ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 262 ได้พบ
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่กล้าถามผู้ใด
นางกลัวว่าการที่ตนไล่ไปสอบถามจะเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็นความผิดปกติของเฉิงฉือ อีกทั้งยังกลัวว่านี่จะเป็นแผนการของเฉิงฉือ แล้วการที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเก็บเงียบก็เพื่อให้เป็นไปตามแผนของเฉิงฉือ แต่นางกลับทำอะไรผลีผลามจนทำลายแผนการของเฉิงฉือจนเสียหายหมด
แต่จริงๆ แล้วจะเป็นสมมุติฐานแรกหรือหลังกันนะ?
หากมิได้เป็นอย่างที่นางคิด แล้วท่านน้าฉือเผชิญกับเรื่องอันตรายจริงๆ จะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นเป็นกังวลจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เห็นว่าพี่สาวใกล้จะกลับมาเยี่ยมบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเฉิงฉือเลย
ตอนนี้โจวเสาจิ่นร้อนรนใจมากจริงๆ
ที่ผ่านมาท่านน้าฉือไม่เคยผิดคำพูดในเรื่องที่เคยรับปากนางมาก่อน
เขาเคยบอกว่า หากนางไม่อยากรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรู เขาก็จะคิดหาวิธีทำให้ท่านยายยอมตกลงให้นางไปเมืองเป่าติ้ง
หลังจากพี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้านเสร็จเรียบร้อย เรื่องที่นางจะอยู่หรือจะไปก็ต้องกำหนดให้แน่นอนแล้ว
ท่านน้าฉือยังไม่รู้เรื่องที่นางเปลี่ยนใจ หากไม่รีบลงมือเสียแต่ตอนนี้ก็จะสายเกินไปแล้ว
เขาต้องเจอเรื่องอะไรแน่ๆ…ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นร้อนใจจนเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง คิดหน้าคิดหลังแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจจะไปดูที่เรือนหานปี้ซานสักหน่อย กล่าวคือ หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบเรื่องนี้ แต่ยังอยู่นิ่งดุจขุนเขาได้ ก็แสดงว่าท่านน้าฉือไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ทราบเรื่องนี้ ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต นางก็จะต้องร่วมมือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปตามหาท่านน้าฉือออกมาให้ได้
นางรีบเปลี่ยนชุดอย่างรีบร้อนแล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังมีแขก
โจวเสาจิ่นถามอย่างแปลกใจว่า “ใครหรือ”
หม่าเหน่ากระซิบบอกนางว่า “ฮูหยินกู้ที่เก้าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้น
ตระกูลกู้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ มิใช่ว่าฮูหยินกู้ที่เก้าควรจะเก็บตัวอยู่ในบ้านหรอกหรือ ต่อให้เป็นเพราะกู้ชิงเหอต้องการขอความช่วยเหลือจากเฉิงจิงเรื่องถูกเรียกตัวกลับไปรับราชการ แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลกู้กับตระกูลเฉิงแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ภรรยาของตัวเองมากระชับมิตรกับตระกูลเฉิงเช่นนี้เลยนี่นา หากไปตกอยู่ในสายตาของคนที่คอยจับตามองอยู่แล้วคงจะถูกมองว่าอกตัญญูเป็นแน่
หม่าเหน่าหันไปมองรอบๆ กดเสียงลงต่ำมากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่ามีคนของตระกูลกู้เสนอให้มีการแยกตระกูล ฮูหยินเก้าต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่ จึงมาขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้าพูดให้เจ้าค่ะ”
ตระกูลกู้เป็นตระกูลผู้มีการศึกษา ญาติสนิทมิตรสหายต่างให้ความเคารพ บุตรชายกตัญญูต่อมารดา สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียม ขนบของตระกูลก็เคร่งครัดยุติธรรม นับตั้งแต่กู้ชิงหงเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีความขัดแย้งเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแยกตระกูล
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นคงเป็นเรื่องอื้อฉาวแล้ว”
“ใครว่าไม่ใช่เจ้าคะ” หม่าเหน่าถอนหายใจกล่าว “ดูทีแล้วเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ปวดหัวไม่น้อย อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ คุณหนูรอง ท่านจะเข้าไปรอในห้องน้ำชาก่อนหรือว่าจะให้ข้าเข้าไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าตอนนี้เลยเจ้าคะ”
เรื่องที่นางต้องการคุยด้วยก็เป็นความลับเสียด้วย
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าไปรอในห้องน้ำชาก่อนดีกว่า!”
หม่าเหน่ายิ้มพลางเดินนำนางไปที่ห้องน้ำชา สั่งให้สาวใช้เด็กไปเอาหมอนอิงที่นางใช้เป็นประจำออกมาให้ ถามนางว่าจะดื่มชาอะไร จากนั้นไปชงชาและยกของว่างเข้ามาให้ด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า “จะให้เจ้าชงชามาให้ข้าด้วยตัวเองได้อย่างไร!”
หม่าเหน่ากล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองเป็นคนจิตใจดี ต่อให้สาวใช้เด็กทำได้ไม่ถูกใจท่าน ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไร ข้าเชิญท่านมาดื่มชาที่ห้องน้ำชาด้วยใจจริง แล้วจะปล่อยให้ท่านต้องอดทนอย่างถึงที่สุดได้อย่างไร!”
โจวเสาจิ่นกระดากอาย
หม่าเหน่าอยู่คุยสัพเพเหระกับนาง “…ท่านไม่ได้มาเรือนหานปี้ซานหลายวันแล้ว ท่านอยู่บ้านทำอะไรบ้างเจ้าคะ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามท่านมาตลอด แต่ทุกครั้งที่พบท่านท่านล้วนแล้วแต่กำลังวุ่นอยู่กับเรื่องของคุณหนูใหญ่ ข้าจึงยังไม่มีโอกาสถามสักที!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องอะไรหรือ เจ้าให้สาวใช้เด็กนำความไปถามข้าก็ได้”
“จะได้อย่างไรเจ้าคะ” หม่าเหน่าหน้าแดงเล็กน้อย “มิใช่ว่าก่อนปีใหม่ท่านมอบอั่งเปาให้พวกข้าคนละชิ้นหรือเจ้าคะ ข้าอยากถามว่าเชือกถักที่หุ้มอั่งเปานั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร ผู้ใดเป็นคนถัก ข้าอยากจะฝึกถักด้วยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจินหัวเราะออกมา
นั่นเป็นเชือกถักที่นางคิดค้นขึ้นมาเองยามไม่มีอะไรทำตอนอยู่ที่บ้านสวนต้าซิ่งในชาติก่อน ถักมานานแล้ว แต่ว่าใช้สะดวกและเหมาะมือกว่าเชือกถักแบบอื่นๆ
“ข้าถักเอง พวกสาวใช้ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เห็นว่ามันดูเหมือนดอกเหมย จึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘อีเจี่ยนเหมย’ หากเจ้ารู้สึกว่ามันสวย ข้าจะให้ชุนหว่านสอนเจ้า”
หม่าเหน่าดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นมาเติมน้ำชาให้โจวเสาจิ่นอีกหนึ่งจอก
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามาหานาง “แม่นางหมาเหน่า แม่นางปี้อวี้บอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งมาว่า ให้นำชุดจอกสุราไม้หวงหยางที่ห้องอักษรชุนจากในคลังเก็บอักษรติงชุดนั้นออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าจะมอบให้ฮูหยินกู้ที่เก้าเจ้าค่ะ”
หมาเหน่าหันมายิ้มให้โจวเสาจิ่นอย่างขอลุแก่โทษ
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด ข้ารอฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ได้”
หมาเหน่ากล่าว “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะบอกพวกสาวใช้เด็กเอาไว้ หากทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ามีความเคลื่อนไหวอะไรจะรีบมาบอกท่าน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ
หมาเหน่าออกไปจากห้องน้ำชาพร้อมกับสาวใช้เด็กที่มาแจ้งข่าวอย่างรีบร้อน
โจวเสาจิ่นั่งอยู่ในห้องน้ำชาเพียงลำพัง เริ่มคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย
ว่ากันตามหลักแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่มีความสามารถผู้หนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบว่าท่านน้าฉือหายตัวไป! ต่อให้ช่วงหนึ่งอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นเนื่องจากมีเรื่องอื่นให้ต้องทำจนยุ่งมากเกินไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น แม้แต่นางยังรู้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่รู้!
หรือว่าระหว่างเรื่องนี้ยังมีความลับอะไรอยู่อีก?
นางน่าจะมาถามฮูหยินผู้เฒ่าตั้งนานแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นมารดาของท่านน้าฉือ มีฮูหยินผู้เฒ่าช่วยตามหา ย่อมดีกว่านางลอบตามหาคนเดียวอย่างลับๆ
แต่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ทราบอะไรเลย นางควรจะทำอย่างไรดี
ท่านน้าฉือเคยย้ำกำชับกับนาง ให้นางห้ามเล่าเรื่องย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ของตัวเองให้ใครฟังเป็นอันขาด กระทั่งยังช่วยรักษาความลับนี้ให้นาง ท่านน้าฉือยังคิดข้ออ้างหนึ่งมาปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย
แต่นางไม่ได้มีความสามารถอย่างท่านน้าฉือนี่นา!
หากนางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับได้ นางจะไปอธิบายกับท่านน้าฉือว่าอย่างไรดี
เมื่อคิดถึงว่าด้วยเหตุนี้อาจทำให้ท่านน้าฉือต้องลำบากได้ ใจของโจวเสาจิ่นก็ปั่นป่วนกระวนกระวายประหนึ่งซ่อนลูกกระต่ายน้อยตัวหนึ่งเอาไว้ในอกก็ไม่ปาน
นางนั่งบิดนิ้วอยู่บนเก้าอี้เหมยกุยในห้องน้ำชา
ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกหนึ่งดังมาจากด้านนอก
เพียงแต่ว่าเสียงอึกทึกดังกล่าวดังขึ้นเพียงสั้นๆ ไม่นานโดยรอบก็กลับมาสงบดังเดิม
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หากเป็นยามปกติ โจวเสาจิ่นก็คงไม่ได้ใส่ใจ แต่วันนี้นางมีเรื่องหนักอึ้งอยู่ในใจ อีกทั้งยังกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะส่งแขกออกไปแล้วแต่สาวใช้เด็กลืมมาบอกนาง นางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เลิกผ้าม่านขึ้นออกจากห้องน้ำชาไป
ใครจะรู้ว่ามีคนผ่านมาทางห้องน้ำชาพอดี
นอกจากนี้ยังเป็นบุรุษที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง มีกลิ่นอ่อนๆ อยู่ตามร่างกาย กลิ่นหอมยิ่งนัก
ด้วยอารามตกใจ นางจึงหลบไม่ทัน จนเกือบจะชนเข้าใส่ร่างของคนผู้นั้นแล้ว
คนผู้นั้นเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน รีบถอยออกไปสองสามก้าว
คนทั้งสองเพ่งสายตามอง โจวเสาจิ่นร้องออกมาอย่างประหลาดใจและยินดีในคราวเดียวกันว่า “ท่านน้าฉือ!”
ราวกับว่าได้รับสมบัติล้ำค่าที่ทำสูญหายกลับคืนมาก็ไม่ปาน นางตื้นตันใจยิ่ง กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดออกไปข้างนอกแต่ท่านไม่บอกผู้ใดในบ้านเอาไว้เลย หลายวันมานี้ข้ากังวลใจจะแย่แล้วเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ
เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน รอยยิ้มสง่างาม แววตาสุกสกาว หากมิใช่ว่าหลายวันมานี้โจวเสาจิ่นหาเขาไม่พบมาโดยตลอด ดูจากท่าทางของเขาแล้วนางต้องคิดว่าเขาเพียงเดินไปยังลานด้านหน้ามาเท่านั้นเป็นแน่
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าเฉิงฉือเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร แต่ที่ผ่านมาตัวเองเป็นกังวลมาโดยตลอด โจวเสาจิ่นจึงมีความรู้สึกเศร้าเสียใจประเภทหนึ่งที่เหมือนกับเด็กน้อยยามได้รับความเจ็บปวดมาจากข้างนอกแล้วกลับมาเจอผู้ใหญ่ที่บ้านของตัวเองขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ น้ำตาของนางไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ท่านน้าฉือ เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมาเจ้าคะ! ข้าตามหาท่านมาตั้งหลายวันแล้ว…”
เฉิงฉือตะลึงงัน
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ปิดบังตำแหน่งแห่งที่อย่างพิถีพิถัน แต่คนที่ไม่ได้ใส่ใจย่อมไม่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นพยายามตามหาเขาอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของเฉิงฉือเผยความรู้สึกผิดออกมา กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ เรื่องที่เคยรับปากเจ้าเอาไว้ข้าย่อมไม่ลืม อีกห้าหกวันพี่สาวของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว ข้ายังจำได้! เจ้าวางใจเถิด รีบหยุดร้องไห้เสีย ระวังตาจะบวมอีก…”
เขาไม่พูดถ้อยคำพวกนี้ยังดีหน่อย แต่พอเขาพูดเช่นนี้แล้ว โจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้น
นางไม่ได้กลัวว่าเขาจะไม่กลับมาเพราะเรื่องต้องการไปเมืองเป่าติ้ง แต่นางกลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนกับเฉิงลี่ผู้เป็นนายท่านใหญ่ของจวนรองที่เสียชีวิตอยู่ข้างนอก เวลาผ่านไปตั้งนานกว่าจะมีคนไปพบ ตอนเสียชีวิตแม้แต่คนช่วยบรรจุร่างลงโลงสักคนก็ไม่มี…
โจวเสาจิ่นน้ำตาไหลหนักยิ่งขึ้น “คนในบ้านต่างไม่มีใครสังเกตเห็นว่าท่านหายตัวไป…ไหวซานก็ไม่มีข่าวคราวอะไร…ฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูเหมือนกับว่าไม่ทราบเรื่อง…อีกทั้งข้าเองก็ไม่กล้าไปถามผู้อื่น…กลัวว่าท่านจะมีเรื่องด่วนอะไรแล้วแอบออกไปอย่างเงียบๆ จึงต้องปกปิดคนที่ซอยจิ่วหรูเอาไว้…ทั้งยังกลัวว่าท่านจะพานพบกับอันตรายอะไรตอนอยู่ข้างนอก…ข้ากลัวแทบแย่ ท่านยังจะพูดเรื่องพวกนี้อยู่อีก…”
นางเช็ดน้ำตาไม่หยุด
อารมณ์ของเฉิงฉือซับซ้อน
มิใช่เพื่อเรื่องไปเมืองเป่าติ้งของตัวเอง แต่เพราะเป็นห่วงว่าเขาออกไปอย่างเงียบๆ แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…
กี่ปีแล้วที่ไม่มีคนคอยเป็นห่วงเขาเช่นนี้
เฉิงฉือเงียบไปครู่ใหญ่ ถึงได้ค่อยๆ เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ
“เสาจิ่น ไม่ต้องร้องแล้ว!” เขาเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “เจ้าดูสภาพของเจ้าสิ ดูเหมือนกับลูกแมวลายพร้อยที่ตกลงไปในบ่อโคลนตัวหนึ่งก็ไม่ปาน…”
หลายวันมานี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขากลับบอกว่านางดูเหมือนกับลูกแมวลายพร้อยที่ตกลงไปบ่อโคลนตัวหนึ่ง…
โจวเสาจิ่นอับอายจนแทบทนไม่ไหว
ท่านน้าฉือมาว่านางเช่นนี้ได้อย่างไร
ผู้ใดบ้างไม่อยากดูน่ารักงดงามต่อหน้าผู้อื่น
แต่นางกังวลใจมากถึงเพียงนี้ จะให้นางแสร้งทำเป็นว่าไม่เรื่องอะไรเกิดขึ้น นางก็ทำไม่ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตามในเมื่อท่านน้าฉือรู้สึกว่านางเหมือนลูกแมวลายพร้อยที่ตกลงไปในบ่อโคลนตัวหนึ่งไปแล้ว เช่นนั้นตรงนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องฝืนแสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไรกระมัง
โจวเสาจิ่นหันหน้าหนี เดินเข้าไปในห้องน้ำชา
เฉิงฉือมองผ้าม่านประตูที่สั่นไหว ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา
เจ้าเด็กคนนี้ ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่เขา
อย่างไรก็ตาม…เห็นแก่ที่นางเป็นห่วงเขามาก…ก็ช่างมันเถิดก็แล้วกัน!
เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตามเข้าไปในห้องน้ำชา
โจวเสาจิ่นฟุบหน้าลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าต่างในห้องน้ำชาสะอื้นไห้เบาๆ
“เสาจิ่นๆ!” เฉิงฉือเรียกนางสองครั้งอย่างเงอะงะ
โจวเสาจิ่นไม่สนใจเขา
เฉิงฉือยืนเงียบๆ อยู่ข้างกายนางครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น อย่าร้องอีกเลย ต่อไปเวลาข้าจะออกไปข้างนอกจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ก็ได้!”
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว
ท่านน้าฉือเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ออกไปข้างนอกจะมีเหตุผลอะไรต้องมารายงานสตรีกันเล่า!
โจวเสาจิ่นเติบโตมากับการอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ มาตั้งแต่เล็กๆ ที่สอนว่าอยู่บ้านให้เชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วให้เชื่อฟังสามี
ท่านน้าฉือคงมิใช่เข้าใจผิดคิดว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพื่อต้องการบังคับให้เขาตอบตกลงว่าต่อไปเวลาจะไปไหนก็ต้องมารายงานนางหรอกกระมัง
นางเงยหน้าขึ้นมาจากแขนครึ่งหน้าอย่างกระดากอาย กล่าวอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ไม่…ไม่ต้องเจ้าค่ะ ต่อไปท่านเพียงอย่าปล่อยให้ผู้อื่นหาตัวท่านไม่พบก็พอแล้ว…ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก…”
เฉิงฉือรู้สึกคล้ายกับจะหงายหลัง
ให้นางหาตัวเขาเจอได้ทุกเวลาน่าจะยุ่งยากกว่าให้บอกนางเวลาจะออกไปข้างนอกเสียอีก…แต่เมื่อเขามองดวงตาที่เปียกชื้นและปลายจมูกที่แดงก่ำของนางแล้ว คิดในใจว่า จะดีจะร้ายทั้งสองคนก็ถือว่าร่วมมือกันแล้ว ให้นางหาตัวเขาเจอได้ทุกเวลาก็เป็นเรื่องที่สมควร…เขาจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ พลางกล่าวว่า “ได้!”
………………………………………