ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 23 วัด
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกลมหายใจหนึ่ง
ตอนนี้ มือคู่นี้กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่อย่างนอบน้อม ด้วยท่าทียอมจำนน
เช่นเดียวกับในชาติก่อน เจ้าของมือคู่นี้ก็ไม่อาจปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียวได้ ยังมีคนที่สามารถทำให้นางต้องลดศีรษะที่หยิ่งทะนงนั้นลงได้ ยังมีคนที่สามารถทำให้นางต้องลดหัวคิ้วเก็บหางตา กล้ำกลืนควบคุมและจัดการอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้
เวลานี้ โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกชอบความเข้มงวดเด็ดขาดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาเล็กน้อย
ชาติก่อน หากไม่ใช่เพราะว่ามีฮูหยินผู้เฒ่ากัวควบคุมเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าหยวนซื่อจะทำอะไรกับตนอีกบ้าง
นางสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้น
ตนเองไม่ใช่โจวเสาจิ่นผู้อ่อนแอไร้ความสามารถผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว มีเหตุผลอะไรให้หยวนซื่อมาดูถูกตนเองได้?
เส้นผมที่ดำขลับทำให้ผิวของนางยิ่งขาวเนียนใสมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เปล่งประกายทำให้นางดูราวกับเทพที่จรัสไปด้วยรัศมีแห่งความสุข ใบหน้าเปล่งปลั่งสุขภาพดี
หยวนซื่อ ไม่ว่าตอนไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สดใสมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์โดดเด่น
โจวเสาจิ่นกลับมีความรู้สึกราวกับกำลังยืนชมวิวอยู่บนอาคารสูง
กระทั่งถึงตอนที่ต้องทำความเคารพหยวนซื่อ นางขยับขึ้นด้านหน้าทำความเคารพด้วยท่าทีที่ไม่โอหังแต่ก็ไม่ได้ประจบสอพลอ กล่าวทักทายด้วยร้อยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยน
ในแววตาของหยวนซื่อที่มองนางนั้นกลับมีความประหลาดใจราวกับจำผิดคน ยิ้มพลางกล่าว “ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน คุณหนูรองดูสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว”
พูดราวกับว่าพวกนางไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลเฉิงล้วนเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่พร้อมกัน และส่งโคมไฟแก่กันเป็นประจำทุกปี แต่จากลักษณะนิสัยของโจวเสาจิ่นในกาลก่อนแล้ว นางอาจจะแอบอยู่ที่ด้านหลังของพี่สาว หรือไม่ก็หลบอยู่ตรงมุมห้องโถง เห็นหน้าค่าตาไม่ชัด หยวนซื่อเลยไม่ได้สังเกตเห็นว่านางนั้นก็ปกติดี
นางยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นธรรมชาติ
ในดวงตาของหยวนซื่อมีลำแสงแห่งความประหลาดใจพาดผ่านอยู่ อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย ทว่ามีเสียงของฝีเท้าที่หนักและลุกลี้ลุกลนดังเข้ามาจากที่ไกลๆ ผสมปนเปมากับเสียงตำหนิของหญิงชราว่า “…เร็วเข้าๆ …ให้พวกเจ้าจัดเตรียมเกี้ยวเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว หูของพวกเจ้าไปอยู่เสียที่ไหนหมด”
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงหญิงแข็งแรงสองคนกำลังแบกเกี้ยวเดินอย่างรีบเร่งมุ่งหน้ามาทางนี้
หญิงชราบนเกี้ยวนั้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ คาดด้วยผ้าคาดศีรษะสีเขียวขี้ม้า บนผ้าคาดฝังด้วยมรกตขนาดเท่าหัวนิ้วโป้งชิ้นหนึ่ง บนใบหูประดับไว้ด้วยตุ้มหูมรกตขนาดเท่ากัน สวมชุยเพ่ยจื่อสีเหลืองแก่ลายก้อนเมฆทรงกลม ตรงคอเสื้อมีกระดุมไข่มุกจากทางใต้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเรียงกันอยู่สามเม็ด ถึงแม้ว่าคนจะอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์ แต่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นกลับมีผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียดดังหญิงสาวอายุน้อย ดวงตาทั้งคู่นั้นยิ่งดูเปล่งประกายสดใสและมีชีวิตชีวา
ผู้นี้ก็คือถังซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนรอง
เฉิงลี่ นายท่านผู้เฒ่าของจวนรองเสียชีวิตไปนานแล้ว นางครองตัวเป็นหม้ายอยู่ที่ตระกูลเฉิง ไม่เพียงเลี้ยงดูบุตรชายอย่างเฉิงอี๋เท่านั้น ยังช่วยแม่สามีทำหน้าที่ดูแลเรือน บางครั้งยังดูแลจัดการกิจการของจวนรองเป็นครั้งคราวด้วย จนกระทั่งแม่สามีเสียชีวิตไป จึงยิ่งดูแลทั้งเรื่องภายในและภายนอกด้วยตัวคนเดียว ดูแลจัดการจวนรองจนเจริญรุ่งเรือง เฉิงซวี่ ผู้นำตระกูลจวนรองให้ความสำคัญและความเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง เป็นบุคคลที่มีน้ำหนักและเชื่อถือได้ทั้งในจวนและนอกจวนของจวนรองผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้จะมอบหมายหน้าที่ในจวนให้กับหงซื่อ บุตรสะใภ้ไปแล้ว แต่หากว่ามีเรื่องที่สำคัญๆ หงซื่อยังต้องเชิญนางมาเป็นผู้ตัดสินใจ
“ขออภัยด้วยๆ ข้ามาสายแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ้มพลางลงจากเกี้ยวโดยการประคองของสาวใช้ พลางกล่าว “เดี๋ยวถึงวัดกันเฉวียนแล้ว ข้าขอเลี้ยงอาหารเจทุกคนเอง”
แล้วก็ไม่อธิบายว่าทำไมตนเองถึงมาสาย
ค่อนข้างมีความหยิ่งผยองในทำนองว่า ‘ข้าก็มาสายแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้’
ฮูหยินใหญ่เวิ่นจวนห้ามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันใด
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ว่าอะไร เพียงกล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “ก็ไม่นับว่าสายมากเท่าไหร่” แล้วก็สั่งสื่อมามาไปแจ้งรถม้าที่เฝ้าอยู่ที่ประตูสองให้เตรียมตัวออกเดินทาง
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่เวิ่นเต็มไปด้วยความผิดหวัง
โจวเสาจิ่นมองดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง
ที่แท้นางคาดหวังให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่าถังทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นในชาติก่อนนั้นสนใจเพียงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่เคยใส่ใจเรื่องที่อยู่นอกจวนสี่เลย คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าของแต่ละจวนในตระกูลเฉิงนั้นจะซับซ้อนและวุ่นวายเพียงนี้
สิ่งที่ทำให้นางต้องถอนหายใจออกมามากยิ่งขึ้นก็คือการได้เผชิญหน้ากับหยวนซื่อ ซึ่งเป็นการพบกันที่เรียบง่ายและสงบราบรื่นยิ่งนัก ทำให้นางเหมือนกับคนไร้เรี่ยวแรงที่ทุบกำปั้นลงบนปุยฝ้าย ทว่าก็อดไม่ได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เรื่องราวในอดีต ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ!
คนอื่นเขาไม่ได้มารับรู้ด้วย ฉะนั้นนางก็ควรจะลืมมันไปเสียถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นติดตามพี่สาวขึ้นรถม้า และเดินทางไปที่วัดเป็นหมู่คณะใหญ่ไปตลอดทั้งทาง
วัดกันเฉวียนตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองจินหลิง เป็นวัดขององค์ฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อน ต่อมาถูกเผาทำลายจากสงคราม และได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรัชกาลของไท่จงฮ่องเต้ กระเบื้องในห้องโถงหลักได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ไท่จงในขณะนั้น เป็นกระเบื้องกระจกสีเหลืองสว่างที่ห้องโถงเฉียนชิงใช้ไม่หมด เมื่อต้องแสงแดด จะสุกสว่างไปด้วยสีทองอร่ามและเขียวมรกต เป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง ไม่ช้าวัดกันเฉียนก็กลายมาเป็นวัดเซนที่ใหญ่เป็นลำดับหนึ่งของเมืองจินหลิง
เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนตระกูลเฉิงได้สั่งการให้แม่บ้านไปที่วัดเพื่อจัดเตรียมเรื่องเกี่ยวกับขึ้นธูปบูชาเอาไว้แล้ว รถม้าของตระกูลเฉิงจึงขับผ่านประตูวัดตรงไปจอดอยู่ที่ประตูใหญ่
พระเณรน้อยในวัดได้เปิดประตูด้านข้างเอาไว้แล้ว ไต้ซือซื่อฮุ่ย ท่านเจ้าอาวาสวัดนำพระอาวุโสหลายท่านจากหอจือเค่อมาต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู พาพวกนางไปขึ้นธูปไหว้พระที่ห้องโถงหลัก ดื่มชาอยู่ที่ห้องด้านข้าง จากนั้น ไต้ซือฟู่ซื่อจากหอจือเค่อนำพวกนางไปยังห้องโถงใหญ่ที่ไต้ซือซื่อฮุ่ยจะเทศนาพระธรรมด้วยตนเอง
ที่ห้องโถงใหญ่มีกลุ่มสตรีรออยู่ก่อนแล้ว พวกนาง ไม่ว่าจะสูงวัยหรืออ่อนวัยก็ล้วนแล้วแต่แต่งกายอย่างงดงาม มีท่าทีที่สงบนิ่งและไร้กังวล
เมื่อเห็นสตรีจากตระกูลเฉิงเดินเข้ามา มีสตรีหลายท่านทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างมองพวกนางแล้วพูดกระซิบกระซาบกัน แต่สตรีมากกว่าครึ่งกลับลุกขึ้นมากล่าวคำทักทายกับสตรีตระกูลเฉิง ในบรรดาคนเหล่านี้มีหญิงชราท่านหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของสตรีที่มีตำแหน่งสูงกว่ายศผิ่นขั้นหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นเป็นคนจากจวนขุนนางเหลียง
ดูจากท่าทางการสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว หยวนซื่อ และฮูหยินผู้เฒ่าถังแล้ว พวกนางน่าจะสนิทสนมกันพอสมควร
ไม่แปลกใจแล้วที่เมื่อชาติก่อนขุนนางเหลียงถึงมาเตือนตระกูลเฉิงได้!
โจวเสาจิ่นยังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกหลายคน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเคยพบกันมาก่อนในชาติที่แล้วหรือเคยพบกันก่อนที่นางจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ขณะที่นางติดตามอยู่ด้านหลังของพี่สาวนั้น กลับมีสายตาหนึ่งที่ราวกับคมมีดกรีดเข้ามา
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่โกรธจนซีดขาวของเฉิงเจีย
ไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองไปทำให้นางไม่พอใจตอนไหนกันแน่
โจวเสาจิ่นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เสียงระฆังดังขึ้น
ทุกคนต่างเงียบเสียงลง ต่างคนต่างกลับไปนั่งที่ของตน
โจวเสาจิ่นและพี่สาวนั่งเคียงกันอยู่ที่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ชาติก่อนนางเองก็มักจะไปฟังธรรมที่วัดโจวคังอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าวัดโจวคังจะไม่ใช่วัดเซนของราชวงศ์ ทว่าก็ไม่ขาดแคลนขุนนางหรือตระกูลชั้นสูง ตามความเห็นของนางแล้ว ไต้ซือซื่อฮุ่ยเทศนาพระธรรมได้ดีกว่าไต้ซือจิ้งคง ท่านเจ้าอาวาสวัดโจวคัง กล่าวคือ พระธรรมที่ไต้ซือจิ้งคงเทศนานั้นค่อนข้างเรียบง่ายและเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่พระธรรมที่ไต้ซือซื่อฮุ่ยเทศนานั้นค่อนข้างลึกซึ้งทว่าก็มีอารมณ์ขันมากกว่า ดึงดูดผู้คนได้มากยิ่ง ซึ่งนี่เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
นางมองสำรวจไปรอบด้าน ทุกคนต่างฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ซึ่งนี่อาจจะมีความเกี่ยวโยงกับเหตุที่ว่าสตรีไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กทางเหนือที่ได้เรียนหนังสือนั้นมีไม่มากนัก ขณะที่ทางใต้มีลูกหลานของตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาที่มากกว่า
โจวเสาจิ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ช้าก็จมเข้าไปอยู่ในคำเทศนาของไต้ซือซื่อฮุ่ย
มีคนมาดึงแขนเสื้อของนาง
นางหันศีรษะไป
ไม่รู้ว่าเฉิงเจียมานั่งอยู่ข้างๆ นางแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่
“เจ้าเป็นอะไรกันแน่” นางกล่าวเสียงเบา ในน้ำเสียงนั้นมีความขุ่นเคืองที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่ “ข้าไปหาเจ้า เจ้าก็มักจะปฏิเสธไม่ยอมออกมา ยามออกมาแล้วก็ไม่ยอมคุยกับข้า เป็นเพราะว่าเจ้าต้องช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมใช่หรือไม่ หากว่าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ คอยดูว่าต่อไปข้ายังจะเล่นกับเจ้าอยู่หรือไม่”
เป็นถ้อยคำข่มขู่ที่เต็มไปด้วยความเป็นเด็ก
เฉิงเจียที่เป็นเช่นนี้ ทำให้โจวเสาจิ่นเกลียดนางไม่ลง แต่นางก็ไม่อยากพูดกับเฉิงเจียมากไปกว่านี้ จึงกระซิบเสียงเบาว่า “เงียบเสีย ฟังพระอาจารย์เทศนาพระธรรมเถอะ!”
เฉิงเจียส่งเสียง ‘เฮอะ’ คำหนึ่ง และไม่ได้นำคำของโจวเสาจิ่นมาใส่ใจ เงยหน้าขึ้นทว่ากลับเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังจวนรองหันมาส่งสายตาเข้มงวดให้นางสายหนึ่ง
นางจำต้องกลืนคำที่ต้องการจะพูดลงไป
จนกระทั่งพระเทศนาธรรมจบแล้ว โจวเสาจิ่นสองพี่น้องและเฉิงเจียถูกฮูหยินหยวนเรียกไปแนะนำตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น
โจวเสาจิ่นเดาได้ถูกต้อง ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นคือ ฮูหยินผู้เฒ่าชวีซื่อ มารดาของขุนนางเหลียง
เพราะเป็นการพบกันครั้งแรก ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนขุนนางเหลียงจึงมอบแหวนฝังพลอยให้พวกนางคนละหนึ่งชิ้น จากนั้นถึงลุกขึ้นและบอกลา
ซื่อฮุ่ยกับฮูหยินหยวนและคนอื่นๆ ไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าชวีจนถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง มองดูจนรถม้าของจวนขุนนางเหลียงและคณะจากไปแล้วถึงเดินไปยังโถงทานอาหารของวัดกันเฉวียน
เพราะว่าในช่วงบ่ายจะมีการแสดงใหญ่และงานวัดจัดขึ้นภายในวัด ดังนั้นสตรีทั้งผู้ใหญ่และเด็กส่วนใหญ่จึงรั้งอยู่รับประทานอาหารเจอยู่ที่วัดเช่นเดียวกันกับคนตระกูลเฉิง
ที่วัดจัดเรือนที่มีสวนดอกไม้หลังหนึ่งให้ตระกูลเฉิง นอกจากจะมีสถานที่สำหรับทานอาหารแล้ว ยังมีห้องสำหรับพักผ่อนได้อีกหลายห้อง
แม่บ้านและบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิงได้มาทำความสะอาดเอาไว้ ระหว่างที่ฟังธรรมอยู่นั้นบรรดามามาแม่บ้านทั้งหลายของแต่ละจวนได้นำของใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายมาจัดวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทั่งทานอาหารเจเสร็จ ทุกคนพักผ่อนได้ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มีคนมาเยี่ยมเยียน
คนเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาของตระกูลชั้นสูงที่มีอิทธิพลในเมืองจินหลิง มีบางคนเป็นการพบกันครั้งแรก แต่บางคนก็เคยพบกันมาแล้วตอนงานเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ มีบางคนที่โจวเสาจิ่นจำได้ แต่บางคนโจวเสาจิ่นก็จำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ก็ได้รับของขวัญยามพบหน้ากันมาหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นแหวนทอง ปิ่นปักผมทอง และกำไลข้อมือเงินก็มี ถือเป็นโชคดีย่อมๆ อันหนึ่ง
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฆ้องทองแดงดังขึ้น ‘โมงๆ’
การแสดงใกล้จะเริ่มแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเฉิงเจีย แม้แต่ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็เงี่ยหูฟังอย่างอดไม่อยู่ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าไม่กี่ท่านที่ยังนั่งนิ่งได้ราวกับภูเขา ถึงกระนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ยังสั่งมามาข้างกายว่า “เจ้าออกไปเดินเป็นเพื่อนหลานเจียสักหน่อย แต่ว่าห้ามทำคนหายเป็นอันขาด”
มามาผู้นั้นรีบหัวเราะพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงเจียก็มาชวนโจวเสาจิ่น “พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ พลางกล่าว “ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านยาย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “พวกข้าหญิงชราหลายคนอยู่สนทนากันที่นี่ จะต้องการพวกเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนทำไมกัน พวกเจ้าเพียงสนใจออกไปเที่ยวเล่นเถอะ” ทั้งยังย้ำกับโจวชูจิ่นว่า “ดูแลน้องสาวของเจ้าให้ดี สองพี่น้องห้ามแยกจากกันเป็นอันขาด ระวังอย่าให้ถูกแก๊งลักพาตัวเด็กหลอกเอาไปได้”
โจวชูจิ่นหัวเราะพลางตอบรับคำ ท่าทางมีความอยากไปอยู่หลายส่วน
ที่แท้พี่สาวในวัยสิบแปดปีก็เป็นเช่นนี้
โจวเสาจิ่นหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้มีความคิดอยากไปเดินดูความรื่นเริงนี้
มากคนก็มากความ
ชาติก่อนตอนที่นางไปที่วัดโจวคังนั้นยังดึงดูดความสนใจของพวกหื่นกามเข้า ชาตินี้นางอยากจะใช้ชีวิตแต่ละวันไปอย่างเงียบสงบ ไม่อยากจะสร้างปมปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีกแล้วจริงๆ
“ข้าไม่อยากไปเจ้าค่ะ” นางยกคำพูดของฮูหยินใหญ่เวิ่นมาเป็นข้ออ้าง “ข้างนอกช่างวุ่นวายนัก ข้าเพียงฟังอยู่ที่นี่เช่นนี้ก็รู้สึกปวดหัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากต้องไปอยู่ที่นั่นด้วยตัวเองจริงๆ พวกท่านไปกันเถิดเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็อยากรั้งอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นปลอบนางว่า “หากว่าท่านพี่ต้องรั้งอยู่ด้วยเหตุนี้ เช่นนั้นข้าก็จำต้องไปด้วยแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่จะทนดูข้ารู้สึกไม่สบายได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ พลางกล่าว “เดี๋ยวนี้เจ้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้จักพูด รู้จักใช้คำพูดมาห้ามปรามข้าได้หมดแล้ว”
โจวเสาจิ่นตั้งใจแสร้งทำเสียงดัง หัวเราะพลางดันโจวชูจิ่นไปด้านนอก กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “ท่านป้าใหญ่ต้องดูแลพี่สาวของข้าให้ดีนะเจ้าคะ ทั้งสองคนต้องห้ามแยกจากกันเป็นอันขาด ระวังอย่าให้ถูกแก๊งลักพาตัวเด็กหลอกเอาไปได้เจ้าค่ะ”
นางมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม ทั้งยังท่าทางที่ไร้เดียงสา ทำให้สร้างความขบขันให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลายท่านหัวเราะดังลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ความอึดอัดเล็กน้อยที่เกิดจากการที่โจวเสาจิ่นปฏิเสธนั้นก็พลันมลายหายไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบผงกศีรษะ หยวนซื่อเองก็มองนางอีกหลายครั้ง
ทว่าโจวเสาจิ่นที่กำลังไปส่งโจวชูจิ่นที่ประตูนั้นกลับไม่ได้สังเกตเห็น