ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 24 ห้องเรียน
หลังจากกลับมาจากวัดกันเฉวียนแล้ว ทุกคนต่างเหนื่อยอ่อน โจวเสาจิ่นหลับลงทันทีที่ถึงเตียง หลับยาวจนถึงเช้า
นางไม่ได้หลับสนิทเช่นนี้มานานแล้ว!
โจวเสาจิ่นยืดตัวบิดขี้เกียจ เอนตัวนอนอยู่บนเตียงฟังเสียงนกร้องสักพัก แล้วค่อยลุกขึ้นจากเตียง
ไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ชุนหว่านก็ถือพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก ไปส่งโจวเสาจิ่นที่ห้องศึกษาจิ้งอัน
เฉิงเจียยังไม่มา
ห้องศึกษาจิ้งอันเหมือนกับเมื่อก่อน ห้องโล่งกั้นให้เป็นสี่ห้องด้วยฉากกั้นลั่วตี้จ้าว โต๊ะเขียนหนังสือของอาจารย์วางไว้ที่ห้องแรกทางฝั่งตะวันออก ด้านล่างวางเอาไว้ด้วยโต๊ะหนังสือเล็กๆ หลายตัว เก้าอี้มีเท้าแขนตัวหนึ่ง ชั้นวางของมีค่า กระถางธูปทองสามขา ทั้งสองด้านของอาจารย์ยังมีกลอนคู่ที่เขียนด้วยลายมือของท่านผู้นำตระกูลเฉิง เฉิงจื้อ ความว่า ‘กว่าร้อยปีแห่งการศึกษา อ่านตำรากว่าหมื่นเล่ม’ ติดเอาไว้
โจวเสาจิ่นยืนเงียบๆ ไม่พูดไม่จาสักพักใหญ่
ชุนหว่านตะโกนเรียกนางอย่างระมัดระวัง “คุณหนูรองเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นดึงสติกลับมา กลับเห็นสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง “คุณหนูรอง ท่านมาแล้ว!” กล่าวอีกว่า “ทำไมวันนี้ท่านมาแต่เช้าขนาดนี้เจ้าคะ ท่านอาจารย์กำลังรับมื้อเช้าอยู่ อีกสักครู่ถึงจะมาเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกคุ้นหน้าสาวใช้ผู้นี้ รู้ว่านางคือคนที่อยู่รับใช้เฉินต้าเหนียง เพียงแค่ไม่ได้เจอกันไม่นาน ทำอย่างไรนางก็นึกชื่อของสาวใช้ผู้นี้ไม่ออก
นางจึงเพียงยิ้ม พลางกล่าว “ไม่เป็นไร วันนี้ข้ามาแต่เช้าเอง เจ้าไม่ต้องใส่ใจข้า ข้าจะฝึกเขียนอักษรไปพลางๆ ก่อน”
สาวใช้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ช่วยนำชาไปแช่ในกาน้ำชาให้โจวเสาจิ่น
ชุนหว่านจัดวางพู่กันและหมึก โจวเสาจิ่นสงบใจลงแล้วเริ่มฝึกเขียนตัวอักษร
เขียนไปสองหน้ากระดาษใหญ่ เฉิงเจียก็มาถึง
“ทำไมเจ้าถึงไม่รอข้า” นางหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางราวกับอยากจะพังโต๊ะ
โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นมาได้ เมื่อก่อนนางจะรอเฉิงเจียอยู่ที่สะพานเสี่ยวหง ทางที่พวกนางต้องผ่านเพื่อมาที่ห้องศึกษาจิ้งอันนี้ทุกวัน
“ข้ารอเจ้าจนเกือบจะถึงหนึ่งเค่อแล้วเจ้าก็ยังไม่มา” เฉิงเจียโกรธจนหน้าแดงก่ำ กล่าว “หากไม่ใช่เพราะสาวใช้คนหนึ่งมาบอกข้าว่าเจ้ามาแต่เช้าแล้ว ข้าก็คงยังรออย่างโง่งมอยู่ที่นั่น!”
โจวเสาจิ่นตัดสินใจไม่ถกเถียงกับนาง กล่าว “เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ต่อไปเจ้าอย่ารอข้าอีก พวกเราต่างคนต่างมาที่ห้องศึกษาจิ้งอันดีกว่า จะได้ไม่ต้องรอกันไปมา ทำให้ต้องล่าช้าไปกับระหว่างทาง”
เฉิงเจียไม่ใช่คนหัวช้า ในทางกลับกัน นางเป็นคนเฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ตระกูลเฉิง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” นางเอ่ยถาม ทว่าในตาของนางกลับสับสนมากกว่า “ความหมายของเจ้าคือต้องการตัดความสัมพันธ์กับข้าอย่างนั้นหรือ”
ไม่ถึงขั้นกับต้องตัดความสัมพันธ์ เพียงไม่ต้องตัวติดกันอยู่ตลอดเวลาเหมือนอย่างเช่นเมื่อก่อนก็พอแล้ว
แต่ว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา โจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่จะสามารถทำร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจได้ นางจึงกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าต้องคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ซึ่งเป็น ‘ศูรางคมสูตร’ มีทั้งหมดสิบบท มีความหนาเท่านี้” นางทำท่าทางไปด้วยขณะกล่าว “วันไหนที่คัดเสร็จ วันนั้นถึงจะถือว่าเสร็จธุระแล้ว หลังจากนี้ ข้าไหนเลยจะมีเวลาว่างกัน วันนี้ข้าไม่ได้รอเจ้า ก็เลยมีเวลาเขียนได้สองหน้ากระดาษใหญ่!”
เฉิงเจียมองไปที่กระดาษสองแผ่นใหญ่บนโต๊ะเขียนหนังสือของโจวเสาจิ่น ผิดหวังราวกับลูกหนังที่ปราศจากลม แต่ฝีปากยังกล่าวอย่างไร้ความปรานีเช่นเดิมว่า “ถึงเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรจะบอกกับข้าสักคำ! ไม่บอกไม่กล่าวกันเช่นนี้จะให้คิดว่าอย่างไร”
“ต่อไปข้าจะบอกกับเจ้าเอาไว้” โจวเสาจิ่นกล่าวเพื่อตัดจบปัญหา ยังตัดสินใจใช้โอกาสนี้พูดในสิ่งที่ควรจะพูดกับเฉิงเจียให้กระจ่าง “จากนี้ไป ข้าไม่เพียงไม่อาจรอเจ้าเพื่อมาเข้าเรียนด้วยกันเท่านั้น ยังไม่อาจรอเจ้าเลิกเรียนพร้อมกันด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าหากมีความจำเป็น ให้ข้าไปรับมื้อเที่ยงที่เรือนของนาง คงไม่อาจปล่อยให้ผู้ใหญ่ต้องรอข้า จริงหรือไม่”
“เช่นนี้นี่เอง!” ใบหน้าของเฉิงเจียเต็มไปด้วยความหดหู่ กล่าว “เช่นนั้น ช่วงวันหยุดพวกเราเล่นด้วยกันได้หรือไม่”
“ย่อมไม่ได้จนกว่าจะคัดพระธรรมเสร็จ” โจวเสาจิ่นกล่าว “เรื่องต่อจากนี้รอให้คัดพระธรรมเสร็จก่อนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
เฉิงเจียเป็นคนกระฉับกระเฉง ยากนักที่จะมีเวลาว่าง หากไม่สนใจนางสักครึ่งปี ไม่แน่ว่านางคงไปมีเพื่อนใหม่คนอื่นแล้ว ถึงเวลานั้นทั้งสองคนก็คงจะห่างกันไปโดยปริยาย
โจวเสาจิ่นตกลงใจแน่แล้ว จึงหยิบกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่นใหญ่ แล้วเริ่มฝึกเขียนอักษร
เฉิงเจียเอียงศีรษะไปด้านข้างพลางมอง กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เสาจิ่น ข้าค้นพบว่าไม่เจอกันไม่กี่วัน ตัวหนังสือของเจ้าเขียนได้ดีขึ้นมากนัก!”
“อย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นตอบเอาใจนางพอเป็นพิธี
นางกลับไม่หยุด กล่าวต่อว่า “จริงๆ นะ! เจ้าดูเส้นตวัดซ้ายเส้นนี้ เมื่อก่อนเจ้ามักจะขี้กลัวไปหมด เขียนได้ครึ่งหนึ่งก็ล้มเลิกแล้ว ทว่าตอนนี้กลับเขียนเสร็จได้ในครั้งเดียว รู้สึกคล่องแคล่วและลื่นไหลขึ้นมากทีเดียว”
โจวเสาจิ่นหยุดมือลง พึมพำหัวเราะพลางกล่าว “อย่างนั้นหรือ”
“จริงๆ นะ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างตื่นเต้น “ยังมีจุดอันนี้อีก ที่เขียนจุดได้อย่างมั่นใจยิ่ง ทำให้คนดูแล้วรู้สึกได้ถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย” นางวิจารณ์เจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างๆ
มีเสียงอบอุ่นเสียงหนึ่งตัดเข้ามา “ไม่เลว ลายมือของเสาจิ่นพัฒนาขึ้นมากแล้ว”
ทั้งสองหันศีรษะกลับไป ก็เห็นเฉินต้าเหนียงที่เส้นผมแซมด้วยสีขาว สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวแกมน้ำเงินไร้ลวดลายตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง
“อาจารย์เฉิน!” ทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกัน ย่อเข่าทำความเคารพ
รอยยิ้มอ่อนโยนแสดงอยู่บนใบหน้าที่ผอมบางของเฉินต้าเหนียง นางกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ! พวกเรามาดูตัวอักษรที่เสาจิ่นเขียนกัน”
ชาติก่อน ความประทับใจที่นางมีต่อเฉินต้าเหนียงนั้นเลือนรางนัก
เดิมทีนางก็เป็นหญิงสาวมาจากตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมา เขียนตัวอักษรได้ดียิ่ง นางครองตัวเป็นหม้ายหลังเสียสามีไปตั้งแต่อายุยี่สิบปี แต่เมื่อตระกูลเดิมของเสื่อมอำนาจลง ครอบครัวฝั่งสามีก็เริ่มปฏิบัติไม่ดีกับนาง นางจึงสอนหนังสือให้กับนักเรียนหญิงของตระกูลใหญ่ๆ อยู่ที่จินหลิง หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นอาจารย์
ถึงแม้ว่าเฉินต้าเหนียงจะเป็นคนอารมณ์ดี ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยไม่มีวินัยกับพวกนาง มีครั้งหนึ่งที่เฉิงเซิงกล่าวขึ้นมา และสงสัยนางว่า ‘สิ่งที่นางเชื่ออาจจะเป็นลัทธิเต๋าก็เป็นได้’
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ข้างๆ นางอย่างเคารพ ขณะที่ฟังเฉินต้าเหนียงวิจารณ์ตัวอักษรของนางอยู่นั้น ก็อดไม่ได้คิดถึงเลี่ยวจางอิง ท่านป้าของพี่เขยขึ้นมา
นั่นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่วาสนาไม่ดี ประพฤติตนดีงาม มีความรู้ความสามารถ ทว่ากลับต้องมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดชีวิต
บทเรียนที่สอนในช่วงเช้าก็คือ ‘มารดาเมิ่งตัดไหมทอผ้า’ ในหนังสือ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ เนื่องจากว่าเคยเรียนมาแล้วครั้งหนึ่ง และโจวเสาจิ่นก็กำลังคิดถึงเรื่องที่ต้องไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวในช่วงบ่าย ทำให้ใจลอยไปบ้างอย่างช่วยไม่ได้
เฉินต้าเหนียงถามนางเสียงอ่อนหวานไปหลายคำถาม นางล้วนตอบถูกต้องทุกข้อ เฉินต้าเหนียงจึงปล่อยนางไว้คนเดียวไม่เคี่ยวเข็ญนางอีก ทำให้เฉิงเจียรู้สึกขุ่นเคืองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นรอจนกระทั่งหลังเลิกเรียน นางดึงโจวเสาจิ่นเอาไว้ถามว่า “เจ้าเชิญคนมาสอนเจ้าเป็นการส่วนตัวมาก่อนแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นเกรงว่านางที่เป็นเช่นนี้จะสร้างความรำคาญให้ตัวเอง จึงหลอกนางว่า “ข้าเรียนด้วยตัวเองอยู่ที่เรือนไปแล้วรอบหนึ่ง”
เฉิงเจียไม่เชื่อ กล่าวอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าต้องอ่านอย่างหนักทั้งกลางวันกลางคืนหรอกหรือ”
“ใช่!” โจวเสาจิ่นตอบ “ตอนนั้นไม่ใช่ว่าข้าไม่สบายหรอกหรือ และก็ไม่สามารถออกไปไหนได้ ก็เลยคิดว่าไม่สู้เอาเวลามาอ่านตำราสักสองสามรอบน่าจะดีกว่า”
เฉิงเจียบิดผ้าเช็ดหน้าไปมา ลังเลว่าควรจะเรียนตามโจวเสาจิ่นหรือไม่
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันเวลาไปเรือนหานปี้ซาน”
เฉิงเจียกลับไปที่เรือนหรูอี้ด้วยความหงุดหงิด
เจียงซื่อที่กำลังสั่งการให้บ่าวรับใช้เปลี่ยนผ้าม่านที่เรือนหรูอี้ เห็นเช่นนั้นก็รีบลูบหน้าผากของนาง แล้วกล่าวอย่างเอาใจว่า “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” เฉิงเจียเข้าไปยังห้องด้านใน กล่าว “เสาจิ่นไม่สบายไปไม่กี่วันกลับเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนอย่างไรอย่างนั้น พูดก็น้อยลง และไม่ค่อยมาที่เรือนหรูอี้แล้ว การเรียนก็ดีกว่าข้าไปมากแล้ว”
เห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้แล้ว หัวใจของเจียงซื่อก็บีบรัดแน่นขึ้นมา กอดบุตรสาวเอาไว้ในอกพลางกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะทำให้เจ้าเข้าไปที่เรือนหานปี้ซานให้จงได้”
เฉิงเจียขมวดคิ้วมุ่น “ที่นางไม่สนใจข้านั้นเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเจ้าคะ”
“ยังจะต้องพูดอีกหรือ” เจียงซื่อยิ้มเยาะ พลางกล่าว “นางก็เป็นเพียงบุตรสาวของเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่เท่านั้น จะสามารถพลิกแผ่นฟ้าได้เชียวหรือ!”
ไม่ใช่ว่าท่านแม่ปรารถนาให้พี่ชายสามารถสอบผ่านข้อสอบขุนนางได้หรอกหรือ
แล้วเหตุใดยามนี้ถึงดูถูกบิดาของโจวเสาจิ่นเช่นนี้
เฉิงเจียคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เรือนหรูอี้ เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียงแล้ว ก็เห็นอู้เอ๋อร์ บ่าวข้างกายของเฉิงเก้ากำลังนั่งดื่มน้ำถั่วเขียวอยู่ที่ใต้ชายคาห้องด้านข้างของนาง
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขาก็รีบวางถ้วยลง เดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง แล้วดึงกล่องสีดำระบายไว้ด้วยดอกกล้วยไม้สีขาวกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากอกยื่นส่งให้นาง “คุณหนูรอง ท่านกลับมาแล้ว! คุณชายใหญ่ได้ยินว่าท่านต้องคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงให้ข้าน้อยนำกล่องแท่งหมึกนี้มามอบให้ท่านขอรับ แจ้งว่าเป็นแท่งหมึกหลัวที่นายท่านผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้ให้ แข็งราวกับก้อนหิน ดำราวกับน้ำมันเคลือบสีดำ ให้ท่านใช้ตอนที่คัดลอกพระธรรมขอรับ”
มีหมึกที่ดีถึงจะเขียนอักษรงดงามออกมาได้
เพราะเป็นของที่นายท่านผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้ให้ นั่นก็เพื่อเอาไว้ให้พี่ชายเก้าใช้ยามออกว่าความต่างหาก!
นางจะกล้ารับเอาไว้ได้อย่างไร!
“ไม่ได้ เจ้านำกลับไปเถอะ” โจวเสาจิ่นไม่ยอมรับไว้ “หมึกสำหรับคัดลอกพระธรรมนั้นเรือนหานปี้ซานได้จัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว หากจะใช้อันนี้อีกก็เป็นการสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว”
“คุณชายใหญ่คาดเดาเอาไว้แล้วว่าคุณหนูรองต้องกล่าวเช่นนี้ขอรับ” อู้เอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าว “คุณชายใหญ่ของข้าน้อยกล่าวว่า แท่งหมึกนี้ไม่ได้เป็นการให้เปล่าขอรับ อยากจะขอแลกเปลี่ยนกับกระดาษเฉิงซินของท่านสักสองสามแผ่น บิดาของสหายของคุณชายใหญ่จะเฉลิมฉลองวันเกิด เชิญคุณชายใหญ่ไปทานอาหารในวันเกิดด้วย คุณชายใหญ่จึงอยากจะมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดขอรับ”
กระดาษเฉิงซินจากฮุยโจวนั้นแข็งแรงและขาวสะอาดราวหยก บางและเรียบเนียน สมกับที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งของชิ้นเอก ราคาสูงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก
ตอนวันขึ้นปีใหม่โจวเจิ้นส่งมาหนึ่งเตา [1] ให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้อง กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้พวกนางสองพี่น้องแบ่งกันคนละครึ่งเตา
หากว่าเป็นเมื่อก่อน โจวเสาจิ่นคงไม่เข้าใจเป็นแน่ แต่ว่าเมื่อมีประสบการณ์จากชาติก่อนแล้ว นางจึงเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง สตรีที่ต้องแต่งงานออกเรือนเช่นพวกนาง หากว่ามีสิ่งของเช่นนี้เป็นสินสอดทองหมั้น ย่อมมีเกียรติยิ่งกว่าการมีทองคำ เงิน ไข่มุก หรือหยกมากนัก
นี่เป็นหนึ่งในสินสอดที่บิดาจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกนาง
โจวเสาจิ่นส่งซือเซียงไปเปิด**บหยิบกระดาษ แต่ไม่ได้รับหมึกแท่งนั้นเอาไว้
อู้เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “หากว่าข้าน้อยนำกระดาษกลับไปเช่นนี้ คุณชายใหญ่จะไม่ถลกหนังศีรษะของข้าน้อยเอาหรือขอรับ”
พี่ชายเก้าปฏิบัติต่อผู้อื่นอ่อนโยนยิ่งนัก จะลงโทษอู้เอ๋อร์ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม คำพูดของอู้เอ๋อร์ก็ได้สะกิดใจโจวเสาจิ่น
เมื่อใดกันที่พี่ชายเก้าขาดแคลนกระดาษ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้นางเก็บแท่งหมึกเอาไว้อย่างสบายใจเท่านั้น หากว่านางยังจะยื้อยุดไปมาอีก ก็จะเป็นการทำให้พี่ชายเก้าเสียน้ำใจได้ ไม่สู้เก็บเอาไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสค่อยส่งกลับคืนไปในภายหลัง เรื่องที่ตนเองจะได้ใช้แท่งหมึกที่เขาส่งมาคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่นั้น หากนางไม่พูด พี่ชายเก้าจะทราบได้อย่างไร
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองเข้าท่าดี จึงรับแท่งหมึกมาด้วยยิ้มละไม และตอบแทนอู้เอ๋อร์ด้วยก้อนเงินสองก้อน ทั้งยังห่อขนมให้เขาอีกหลายห่อ แล้วค่อยให้ซือเซียงไปส่งเขาที่ประตู จากนั้นนางนำกล่องหมึกหลัวกล่องนั้นไปเก็บเอาไว้ใน**บด้วยตัวเอง
ขณะที่มองตัวล็อคทองแดงที่อยู่บน**บอยู่นั้น โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว ในชาติก่อน เพื่อเป็นการฆ่าเวลาในแต่ละวัน นางไม่เพียงเคยปักรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมและเคยปลูกโบตั๋นสองสีมาก่อนเท่านั้น ยังเคยทำแท่งหมึก เคยทำธูปสำหรับไหว้พระ และเคยทำน้ำอบ ทั้งหมดล้วนผ่านการปรับปรุงอย่างไม่หยุดหย่อนตามตำราที่มีมาแต่โบราณ สินค้าที่ขายในร้านค้าทั่วไปล้วนดีไม่เท่าของที่นางทำออกมาด้วยซ้ำ
หรือไม่นางก็ทำแท่งหมึกสักสองสามชิ้นมอบให้พี่ชายเก้าเป็นของขวัญ!
ต่อไปเมื่อมีเวลาว่างแล้ว ค่อยทำของอย่างอื่นมอบให้พี่สาว ท่านยาย ท่านป้า พี่ชายเก้าและพี่ชายอี้…ยังมีท่านพ่อ…มารดาเลี้ยง…จะดีหรือเลวก็ถือเป็นความตั้งใจดีของตัวเองครั้งหนึ่ง
——
[1] เตา หน่วยบอกจำนวนกระดาษ 100 แผ่น