ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 20 เรือนซาน
หลายวันมานี้โจวเสาจิ่นเข้าออกเรือนเจียซู่อยู่บ่อยๆ ยิ่งกว่านั้นเมื่อแก้ความขี้อายจากเมื่อก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ถึงขั้นทักทายคนที่เรือนเจียซู่อย่างกระตือรือร้น ทว่าก็พยักหน้าให้ และกล่าวคำทักทาย ไม่นานก็ได้รับความโปรดปรานจากทุกคนที่เรือนเจียซู่
เพียงนางเดินเข้ามาที่เรือนเจียซู่ ก็จะมีบ่าวรับใช้กล่าวคำทักทายให้นางตั้งแต่ไกลๆ แล้ว
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบแต่ละคนไปด้วย
จนกระทั่งมาถึงเรือนหลัก ซื่อเอ๋อร์มาเลิกผ้าม่านขึ้นให้นางด้วยตัวเอง กล่าวว่า “คุณหนูรอง ท่านมาแล้ว! เมื่อสักครู่นายหญิงผู้เฒ่ายังถามถึงว่าทำไมท่านถึงยังไม่มา! วันนี้ท่านมาช้ากว่าวันก่อนเล็กน้อยนะเจ้าคะ!” จากนั้นกระซิบบอกนางเสียงเบาว่า “นายหญิงผู้เฒ่ามีแขกเจ้าค่ะ เป็นสื่อมามาจากเรือนหานปี้ซานเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นทบทวนชื่อนี้อยู่ในหัว ค้นแล้วค้นอีกถึงได้นึกออกว่าคนผู้นี้คือป้าที่อยู่รับใช้ข้างกายและเป็นผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “นางมาทำอะไรที่นี่หรือ”
ชาติก่อน นางเคยกล่าวคำทักทายกับสื่อมามาท่านนี้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าล้วนเป็นสื่อมามาที่รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่จวนสี่ ภายในความทรงจำนั้น สื่อมามาเป็นคนที่พูดคุยเก่งมากผู้หนึ่ง แต่ว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรนั้นนางกลับจำไม่ได้แล้ว
ซื่อเอ๋อร์หัวเราะเสียงเบาพลางกล่าว “ยังไม่ใช่มาด้วยเรื่องของวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าในวันที่แปดเดือนสี่เจ้าค่ะ พอนายหญิงผู้เฒ่าให้หวังมามานำเงินหนึ่งร้อยเหลี่ยงไปมอบให้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ส่งสื่อมามาให้นำผ้าป่านหลายผืนมาให้เจ้าค่ะ”
ผ้าป่านคือวัตถุดิบที่ใช้สำหรับตัดชุดฤดูร้อน
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณนาง แล้วตามนางเข้าไปในห้องโถง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังนั่งคุยกับหญิงชราที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวขี้ม้าไร้ลวดลายผู้หนึ่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ย
พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หญิงชราผู้นั้นก็หันศีรษะกลับมา
เส้นผมสีดำขลับ มองไม่เห็นสีเงินแซมอยู่เลยแม้สักเส้นเดียว หวีผมขึ้นเป็นมวยหนึ่งอย่างเรียบร้อย ปักด้วยปิ่นปักผมทองฝังด้วยหยกเขียวคู่หนึ่ง ใบหน้ากลมใหญ่ รูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาและคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองแล้วดูอ่อนโยนและใจดียิ่ง คนที่ไม่รู้จักเมื่อได้พบเห็นแล้ว ก็อาจจะเข้าใจได้ว่านางเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลร่ำรวยสักตระกูลหนึ่งเป็นแน่ ไหนเลยจะคิดว่านางเป็นเพียงป้าที่รับใช้อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้หนึ่งเท่านั้น
นางไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอะไร ก็รีบลุกขึ้นมาย่อเข่าทำความเคารพโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นทราบว่าท่านผู้นี้คือสื่อมามา จึงรีบขยับไปที่ด้านข้าง รับการคำนับของนางมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ในรอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนแสดงความพึงพอใจออกมาหลายส่วน หันไปแนะนำโจวเสาจิ่นว่า “ท่านผู้นี้คือสื่อมามาจากเรือนหานปี้ซาน เมื่อเจ้าไปคัดลอกพระธรรมคงไม่พ้นต้องรบกวนสื่อมามาแล้ว ยังต้องขอร้องสื่อมามาให้กรุณาช่วยดูแลด้วย หลานสาวของข้าผู้นี้ นิสัยเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจาสักเท่าไหร่” ประโยคสุดท้ายเป็นการพูดให้สื่อมามาฟัง
สื่อมามารีบกล่าว “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวหนักเกินไปแล้ว คุณหนูรองตำแหน่งสูงศักดิ์ ทั้งยังมาจากจวนของท่าน ไหนเลยจะมีที่ให้ข้าต้องว่ากล่าวกันเจ้าคะ อย่างไรก็ตามบ่าวชราผู้นี้ก็อาศัยว่าเป็นบ่าวอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ค่อนข้างคุ้นเคยกับเรือนหานปี้ซาน หากว่าคุณหนูรองมีเรื่องอะไร ต่อไปเพียงสั่งการบ่าวชราผู้นี้ก็พอเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่กล้าทำอย่างที่นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวไว้ที่ว่าให้ ‘ดูแล’ สองคำนั้นเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา โจวเสาจิ่นก็เข้าสังคมไม่ค่อยเก่งนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ต้อนรับแขกเลยตลอดเจ็ดถึงแปดปีที่อาศัยอยู่ที่บ้านสวนในต้าซิ่ง บทสนทนาสำหรับสถานการณ์เหล่านี้ บางครั้งนางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี โชคดีที่นางเองก็ทราบถึงปัญหาของตัวเอง ยามที่ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายด้วยไมตรีจิต ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
ในครั้งนี้นางก็หันไปยิ้มให้สื่อมามา เพียงแต่ว่าเป็นร้อยยิ้มที่หวานกว่าในยามปกติเล็กน้อย
ดวงตาของสื่อมามามีอาการตกตะลึงวาบผ่านอยู่
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้นรู้ว่าโจวเสาจิ่นพูดไม่เก่ง ก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะพูดอะไร หันไปพูดกับสื่อมามาโดยตรงว่า “เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เรื่องพวกนี้ไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว หลานสาวข้าผู้นี้ก็มอบให้เจ้าเลยก็แล้วกัน เจ้าต้องช่วยดูแลนางให้ดีเสียแล้ว”
สื่อมามากล่าวซ้ำๆ ว่า ‘เจ้าค่ะ’
โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านนำพระธรรมที่คัดเสร็จแล้วขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าว “เมื่อกี้สื่อมามาเพิ่งจะพูดกับข้าว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าจะคัดลอกบทที่สองของ ‘พระสูตรบัวขาว’ เสร็จ จะได้กำหนดวันไปที่เรือนหานปี้ซาน ข้าว่าไม่ต้องกลับไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ให้โจวเสาจิ่นไปพรุ่งนี้เช้าได้เลย ดูแล้ววันสรงน้ำพระพุทธเจ้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว”
“เช่นนั้นดียิ่งเจ้าค่ะ” สื่อมามายิ้มพลางกล่าวชมเชยโจวเสาจิ่นไปหลายประโยค แล้วก็แลกเปลี่ยนกล่าวคำทักทายกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนอีกสักครู่ ก็ลุกขึ้นกล่าวคำอาลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้รั้งให้โจวเสาจิ่นอยู่ต่อ ให้นางกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปเรือนหานปี้ซานในวันพรุ่งนี้เช้า
โจวเสาจิ่นตอบรับด้วยความนอบน้อม แต่ว่าเมื่อออกมาจากเรือนเจียซู่แล้ว ก็อดไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย คิดกับตัวเองว่าควรจะสวมชุดอะไรที่จะไม่ทำให้คนรู้สึกว่าน่าเกลียดขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการโอ้อวดจนเกินไป
ปรากฏว่าระหว่างทางกลับเรือนหว่านเซียงนั้นนางได้พบกับชุ่ยหวน
นางนำคำสั่งของเฉิงเจียมาถามโจวเสาจิ่นว่าทำไมถึงไม่ไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอัน
ตั้งแต่ที่เฉิงเซิงไปจิงเฉิง และโจวชูจิ่นติดตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเพื่อเรียนรู้วิธีการครองเรือนแล้ว ห้องศึกษาจิ้งอันก็มีเพียงเฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นที่เป็นนักเรียนหญิงอยู่สองคน ช่วงนี้โจวเสาจิ่นขอลา เฉิงเจียเพียงคนเดียวจึงถูกอาจารย์หญิงจับตามองอยู่ตลอดเวลา ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ จะยังนั่งนิ่งอยู่ได้อย่างไรกัน
โจวเสาจิ่นพอจะจินตนาการถึงสภาพตอนที่เรียนหนังสือได้ แต่เป็นเพราะนางตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาระยะห่างกับเฉิงเจีย จึงไม่สามารถถนอมความรู้สึกของนางในทุกๆ ด้านเหมือนอย่างเช่นชาติที่แล้วอีก
“ท่านยายให้ข้าช่วยคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว” นางกล่าวกับชุ่ยหวนอย่างเรียบเฉย “ข้าอาจจะไม่ได้ไปที่ห้องศึกษาจิ้งอันไปอีกหลายวัน เจ้าไปบอกกับคุณหนูของพวกเจ้าสักหน่อย ให้นางไม่ต้องรอข้า”
ชุ่ยหวนยากที่จะซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีเล็กน้อย
แต่นางก็ไม่ได้คิดมากนัก หมุนกายเดินออกจากทางเดินนั้น เพื่อกลับไปที่เรือนหว่านเซียง
พอโจวชูจิ่นทราบว่าพรุ่งนี้เช้านางจะได้ไปที่เรือนหานปี้ซาน ก็ตื่นเต้นไปกับโจวเสาจิ่นขึ้นมาด้วย “พรุ่งนี้เจ้าเตรียมจะสวมชุดอะไร สวมเครื่องประดับอะไร แล้วก็ อย่าลืมนำก้อนเศษเงินไปด้วยเล็กน้อยเพื่อมอบเป็นรางวัลตอบแทน เพราะเป็นครั้งแรกที่เจ้าไปที่เรือนหานปี้ซาน…ไม่รู้ว่าที่นั่นมอบรางวัลตอบแทนกันกี่มากน้อย พวกนางที่อยู่ทางนั้นถือในระเบียบยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นรางวัลใหญ่ก็สามารถได้รับการเคารพจากบ่าวรับใช้เหล่านั้นแล้ว” มีความสับสนปนอยู่ด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
พี่สาวในลักษณะนี้ โจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน
นางอดไม่ได้กลั้นยิ้มเอาไว้
ดูแล้วพี่สาวเองก็ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วจะนิ่งสงบได้เองโดยธรรมชาติ ที่สามารถแบกรับน้ำหนักของภูเขาไท่ซานได้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
นางรู้สึกใกล้ชิดกับพี่สาวมากขึ้นและหวาดกลัวพี่สาวน้อยลง
“สวมชุดนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเลือกชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีชมพูลายดอกเหมยเข้มตัวหนึ่งออกมาจาก**บที่เปิดเอาไว้ “สวมคู่กับกระโปรงบานสีเขียวเข้มตัวนั้นดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นพึงพอใจยิ่ง กล่าว “พรุ่งนี้ก็สวมตุ้มหูระย้าสักคู่ คาดที่คาดผมไข่มุกสักอัน” จะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกสักหน่อย
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ฟ้าเพิ่งจะเริ่มมืดก็เข้านอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ ในหัวเดี๋ยวก็ปรากฏภาพรองเท้าทรงก้อนเมฆสีเขียวเข้มคู่นั้นที่อยู่ใต้ต้นกุหลาบเลื้อยวาบผ่านเข้ามา เดี๋ยวก็ปรากฏภาพยอดเขาของภูผาหินไท่หูขรุขระที่ปกคลุมไว้ด้วยตะไคร่น้ำสีเขียววาบผ่านเข้ามา เดี๋ยวก็เตือนตัวเองว่านี่ล้วนเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เกิดขึ้น อย่าให้ตัวเองทำให้ตัวเองต้องหวาดกลัว อย่าเอาไปโยงกับเรื่องราวในอดีตอีก เดี๋ยวก็นึกถึงตนเองในอดีตที่แทงเฉิงลู่ไปหนึ่งครั้ง ก็ถือว่าได้แก้แค้นแล้วครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็คาดเดาหาคำตอบว่าทำไมเฉิงลู่ต้องทำเช่นนี้กับตนเอง เขาจะรู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลอะไรขึ้นบ้าง…ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
จะให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีก!
นางคิดแล้วคิดอีก แล้วก็ลุกขึ้นมานั่ง สั่งการซือเซียงที่อยู่เวรยามตอนกลางคืนว่า “นำธูปคลายเครียดที่ท่านพี่ทำขึ้นมาจุดสักดอกเถอะ ข้านอนไม่หลับ”
ซือเซียงที่ต้องรับใช้โจวเสาจิ่นไปที่เรือนหานปี้ซานในพรุ่งนี้ นางเองก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เอนตัวนอนอยู่บนเตียงคิดแล้วคิดอีกว่ามีจุดไหนที่หลงลืมอะไรไปหรือไม่ พอได้ยินคำสั่งแล้วก็ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง แล้วรีบไปจุดธูปคลายเครียด
กลิ่นธูปหอมหวานอบอวลอยู่ในห้อง ทั้งสองคนก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป วันต่อมาหากไม่ใช่เพราะโจวชูจิ่นมาตะโกนเรียก โจวเสาจิ่นคงจะไม่ทันเวลาไปเรือนหานปี้ซานเป็นแน่
ยังดีที่ตอนที่รีบไปถึงเรือนเจียซู่นั้น สื่อมามายังมาไม่ถึง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนย้ำเตือนนางครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งตอนที่สื่อมามามาถึง นางสำรวจโจวเสาจิ่นผู้งดงามและบอบบางไปรอบหนึ่ง ฉับพลันก็เปลี่ยนความตั้งใจ ตัดสินใจไปส่งโจวเสาจิ่นด้วยตัวเอง
สื่อมามาประหลาดใจยิ่ง ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงอาการออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนมุ่งไปยังเรือนหานปี้ซาน
ใช้ชีวิตมาสองชาติ นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้ไปเรือนหานปี้ซาน นางอดไม่ได้มองสำรวจทัศนียภาพโดยรอบไปด้วย
พอพ้นออกมาจากประตูน้ำมันเคลือบสีดำแล้ว ก็เป็นทางเดินขนาดยาวเส้นหนึ่ง ตลอดทั้งทางเดินปูด้วยก้อนกรวดสีครามและสีเหลืองเป็นลายแปดเหลี่ยม หกเหลี่ยม รูปตัวอักษรเหรินและลายอื่นๆ ต้นไม้เขียวขจีสองข้างเป็นร่มเงา มีหินขรุขระรูปทรงแปลกประหลาดตั้งขึ้นเป็นเจดีย์อยู่หลายชิ้น หรือไม่ก็เป็นก้อนหินสีครามทำเป็นม้านั่งไร้พนักพิง ดอกฉาฮวา ดอกอิ๋งชุน ดอกจื่อจิง ดอกอวี้จานและอื่นๆ ปลูกเป็นพุ่มเตี้ยนั้นเป็นดอกไม้ที่มีสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง และสีม่วงบ้าง ต่างก็กำลังเบ่งบานอย่างสดใส สวยงามยิ่งนัก กระทั่งเลี้ยวผ่านโค้งหนึ่ง ก็ได้พบกับทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบขนาดใหญ่หนึ่ง สะพานหินซิกแซก ศาลากลางทะเลสาบ ศาลาริมน้ำ ท่าเรือ ต้นหลิวห้อยระย้าริมสองฝั่งเห็นได้อย่างชัดเจน ที่ไกลๆ นั้นเป็นยอดเขาสีเขียวมรกต ส่วนที่ใกล้ๆ นั้นเป็นใบบัวที่โผล่พ้นมาให้เห็นจากผิวน้ำ ถึงฤดูร้อนแล้ว ที่นี่จึงเต็มไปด้วยใบสีเขียวหยกที่มีกลิ่นหอมของดอกบัวไปทั้งทะเลสาบอยู่หลายวัน
โจวเสาจิ่นอดใจไม่อยู่สูดลมหายเข้าลึกๆ ไปทีหนึ่ง
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุชื่อไม่ได้
เป็นสถานที่หนึ่งที่ดียิ่ง
นางไม่เคยเห็นทัศนียภาพเช่นนี้มาก่อน ที่นี่น่าจะเป็นสวนส่วนตัวของจวนหลักหรือไม่ก็ของเรือนหานปี้ซาน
ดูลักษณะแล้วความลึกของซอยจิ่วหรูต้องลึกกว่าความลึกที่นางรู้มาอยู่มากโข ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจมีสวนเช่นนี้อยู่ตั้งหนึ่งสวนได้
โจวเสาจิ่นมองนานขึ้นอีกสองครั้ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ท่ามกลางความเขียวเข้มด้านหน้านั้นก็ปรากฏชายคาสีเทาและกำแพงหัวม้าสีขาวหิมะขึ้นมา
สื่อมามายิ้มพลางหันศีรษะมากล่าวกับนางว่า “อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงเรือนหานปี้ซานแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้ม ทว่าแอบคำนวณอยู่ในใจ ที่จริงแล้วจากเรือนเจียซู่ถึงเรือนหานปี้ซานน่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งถ้วยน้ำชา
พวกนางเลี้ยวผ่านโค้งหนึ่งอีกครั้ง เวลานี้สองข้างของทางเดินล้วนปลูกเอาไว้ด้วยต้นไผ่หลากหลายชนิด นอกจากต้นที่พบเห็นได้จนชินตาเช่น ไผ่ชิง ไผ่กัง ไผ่ฟาง และไผ่กุ้ยเฟยแล้ว ยังมีต้นที่พบเห็นได้ยากเช่น ไผ่จื่อสีม่วง ไผ่หลงสูงใหญ่ที่โตเต็มที่แล้ว ไผ่จินสีเหลืองทองขนาดเล็กบางและสวยงาม เพียงแค่มองก็ทราบได้ว่ามีอายุหลายปีแล้ว ทั้งหมดล้วนปลูกพร้อมกัน ลมจากผิวน้ำทะเลสาบพัดผ่านมา ผิวน้ำเริ่มเต้นระบำ ราวกับคลื่นสีเขียวหนึ่งโถมตัวผ่านมา ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในเรือนหานปีซานก็รับรู้ได้ถึงความเย็น รู้สึกหนาวขึ้นมา
โจวเสาจิ่นกระชับปกเสื้อ ที่เห็นอยู่ด้านหน้าเป็นประตูหรูอี้ทาด้วยน้ำมันเคลือบสีดำบานหนึ่ง บนขื่อประตูเป็นหินทรงหรูอี้ สลักตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือตัวใหญ่สี่ตัวว่า ‘เรือนหานปี้ซาน’ เป็นลายมือที่เรียบง่าย สูงสง่า ตัวหนาและแข็งแรง มีร่องลอยของลม หมอก ฝน และหิมะ หลงเหลือให้เห็นอยู่จางๆ ไม่ใช่ป้ายที่ใหม่นัก
นี่ทำให้นางโล่งอกไปเปลาะหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้
เดินเข้าไปในเรือนหานปี้ซาน ด้านหน้าเป็นกระถางต้นสนที่สูงกว่าความสูงของคน กิ่งก้านที่แผ่ขยายออกมา ยาวประมาณสี่ฉื่อ บดบังสายตาของพวกนางเอาไว้ ขอบอ่างขนาดใหญ่ราวกับบันไดหิน สามารถให้คนนั่งได้สองถึงสามคน
โจวเสาจิ่นที่ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถางที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน นางเดินผ่านกระถางไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทางเดินกลายเป็นแผ่นหินสีคราม ถึงแม้ว่าจะมีร่อยรอยการถูกย่ำมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นสีมันวาว แต่ก็ไม่มีแบบหรือลวดลายใดๆ ด้านข้างล้วนแล้วแต่เป็นสีเขียวอ่อน สีเขียวเหลือง สีเขียวของถั่วเขียว สีเขียวหยก และสีเขียวเข้มมันวาว…สารพัดสีเขียวทั้งอ่อนและเข้ม
ไม่มีดอกไม้สักดอก และไม่มีสีอื่นนอกจากสีเขียว
นางตะลึงงัน
นี่คงเป็นที่มาของชื่อ ‘หานปี้ [1] ’ กระมัง
——
[1] หานปี้ ร่มเย็นและเขียวขจี