ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 21 หานปี้
โจวเสาจิ่นข่มความรู้สึกประหลาดใจเอาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจแล้วเดินตามสื่อมามาไปข้างหน้า สาวน้อยที่แต่งตัวแบบสาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงเลือดหมูแถบสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “สื่อมามา ท่านกลับมาแล้ว!”
นางย่อเข่าทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนและโจวเสาจิ่น “นายหญิงผู้เฒ่า! คุณหนูรอง!”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จักนาง เห็นนางแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสี่ถึงสิบห้าปี ดวงตาทรงถั่วอัลมอนต์และแก้มราวกับผลท้อ ขณะที่พูดและหัวเราะอย่างร่าเริงนั้นดวงตาก็ระยิบระยับ ดวงหน้าสดใสมีเสน่ห์ โดดเด่นยิ่ง อดไม่ได้ต้องมองอีกสองครั้ง
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนคุ้นเคยดีกับเด็กสาวผู้นี้ ยิ้มพลางกล่าว “เจินจู ไม่ได้เจอหลายวัน เจ้างดงามขึ้นอีกแล้ว”
“ไม่กล้ารับคำชมจากนายหญิงผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ถูกเรียกว่าเจินจูยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรอคุณหนูรองอยู่เจ้าค่ะ ไม่คิดว่านายหญิงผู้เฒ่าก็มาด้วย…”
ยังพูดไม่จบประโยค ก็มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อนไร้ลวดลายตัวหนึ่ง อายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ใบหน้าเรียวยาว คิ้วโค้งโก่ง เส้นผมดำขลับหวีขึ้นเป็นมวยหนึ่ง ปักด้วยปิ่นปักผมทองรูปดอกท้อฝังด้วยหินสีชมพู รอยยิ้มอ่อนโยน กิริยาสง่างาม ไม่มีส่วนคล้ายคลึงเจินจูผู้นั้นเลยสักสาย
โจวเสาจิ่นแอบสงสัยอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ไม่รู้ว่าสาวใช้คนอื่นๆ ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง
“นายหญิงผู้เฒ่า!” นางหันไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวน กล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าไม่คิดว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง หากเสียมารยาทตรงที่ใด ยังขอนายหญิงผู้เฒ่าโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“เป็นปี้อวี้นี่เอง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าไปหลายเสียง พลางกล่าว “เป็นข้าที่ไม่ได้แจ้งเอาไว้ก่อน เกี่ยวอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้ากัน รีบลุกขึ้นมา ไม่ต้องมากพิธี”
สาวใช้ที่ถูกเรียกว่าปี้อวี้หัวเราะพลางลุกขึ้นมา กล่าว “นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าเชิญท่านไปรับน้ำชาที่ห้องโถงก่อนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “นี่คือปี้อวี้กูเหนี่ยงคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ต่อไปเจ้าคงต้องรบกวนนางไม่น้อย”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเรียกนางคำหนึ่งว่า “ปี้อวี้กูเหนี่ยง”
ความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของปี้อวี้ รีบย่อเข่าทำความเคารพ กล่าว “คุณหนูรองทำให้บ่าวซาบซึ้งยิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางนอบน้อมยิ่ง ทำให้โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกดีเกิดขึ้นภายในใจ
คนหนึ่งกลุ่มจึงเดินต่อไปยังด้านหน้า
สุดทางเดินเป็นเรือนห้าห้องสองชั้น กำแพงเรือนสีขาว หน้าต่าง บานประตูสีแดงสดใส แขวนไว้ด้วยผ้าโปร่งแสงสีเหลืองอ่อน ด้านหน้าของประตูเป็นซุ้มองุ่นหนึ่งซุ้ม ด้านซ้ายและขวาวางประดับไว้ด้วยโถกระเบื้องลายครามขนาดใหญ่ด้านละหนึ่งชิ้น ด้านหนึ่งปลูกสกุลบัวสาย อีกด้านหนึ่งเลี้ยงปลาคาร์ปหลากสีเอาไว้ ทั้งงดงามยิ่ง และไม่ไร้ซึ่งความประณีต
สาวใช้สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงดอกติงเซียงแถบสีถั่วเขียวผู้หนึ่งออกมาช่วยพวกนางเลิกผ้าม่านขึ้น
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะสังเกตว่าที่แห่งนี้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้เปลี่ยนเป็นมู่ลี่ไม้ไผ่แล้ว
บนมู่ลี่ไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนนั้นมีจุดสีม่วงแต้มอยู่เป็นจุดๆ ดูแล้วเป็นมู่ลี่ไม้ไผ่เซียงเฟยที่ค่อนข้างมีอายุเก่าแก่ และมุมตรงนั้นเป็นลูกสิงโตมรกตขนาดเท่ากำปั้นสองตัวกำลังกลิ้งลูกไหมพรหมเล่นอยู่!
หยกมรกตสีเขียวเปล่งประกายนั้นน้ำงามสมบูรณ์ยิ่ง ฝีมือแกะสลักก็ประณีตราวกับของจริง ไม่เพียงแสดงลักษณะของสิงโตที่น่ารักสดใสอย่างเป็นธรรมชาติออกมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด แม้แต่ลวดลายดอกไม้บนลูกไหมพรหมที่อยู่ในอกของสิงโตก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วย
โจวเสาจิ่นอัศจรรย์ใจยิ่ง
ชาติก่อนตอนที่นางแต่งเข้าตระกูลหลินเป็นปีแรกนั้น เมื่อถึงวันเกิดของแม่สามี นางเดินทางไปที่ร้านอัญมณีหย่งฟู่เซิ่งที่จิงเฉิง เพื่อจะสั่งทำของสักชิ้นให้แม่สามี เลือกของไปกว่าครึ่งค่อนวัน ถึงเลือกหยกมรกตขนาดเท่าสิงโตกลิ้งลูกไหมพรหมนี้มาได้ชิ้นหนึ่ง เป็นหยกที่น้ำงามไม่เท่าชิ้นนี้ แต่ก็จ่ายเงินไปเกือบสองร้อยเหลี่ยง
ทุกคนต่างพูดกันว่าจวนสามนั้นมีเงินทอง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะโอ่อ่าเหมือนจวนหลักเช่นนี้
ไม่แปลกใจเลยที่ในยามปกติทุกคนจะทำเสียงเบาลงยามพูดอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
เจินจูอยู่ด้านหน้าดึงมู่ลี่ขึ้น โจวเสาจิ่นเดินตามฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้าไปในห้องโถง
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ยิ่งนิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เดินเข้ามาจากด้านหลังห้องโดยมีสาวใช้ผู้หนึ่งที่สวมเสื้อสีม่วงดอกติงเซียงแถบสีรุ้งช่วยประคองเข้ามา
โจวเสาจิ่นเห็นว่าสาวใช้ผู้นั้นกับปี้อวี้น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน ทว่าคิ้วยาวดวงตาเล็ก ผิวขาวดั่งหิมะ กิริยาอ่อนหวาน เป็นความงดงามอีกรูปแบบหนึ่ง จึงลอบชื่นชมอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
นางเป็นคนเอาจริงเอาจังและเข้มงวด สถานที่อยู่อาศัยก็ขึงขังและเงียบสงบ แต่สาวใช้ข้างกายทุกคนล้วนแล้วแต่งดงามในหลากหลายรูปแบบ ราวดอกกล้วยไม้ในฤดูใบไม้ผลิและดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีจุดที่สมควรให้ชื่นชม
และด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เริ่มทักทายกัน “ไม่คิดว่าท่านจะมา ตอนเที่ยงก็อย่าเพิ่งไปเลย อยู่รับมื้อเที่ยงที่นี่กับพวกข้าก่อน”
“ดียิ่ง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยท่าทีที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “เมื่อคราวก่อนอยู่ที่นี่ได้ทานนกอบน้ำผึ้งไปตัวหนึ่ง จนวันนี้ข้าก็ยังจำได้ไม่ลืม วันนี้ได้โอกาสลองชิมอีกครั้ง”
“วางใจเถอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะพลางกล่าว “วันนี้ไม่เพียงมีนกอบน้ำผึ้งเท่านั้น ยังมีเนื้อแกะทอดและซุปเผ็ดเปรี้ยวที่เจ้าชอบทานอีกด้วย”
ปี้อวี้ได้ยินแล้วคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงหัวเราะแล้วกล่าวกับนางว่า “พวกข้าสองคนกว่าจะได้เจอกันนั้นไม่ง่ายนัก เจ้าไม่ต้องกังวลมากขนาดนี้ หากว่าฮูหยินใหญ่จิงต่อว่า เจ้าก็บอกไปว่าเป็นข้าที่อยากทาน!”
ตอนนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อน นกอบน้ำผึ้งเป็นของหวาน ส่วนเนื้อแกะกลิ่นแรง ซุปเผ็ดเปรี้ยวก็มีรสชาติที่เข้มเกินไป แม้แต่จวนสี่เองก็ไม่ค่อยทำอาหารสามชนิดนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน นับประสาอะไรกับจวนหลัก
เพราะสามารถจัดการดูแลอาหารการกินของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คงเป็นสาวใช้อันดับหนึ่งของเรือนหานปี้ซานเป็นแน่
ปี้อวี้อมยิ้ม คอยดูแลให้พวกนางนั่งลง
โจวเสาจิ่นกลับเป็นกังวลเรื่องมื้อเที่ยง
ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับหยวนซื่อที่มาดูแลแม่สามียามรับมื้ออาหารหรือไม่
สาวใช้สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงไร้ลวดลายนำเด็กรับใช้อีกหลายคนนำน้ำชาและของว่างมาให้พวกนาง
สาวใช้ผู้นั้นคิ้วเข้มดวงตาโต ยิ้มแย้มแม้ไม่ได้เอ่ยคำใด ดูคล่องแคล่วมีชีวิตชีวา เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีลักษณะที่โดดเด่น
โจวเสาจิ่นได้พบกับเจินจู ปี้อวี้และสาวใช้ในชุดสีม่วงติงเซียงผู้นั้นมาแล้ว ก็ไม่ค่อยเห็นเป็นเรื่องแปลกแล้ว จึงลดความประหลาดใจไปได้หลายส่วน
รอจนกระทั่งผู้ใหญ่ทั้งสองสนทนากันเสร็จแล้ว นางขยับขึ้นไปด้านหน้าทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสำรวจมองนาง แล้วก็ยิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดูออกมา
โจวเสาจิ่นก็ไม่รู้ว่าตนเองได้รับความสนใจจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากตรงไหน จึงเพียงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเคร่งขรึมพลางยิ้มน้อยๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามนาง “โดยปกติแล้วอ่านพระธรรมอะไรบ้าง”
คนที่ไม่เข้าใจธรรมะมักจะเลือกอ่าน ‘พระสูตรปณิธานแห่งพระกษิติครรภโพธิสัตว์’ จากนั้นค่อยเลือกอ่านตามความเชื่อของแต่ละคนต่อไป เช่น ‘พระสูตรว่าด้วยการเพ่งพิจารณาพระอมิตายุสพุทธเจ้า’ หรือ ‘อมิตาพุทธสูตร’ หรือ ‘สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต’ และอื่นๆ มีเพียงคนที่อุทิศตัวเพื่อธรรมะเท่านั้น ถึงจะเลือกอ่าน ‘พระไตรปิฎก’ คนที่อ่าน ‘ศูรางคมสูตร’ จนแตกฉานแล้วก็จะสามารถอ่าน ‘พระสูตรบัวขาว’ และ ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ ได้
พิจารณาถึงสถานการณ์ตามจริงของตัวเองแล้ว โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “โดยปกติข้าชอบอ่าน ‘อมิตาพุทธสูตร’ เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้านั้นข้าได้คัดลอก ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ เล่มหนึ่งสำหรับถวายแด่พระพุทธองค์แล้ว เช่นนั้นก็ให้คุณหนูรองช่วยข้าคัดลอก ‘ศูรางคมสูตร’ เล่มหนึ่งก็แล้วกัน!” จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “หากเจ้ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ ก็มาถามข้าได้”
‘ศูรางคมสูตร’ มีสิบบท ยาวยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นลอบเช็ดเหงื่ออยู่ในใจ บนใบหน้ากลับนอบน้อมและตอบเสียงอ่อนโยนว่า ‘เจ้าค่ะ’
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวพานางไปยังสถานที่สำหรับคัดลอกพระธรรมด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นห้องพระห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านข้างภูผาริมทะเลสาบไท่หูในสวนดอกไม้หลังเรือนหานปี้ซาน
ทั้งสี่ด้านของห้องพระล้วนเป็นหน้าต่างกระจกระบายสี ขื่อไม้จันทน์สีแดง พระพุทธรูปของพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันมือปิดด้วยทอง ที่จุดธูป จานวางผลไม้สดสำหรับถวายบูชาสูงเจ็ดถึงแปดฉื่อ เปรียบเทียบกับห้องพระเล็กของฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ที่นี่เหมือนกับวิหารสำหรับถวายธูปเทียนในวัดมากกว่า
อาจจะเป็นเพราะมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย โจวเสาจิ่นจึงชอบห้องพระเล็กของท่านยายห้องนั้นมากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปที่โต๊ะเขียนหนังสือแกะสลักลายต้นหญ้ากับเก้าอี้มีเท้าแขนที่ปูไว้ด้วยผ้าแพรสีเหลืองอ่อนที่อยู่ใต้ไม้ระแนงหน้าต่างทางด้านตะวันออกของห้องพระพลางกล่าว “นั่นคือเตรียมเอาไว้ให้เจ้าสำหรับคัดลอกพระธรรม ถ้าหากรู้สึกว่าไม่สบาย พวกเราค่อยเปลี่ยนเป็นที่อื่นได้”
เดิมทีโจวเสาจิ่นคิดว่าถึงแม้จะไม่ดีนักก็ไม่เป็นไร อะไรก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงตนเองในชาติที่แล้วที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแล้วแต่ไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้ แต่ก็ไม่เคยได้รับคำชมจากผู้ใหญ่แม้สักประโยค ในทางกลับกัน กลับเป็นการทำให้ตนเองต้องลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นแล้วสิ่งที่นางต้องคัดลอกคือ ‘ศูรางคมสูตร’ หนึ่งเล่ม ที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีเป็นอย่างน้อย
นางเปลี่ยนความคิดในทันใด ครุ่นคิด แล้วก้าวไปด้านหน้าผลักหน้าต่างให้เปิดออก
ด้านนอกเป็นต้นไหวซู่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านหนาสูงเหนือชายคาเรือนขึ้นไป พุ่มของต้นไม้ราวกับร่ม ครอบหลังคาของห้องข้างจนมิด สะท้อนให้ทั้งห้องกลายเป็นสีเขียวครึ้ม เมื่อมองไกลออกไป เป็นทัศนียภาพครึ่งหนึ่งของทะเลสาบไท่หู สามารถมองเห็นใบบัวได้รางๆ
โจวเสาจิ่นสามารถจินตนาการได้ถึงทัศนียภาพของที่นี่เมื่อถึงฤดูร้อนว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อมองดูบนโต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง แท่งหมึกจากหุยโจว หินฝนหมึกชั้นดีจากตวนซี กระดาษจากซวนเฉิง ไม่มีสักชิ้นที่ไม่ใช่ของชั้นดีมีคุณภาพ
นางชอบยิ่ง ยิ้มพลางกล่าว “ที่นี่ดียิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางผลักเปิดหน้าต่าง ก็ยิ้มพลางพยักหน้า ชี้ไปที่สาวใช้คนที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงดอกติงเซียงผู้นั้นแล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “นางชื่อเฝ่ยชุ่ย ต่อไปหากว่าเจ้ามีเรื่องอะไร ก็เพียงให้บอกนาง”
เฝ่ยชุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็ขยับขึ้นด้านหน้าไปทำความเคารพโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นพูดกับนางหลายประโยคว่า ‘ต่อไปคงต้องรบกวนพี่สาวแล้ว’ เฝ่ยชุ่ยรีบกล่าวว่า ‘ไม่กล้าเจ้าค่ะ’ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปที่คนที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงผู้นั้นแล้วบอกโจวเสาจิ่นให้เรียกนางว่า ‘หมาเหน่า’ หมาเหน่าทำความเคารพและกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นอย่างช่วยไม่ได้ ทุกคนทำความรู้จักกันอีกครั้ง เป็นอันว่าโจวเสาจิ่นได้ทำความรู้จักกับสาวใช้คนสำคัญที่อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวครบแล้วทั้งสี่คน
ตามความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว วันนี้เรียกให้โจวเสาจิ่นเข้ามาเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ เมื่อผ่านวันที่แปดเดือนสี่แล้วค่อยเริ่มคัดลอกพระธรรม จึงกล่าวว่า “เนื่องจากอีกไม่ถึงสองถึงสามวันก็จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่อาจทำให้งานนี้ล่าช้าได้ ส่วนเรื่องเรียนก็ไม่อาจทำให้ล่าช้าได้เช่นกัน ฉะนั้นช่วงเช้าไปเข้าเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอัน พักผ่อนให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคัดลอกพระธรรมที่นี่” ยังกล่าวอีกว่า “หากว่าอากาศร้อนมากแล้ว ก็ให้ตรงมารับมื้อเที่ยงที่นี่เลย ข้าจะให้คนเตรียมห้องพักผ่อนภายในหนึ่งห้องเอาไว้ให้เจ้า”
เดิมทีแล้วโจวเสาจิ่นวางแผนเอาไว้ว่าจะหาเวลาสักหนึ่งชั่วยามครึ่งในเวลากลางคืนมาคัดพระธรรมให้เสร็จเร็วขึ้น ไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานนานนัก นางกำลังจะปฏิเสธ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับยิ้มพลางกล่าวขึ้นก่อนว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็ดียิ่ง ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
นางจำต้องกลืนถ้อยคำที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากแล้วนั้นลงไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็สนทนาถึงเรื่องวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าขึ้นมา “สะใภ้อี๋กล่าวว่าสะใภ้ของสือเอ๋อร์เพิ่งจะตั้งครรภ์ จำต้องรั้งดูแลอยู่ที่จวน ฉะนั้นจึงมีเพียงแม่สามีนางไปพร้อมกันกับพวกเรา ส่วนจวนสามรั้งให้สะใภ้หลูอยู่ที่จวน โดยบอกว่าที่จวนรองนั้นอาจต้องการความช่วยเหลือ มีน้องสะใภ้สามที่พาหลานเจียไปพร้อมกันกับพวกเรา แล้วฝั่งพวกเจ้าจะไปกันกี่คน ข้าเองก็จะได้จัดเตรียมการได้!”
ถ้อยคำสนทนานี้กล่าวได้ค่อนข้างสับสน โจวเสาจิ่นต้องทำความเข้าใจสักพักถึงได้เข้าใจ
สะใภ้อี๋ที่กล่าวถึงคือฮูหยินใหญ่จวนรอง และก็คือมารดาของเฉิงสือ ส่วนสะใภ้ของสือเอ๋อร์ก็คือกล่าวถึงเจิ้งซื่อ ภรรยาของเฉิงสือ
นางแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงเมื่อห้าปีก่อน สามปีก่อนให้กำเนิดบุตรชายคนโตชื่อเฉิงเกิง และก็ถือเป็นเหลนคนแรกของตระกูลเฉิง ทั้งยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย
ตามชาติก่อน การตั้งครรภ์ของเจิ้งซื่อในครั้งนี้ก็เป็นบุตรชายอีกเช่นกัน จะคลอดในช่วงที่มีการทานปูกันในเดือนเก้า ทำให้ท่านผู้นำตระกูลดีใจยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ยังมอบที่ดินผืนหนึ่งแก่เจิ้งซื่อสำหรับเป็นสมบัติส่วนตัวอีกด้วย
เป็นไปได้ว่าเพราะจวนรองไม่อยากทำให้จวนหลักไม่พอใจ ทั้งยังไม่อาจกล้ำกลืนต่อมารยาทนี้ได้ จำต้องใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างให้ฮูหยินใหญ่อี๋รั้งอยู่ที่จวนเพื่อดูแลความเรียบร้อยตามหน้าที่
ส่วนจวนสามนั้นยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อก่อน ที่เอาใจทั้งสองฝ่าย นั่นคือ เฉิงเจียกับหลี่ซื่อ ท่านย่าของนางติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่วัด ส่วนเจียงซื่อ มารดาของเฉิงเจียนั้นใช้ ‘ด้วยเกรงว่าจวนรองจะต้องการความช่วยเหลือ’ เป็นเหตุผลรั้งอยู่ที่เรือน