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นซินหลาน…
…นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงขลิบเงินลายดอกไม้ตัวหนึ่ง บนศีรษะประดับเอาไว้ด้วยปิ่นดอกไม้แต้มสีเขียวมรกต สวมตุ้มหูทองทรงใบแปะก๊วยห้อยระย้า บนนิ้วสวมแหวนทองทรงโกลนม้าอยู่สามถึงสี่วง สีทองเปล่งประกายระยิบระยับ การแต่งตัวดูหรูหรากว่าภรรยาของคนทั่วไปมากนัก แต่ก็ไม่ได้พาสาวใช้หรือบ่าวชายติดตามมาด้วยเลยสักคน…
…ในตอนนั้นข้ายังตะโกนเรียกนางไปครั้งหนึ่ง…
…แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ยิน นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ข้างๆ ร้านขายของชำ…
…เดิมทีข้าคิดว่าจะเข้าไปทักทายนางสักหน่อย แต่เนื่องจากยังตรวจข้าวของได้ไม่ถึงครึ่ง ข้ากลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด จึงไม่ได้ไป จนกระทั่งข้าตรวจสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่กำลังรอพ่อบ้านมาบรรทุกของอยู่ที่นั่นนั้น ก็เห็นซินหลานเดินออกมาจากร้านเครื่องประดับร้านนั้น…
…ข้างกายยังมีบุรุษมาด้วยผู้หนึ่ง สวมชุดหลานซานตัวยาวสีฟ้า ทั้งที่อยู่ในช่วงอากาศหนาวจัด แต่ก็สวมเพียงตาข่ายคลุมผมชิ้นหนึ่งเท่านั้น ดูท่าทางแล้วน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี ร่างกายผ่ายผอม สีผิวก็ซีดเหลืองยิ่งนัก…
…ข้าจึงถามคู่ค้าในร้านขายของว่าบุรุษผู้นั้นคือผู้ใด…
…คู่ค้าในร้านขายของบอกข้าว่า เขาคือนายท่านเฉิงไป่แห่งตรอกฉุนอี้เจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นหายใจขัดเล็กน้อย
นางจับแขนเสื้อของตัวเองแน่น
โจวชูจิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้นว่า “แล้วคู่ค้าผู้นั้นรู้จักเฉิงไป่ได้อย่างไร”
หลานทิงกล่าว “ในเวลานั้นเฉิงไป่เองก็ได้เปิดกิจการค้าขายสินค้าของทางเหนือและทางใต้อยู่ร้านหนึ่งที่ถนนไท่ผิง มีสินค้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายกับร้านขายของชำที่พวกเราไปซื้อสินค้าด้วยร้านนั้น ด้วยเหตุนี้ก็เลยรู้จักเฉิงไป่เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้าน้อยๆ
หลานทิงกล่าวต่อว่า “ในตอนนั้นข้ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก…
…ไม่ใช่ว่าซินหลานแต่งงานกับพ่อค้าฝ้ายผู้หนึ่งหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่กับนายท่านเฉิงแห่งตรอกฉุนอี้ได้ ข้ายังนึกไปถึงเครื่องประดับที่อยู่บนร่างของนางพวกนั้น อย่างน้อยก็น่าจะมีราคาประมาณยี่สิบถึงสามสิบเหลี่ยงเงิน พอดีว่ามีบ่าวชายเข้ามาแจ้งว่า มีเรือชนกันที่ด้านนอกของประตูเจียงตง ทำให้เรือที่ไปล่าปลาเข้าเทียบท่าไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง พ่อบ้านจึงต้องไปดูที่ประตูเจียงตงสักหน่อย สั่งให้พวกข้าเมื่อตรวจสอบสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้กลับไปกันก่อน…
…ข้าจึงหาข้ออ้างว่าต้องการไปหาซื้อผ้าเช็ดหน้าสักสองผืนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง มอบหมายให้บ่าวชายเป็นผู้รับผิดชอบบรรทุกของลงรถ จากนั้นตัวเองก็ลอบสะกดรอยตามไป…
…ซินหลานกับเฉิงไป่เดินลดเลี้ยวไปมา จนไปหยุดอยู่ที่ซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ข้าได้ยินซินหลานกล่าวขึ้นว่า ข้าเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียว การมาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพียงลำพัง คนที่น่านับถือเหล่านั้นก็มองเพียงว่าข้ามาขอหลบภัยอยู่กับญาติด้วยขาดที่พึ่ง แต่บุรุษทั่วไปเหล่านั้นกลับเข้าใจว่าข้าเป็นหญิงขายตัว กลางดึกค่อนคืนแล้วก็ยังมาเคาะประตูของข้า ทำให้ข้าหวาดกลัวจนนอนไม่หลับไปทั้งคืน เมื่อไรข้าถึงจะตามท่านกลับบ้านด้วยได้หรือเจ้าคะ มีคำกล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือเจ้าคะว่า จะมีเงินทองหรือไม่มีก็ตาม ขอแค่ให้ได้แต่งงานกับภรรยาสักคนแล้วฉลองปีใหม่ด้วยกัน นี่ก็ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว ท่านคงไม่ปล่อยให้ข้าฉลองปีใหม่อยู่ที่โรงเตี๊ยมเพียงลำพังหรอกกระมัง…
…เฉิงไป่ปลอบโยนนางว่า อีกไม่นานแล้วๆ รอให้เขาจัดการธุระที่ยุ่งเหยิงของช่วงนั้นให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจะรับนางกลับไปด้วย จากนั้นก็ล้วงเงินมาให้นางจำนวนหนึ่ง ให้นางเอาไปซื้อของตามที่นางชื่นชอบ ยังกล่าวอีกว่า ให้นางอย่าเพ่นพ่านไปไหนในช่วงนี้ ระวังจะมีคนพบเห็นสิ่งผิดปกติขึ้นมาได้…
…ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าฮูหยินเคยหมั้นหมายมาก่อน และก็ไม่รู้ด้วยว่าเฉิงไป่เป็นคนเช่นไร ยังเข้าใจไปว่าซินหลานเป็นหญิงแต่งงานที่ไม่ซื่อสัตย์ ทิ้งสามีแล้วหนีตามผู้ชายมา รู้สึกดูแคลนความเป็นคนเช่นนี้ของนาง จึงหมุนกายเดินจากมา…
…ต่อมาอาการของฮูหยินเกือบจะไม่ไหวแล้ว นายท่านจวงก็มาสร้างความวุ่นวายถึงที่บ้าน กล่าวหาว่านายท่านทำให้ฮูหยินต้องตาย ต้องการให้นายท่านชดใช้เงินให้เขา ตอนนั้นเองข้าถึงได้รู้ว่าเดิมทีแล้วฮูหยินเคยหมั้นหมายกับเฉิงไป่มาก่อน…
…แต่ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น…
…คิดเพียงว่าซินหลานทำไม่ถูกต้อง ทำเรื่องหักหน้าฮูหยิน…
…ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ข้ายังคงใคร่รู้ว่าสุดท้ายแล้วซินหลานได้เข้าไปที่ตระกูลเฉิงหรือไม่ หากว่านางได้เข้าไปเป็นอนุให้เฉิงไป่จริงๆ ถ้าฮูหยินรู้เรื่องเข้า นางจะละอายใจบ้างหรือไม่ ข้าจึงคิดหาวิธีไปสืบข่าวคราวของเฉิงไป่ ข้าถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วเฉิงไป่เองก็กำลังป่วย คนของตระกูลเฉิงไม่มีใครรู้เลยว่ามีซินหลานผู้นี้อยู่ด้วย ไม่นานหลังจากนั้น เฉิงไป่ก็เสียชีวิตลง ทำให้คนที่รู้เรื่องนี้จึงยิ่งลดน้อยลงไปด้วย…
…ข้าเพียงคาดเดาอยู่ในใจเท่านั้น ไม่กล้าเล่าให้นายท่านฟัง…
…กว่าหลายปีที่ผ่านมา เสมือนกับว่าต้องอยู่กับความขมขื่นก็ไม่ปาน ทุกครั้งที่นึกถึงก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ หากว่าครั้งนี้ไม่ได้พบกับคุณหนูใหญ่ ข้าก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ย่อยสลายลงท้องไปเสีย ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วข้าก็ได้เล่าเรื่องนี้ออกมาจนได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะวิญญาณของฮูหยินที่อยู่บนสรวงสวรรค์กำลังปกปักษ์รักษาคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองอยู่ ให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองไม่ต้องอยู่อย่างไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง และทำให้นางได้พ้นจากข้อครหาที่อยุติธรรมเสียที”
ชาติก่อนไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!
สิ่งที่หลานทิงพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่นะ
โจวเสาจิ่นคิดทบทวนถึงสิ่งที่หลานทิงกล่าวมาทั้งหมดอย่างละเอียด
โจวชูจิ่นแสยะยิ้มหยันพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าว่า หากข้าไม่สร้างปัญหาให้เจ้าสักหน่อย เจ้าก็คงจะไม่ยอมพูดความจริง ภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้ป้ารับใช้ร่างใหญ่สองคนนั้นเข้ามา!”
หลานทิงหน้าถอดสี กล่าวขึ้นอย่างเว้าวอนว่า “คุณหนูใหญ่ สิ่งที่ข้ารู้ข้าล้วนพูดออกมาทั้งหมดแล้ว ไม่มีสักประโยคที่ไม่ใช่เรื่องจริง หากท่านไม่เชื่อ ข้ายอมสาบานด้วยชีวิตของข้าก็ได้เจ้าค่ะ!”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานยื่นศีรษะเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ในห้องแล้ว ก็รีบถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
“ได้!” โจวชูจิ่นจ้องไปที่นางด้วยสายตาคมราวกับมีด กล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็สาบานเสียแต่ตอนนี้ หากว่าปิดบังอะไรเอาไว้แม้แต่ประโยคเดียว บุตรชายทีเกิดมาจะต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต และบุตรสาวที่เกิดมาจะต้องเป็นหญิงขายตัวไปตลอดชีวิต”
หลานทิงมองโจวชูจิ่นอย่างตกตะลึง ริมฝีปากปิดสนิท ประหนึ่งว่าลำคอตีบตันไปแล้วก็ไม่ปาน สุดท้ายก็ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมาเลยสักคำ
“ว่าอย่างไร ไม่กล้าหรือ!” โจวชูจิ่นหัวเราะหยัน กล่าวขึ้นว่า “ข้าขอถามเจ้า ตอนที่เจ้าเข้ามาที่นี่นั้น ซินหลานคงจะแต่งงานออกไปแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ!” หลานทิงพยักหน้า สีหน้าแสดงความไม่มั่นใจและระมัดระวังอยู่หลายส่วน
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอเจ้าเห็นซินหลานเดินออกมาจากร้านเครื่องประดับกับชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง เหตุใดเจ้าต้องถามคู่ค้าที่ร้านขายของชำว่าบุรุษผู้นั้นเป็นผู้ใดด้วยเล่า คนทั่วไปเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้น ก็น่าจะคิดว่าบุรุษผู้นั้นคือสามีของซินหลานไม่ใช่หรือ”
“ข้า…ข้าลืมบอกท่านไป” หลานทิงมองโจวชูจิ่นด้วยสีหน้าร้อนรน “ตอนที่นางมาเยี่ยมฮูหยินนั้น นางเคยบอกเอาไว้ว่านางมาคนเดียวเจ้าค่ะ…”
“อย่างนั้นหรือ” โจวชูจิ่นกล่าว “หากนางมาคนเดียว แล้วท่านแม่ไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดนางถึงมาคนเดียว ต่อให้เพราะเจ้าเป็นสาวใช้เด็ก จึงไม่รู้ว่าท่านแม่คุยอะไรกับซินหลานบ้าง แต่เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว การที่สามีของซินหลานจะตามมาหา ก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ”
“ในเวลานั้นนางบอกว่าความสัมพันธ์ของนางกับสามีไม่ค่อยดี ฉะนั้นข้าก็เลย…” หลานทิงรีบกล่าวเสริมขึ้นอย่างร้อนรน
“หลานทิง” โจวชูจิ่นกล่าวตัดบทคำพูดของนางเสียงเย็นชา “เจ้าไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยแล้ว ที่เจ้าปกปิดเรื่องราวเอาไว้ ก็เพียงเพื่อจะต่อรองกับข้า ให้ข้าปล่อยเจ้ากลับเป่าติ้ง ไปอยู่ข้างกายของท่านพ่อก็เท่านั้น เจ้าเองก็เป็นคนที่รับใช้ท่านพ่อมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว อารมณ์ของท่านพ่อเป็นอย่างไรเจ้าก็น่าจะรู้ดีที่สุด และคนที่ท่านพ่อให้ความเคารพที่สุดก็คือท่านแม่ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าต่อหน้าพวกข้าในวันนี้เจ้าได้พูดอะไรไปแล้วบ้าง”
แววตาของหลานทิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือดเฉกเช่นขี้เถ้าสีขาว ทิ้งตัวลงไปกองกับพื้นอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
“ไม่ๆๆ…” นางกรีดร้องด้วยเสียงดุดัน “ข้าไม่ได้พูด ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น…”
โจวชูจิ่นไม่ได้คิดจะปล่อยนางไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กล่าวต่อไปว่า “ข้าเพียงแต่ต้องเขียนจดหมายเล่าสิ่งที่เจ้าพูดมาในวันนี้ทั้งหมดส่งไปให้ท่านพ่อ หากสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง การที่เจ้าตั้งใจปกปิดเรื่องชั่วร้ายนี้เอาไว้ เจ้าว่า…ท่านพ่อจะมองว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร และจะลงโทษเจ้าอย่างไรบ้างเล่า แต่ถ้าเจ้ากำลังสร้างเรื่องโกหก นำความตายของท่านแม่มาสร้างข่าวลือ เจ้าว่า…ท่านพ่อยังจะให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาอีกหรือ ยังจะปฏิบัติกับเจ้าเหมือนเช่นเมื่อก่อนได้อีกหรือ”
ประโยคสุดท้ายนั้นราวกับฟางเส้นสุดท้าย หลานทิงไม่ทันได้คิดคำนวณอะไรอีก ไม่ทันได้ระมัดระวังตัวอะไรอีกต่อไป นางพึมพำกล่าว “ไม่มีทางๆ นายท่านไม่มีทางปฏิบัติกับข้าเช่นนั้นได้…นายท่านคือผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว…”
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นฟังแล้วต่างก็รู้สึกว่าน่ารังเกียจยิ่งนัก โจวชูจิ่นจึงตะโกนเรียกภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา กล่าวว่า “ไปตักน้ำในแม่น้ำเข้ามาสองถัง แล้วสาดเรียกสตินางกลับมาให้ข้า”
ตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว น้ำในบ่อจะอุ่น ส่วนน้ำในแม่น้ำกลับเย็น หากสาดลงบนร่างย่อมทำให้หนาวสั่นได้
ภรรยาของหม่าฟู่ซานรับคำแล้วออกไป ไม่นานก็พาป้ารับใช้ร่างบึกบึนสองคนถือถังน้ำเข้ามาด้วยสองคน ชี้ไปที่หลานทิงแล้วกล่าวว่า “เทลงไป!”
ป้ารับใช้ทั้งสองคนถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเทน้ำลงบนร่างของหลานทิง
ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบพาป้ารับใช้ร่างบึกบึนทั้งสองคนออกไป ตอนที่เดินออกไปยังไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เรียบร้อยอย่างใส่ใจอีกด้วย
“พูดออกมาเถอะ!” โจวชูจิ่นมองหลานทิงที่เปียกโชกจนเหมือนกับลูกไก่ตกน้ำแต่เพราะถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกจึงทำให้แม้แต่จะเช็ดน้ำบนใบหน้าก็ยังทำไม่ได้ และกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าพูดออกมาแล้วข้าพอใจ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเหลือทางรอดเอาไว้ให้เจ้าสักทางหนึ่งก็เป็นได้” พูดจบ นางก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าฮูหยินหลี่ย่อมให้ความสนใจเจ้ามากกว่าท่านพ่อเป็นแน่ เช่นนั้นข้าควรจะเขียนจดหมายส่งไปให้นางสักฉบับก่อน จากนั้นค่อยเขียนอีกฉบับส่งไปให้ท่านพ่อดีหรือไม่…”
“ไม่ เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้!” หลานทิงกรีดร้อง
โจวชูจิ่นลุกขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รอดูว่าข้าจะทำได้หรือไม่ได้!”
“ข้าพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว!” ในที่สุดหลานทิงก็ยอมแพ้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะบอกท่านว่าซินหลานอยู่ที่ใด”
นี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายของหลานทิงอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด
…………………………………………………………….