ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 29 ตระกูลพาน
เฉิงเจียนั้นไม่กลัวฟ้าดิน ถ้าหากต้องการหากระดูกจากไข่ไก่ หาใครสักคนที่ทำให้นางหวาดกลัวได้ คนๆ นั้นไม่พ้นต้องเป็นพานชิงเสียแล้ว!
พานชิงกับเฉิงเจียเกิดปีเดียวกัน อายุน้อยกว่าเฉิงเจียเดือนหนึ่ง ในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบสี่ ซึ่งเป็นตอนที่พานชิงอายุได้สิบขวบปี นางติดตามเฉิงเสียนผู้เป็นมารดาที่กลับมาเยี่ยมบิดามารดามาที่จินหลิง เมื่อเปรียบเทียบกับพานชิงที่อ่อนโยน เคร่งขรึม และเฉลียวฉลาดแล้ว เฉิงเจียผู้มีชีวิตชีวาที่ชอบเล่นซนเสียงดังนั้นก็เปรียบได้เพียงกับลูกลิงที่ทั้งตัวคลุกไปด้วยดินโคลนตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ยิ่งพานชิงได้รับคำชื่นชมจากผู้ใหญ่ในตระกูลเฉิงมากเท่าไหร่ เฉิงเจียที่เป็นตัวเปรียบเทียบก็ยิ่งได้รับคำตำหนิจากพวกผู้ใหญ่ในตระกูลเฉิงมากเท่านั้น
นับจากนั้นเฉิงเจียก็จำพานชิงได้แม่น ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น นางยังคงหนักอกหนักใจอยู่ตลอด ยังคงพูดถึงพานชิงต่อหน้าโจวเสาจิ่นหลายประโยคอยู่บ่อยๆ
และการพบกันครั้งนี้ของเฉิงเจียและพานชิงยิ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนเป็นดังไฟกับน้ำ กล่าวคือ พานชิงที่อ่อนโยน เคร่งขรึม และมีน้ำใจนั้นทำให้เจียงซื่อ มารดาของเฉิงเจียเอาไปพูดกับเฉิงเจียหลายประโยคอยู่ทุกวันว่า ‘เจ้าดูชิงเอ๋อร์ ทำไมถึงได้เชื่อฟังและรู้ความขนาดนี้ เจ้าเป็นถึงพี่สาว จึงไม่อาจเรียนน้อยได้’ ด้วยเหตุนี้เฉิงเจียจึงแทงกลั่นแกล้งข้างหลังพานชิงไปไม่น้อย แต่พานชิงที่ดูเหมือนว่าอ่อนโยนนั้น กลับมีหัวใจชีเชี่ยวหลิงหลง เป็นหญิงสาวที่ฉลาดและมีเหตุผล เฉิงเจียไม่เพียงไม่สามารถทำให้พานชิงอับอายได้ ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้ตัวเองสลดหดหู่ราวกับมีเขม่าปกคลุมอยู่ทั่วทั้งศีรษะและใบหน้า จนเกือบถูกเจียงซื่อสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน
โจวเสาจิ่นในชาติก่อนก็เคยให้ความช่วยเหลือเฉิงเจียมาก่อน
โชคดีที่พานชิงเป็นคนที่ค่อนข้างมีความคิด คิดว่านางนั้นอายุยังน้อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ควรปฏิบัติกับนางอย่างไรก็ยังปฏิบัติกับนางอย่างนั้นอยู่เช่นเดิม ทำให้นางเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ด้วยเหตุผลนี้นางยังเกลี้ยกล่อมเฉิงเจียอยู่หลายครั้ง เฉิงเจียไม่เพียงไม่รับฟัง ยังคิดว่านางนั้นทรยศหักหลัง เพิกเฉยไม่สนใจนางเป็นระยะเวลานานอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งเฉิงเสียนพาบุตรชายหญิงทั้งคู่ออกจากตระกูลเฉิงกลับไปที่จวนของพานจื๋อ ทั้งสองคนถึงกลับมาดีกันดังเดิม
วันนี้เป็นวันที่สิบเอ็ดเดือนสี่ คำนวณวันเวลาแล้วพวกพานชิงก็น่าจะมาถึงแล้ว
ต่อจากนี้เกรงว่าเฉิงเจียคงจะไม่ค่อยมีเวลาได้สงบสุขแล้ว!
อย่างไรก็ตาม นางในชาตินี้ไม่อาจยืนอยู่ข้างเฉิงเจียอย่างไม่มีหลักการและเหตุผลเหมือนกับในชีวิตก่อนอีกอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเฉิงเจียเห็นว่าโจวเสาจิ่นไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ก็อดเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้อยู่หลายส่วน เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้เรื่องที่ท่านป้าของข้าจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้อย่างไร”
การเลื่อนตำแหน่งของพานจื๋อนั้นค่อนข้างกะทันหัน เฉิงเสียนตัดสินใจกลับบ้านเดิมเพื่ออวยพรวันเกิดแก่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองในนาทีสุดท้าย ตระกูลเฉิงจวนสามก็เพิ่งจะได้รับจดหมายแจ้งข่าวคืนเมื่อวานนี้เอง เนื่องจากหลายปีมานี้พานชิงมีชื่อเสียงดีงามในหมู่ญาติพี่น้องมากขึ้น อีกทั้งเฉิงเจียก็ถึงวัยต้องพูดเรื่องออกเรือนแล้ว เจียงซื่อที่กลัวว่าบุตรสาวจะเป็นเหมือนอย่างในปีนั้นอีก ที่เป็นฉากหลังให้พานชิงอย่างมึนๆ งงๆ โดยไม่รู้ตัว จึงเรียกเฉิงเจียมาเตือนรอบหนึ่งแม้เป็นในยามค่ำคืนก็ตาม เฉิงเจียถึงได้รู้ว่าพานชิงกำลังจะกลับมาอยู่ที่จินหลิงสักพักหนึ่ง
โจวเสาจิ่นย่อมไม่อาจบอกเฉิงเจียว่าตนเองนั้นมีชีวิตมาแล้วสองชาติภพ จำต้องกล่าวอย่างกำกวมไปว่า “เหมือนว่าข้าจะได้ยินใครสักคนเคยพูดเอาไว้ แต่ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว…พรุ่งนี้ก็เป็นงานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองแล้ว หากว่าพวกเขาไม่รีบกลับมาให้ทันวันนี้ ก็คงจะพลาดการอวยพรให้ท่านผู้นำตระกูลเสียแล้ว ข้าก็เลยคิดว่าวันนี้พวกเขาน่าจะกลับมาถึงประมาณแปดถึงเก้าในสิบส่วน”
เฉิงเจียไม่สงสัยเลยสักนิดก็ยอมรับข้อแก้ตัวของนางแล้ว
นางกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ไม่รู้ว่าตอนนี้พานชิงจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินท่านแม่ของข้าพูดว่านางไม่เพียงเชี่ยวชาญงานเย็บปักและทำอาหาร นอกจากนี้ยังคัดอักษรได้ดียิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นมองท่าทีของเฉิงเจียเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้น ในสมองก็ปรากฏภาพที่นางแอบนั่งร้องไห้เบาๆ อย่างข่มขื่นอยู่ใต้กำแพงดอกกุหลาบเรื้อยคนเดียวขึ้นมา
“นางมาที่ซอยจิ่วหรูเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่ตลอดไปไม่จากไปอีก เจ้ามีอะไรให้ต้องกังวลใจหรือ” คำปลอบโยนนี้ออกมาจากปากของโจวเสาจิ่นโดยไม่รู้ตัว “นอกจากนี้ พวกเราก็ไม่ใช่ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งยังไม่ใช่คนทำอาหาร ฉะนั้นงานเย็บปัก งานทำอาหาร จะเรียนให้ดีขนาดนั้นไปเพื่ออะไร”
เฉิงเจียราวกับดอกไม้ที่ได้รับการรดน้ำ ที่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทั้งตัว
“จริงด้วย!” นางปรบมือ “ทำไมข้าคิดไม่ถึงมาก่อน พวกเรานั้นไม่ใช่ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าและคนทำอาหาร จะเรียนให้ดีขนาดนั้นไปเพื่ออะไร” นางวิ่งมานั่งลงข้างๆ โจวเสาจิ่น จับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ยิ้มร่าพลางมองสำรวจโจวเสาจิ่นขึ้นลง “ข้าค้นพบว่าช่วงนี้อยู่ๆ เจ้าก็กลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาดขึ้นมา รีบบอกข้ามา ว่ามีเคล็ดลับอะไรใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ
ตนเองนั้นใช่ว่าไม่รู้จักนิสัยของเฉิงเจีย ทำไมยังหาเรื่องใส่ตัวไปยุ่งเรื่องของนาง?
“ข้าต้องฝึกคัดอักษรแล้ว!” นางผละจากเฉิงเจียแล้วขยับเอ้าอี้มีเท้าแขนไปข้างๆ “ข้าตัดสินใจแล้วว่าในทุกๆ เช้าจะฝึกคัดอักษรสามหน้ากระดาษแผ่นใหญ่ เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลา”
เฉิงเจียหัวเราะคิก ไปลูบศีรษะของนาง “ที่ข้าพูดว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ค่อยฉลาด เจ้าก็เลยโกรธใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นคร้านจะสนใจนาง
ช่วงนี้โจวเสาจิ่นล้วนไม่ให้ความสนใจนาง ไม่ง่ายนักกว่าเฉิงเจียจะหาโอกาสเช่นนี้ได้ จึงรังควานโจวเสาจิ่นไม่ยอมปล่อย
ถึงตอนที่โจวเสาจิ่นทนไม่ได้จนเกือบจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้วนั้น ก็พอดีกับที่มีเสียงกระแอมของเฉินต้าเหนียงดังมาจากประตูทางเข้า
เฉิงเจียรีบเดินไปนั่งที่ของตนเองอย่างเรียบร้อย โจวเสาจิ่นถึงได้เป็นอิสระจากเฉิงเจีย และเริ่มฝึกคัดอักษรอยู่เงียบๆ
จนกระทั่งเลิกเรียน นางรีบก้าวเท้าจากสามก้าวให้ยาวขึ้นเป็นสองก้าวออกไปจากห้องศึกษาจิ้งอัน โดยไม่สนใจเสียงของเฉิงเจียที่ตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง
เช่นเดียวกันกับชาติก่อน ยามที่โจวเสาจิ่นกลับถึงเรือนเจียซู่นั้น เฉิงเสียนนำบุตรชายพานจ้าวและบุตรสาวพานชิงเอาของฝากจากท้องถิ่นมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน โจวชูจิ่น เฉิงเก้า และเฉิงอี้ทั้งหมดล้วนอยู่กันพร้อมหน้า
นับตั้งแต่ครั้งนี้เป็นต้นไป โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้พบกับเฉิงเสียนและพี่น้องตระกูลพานอีก ความทรงจำของนางที่มีต่อสามแม่ลูกนี้จึงหยุดอยู่ที่เวลานี้
ถึงแม้ว่าจะเป็นการพบกันในอีกชาติภพ นางกลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร
โจวเสาจิ่นขยับขึ้นไปคารวะทำความเคารพทุกคน
เฉิงเสียนมีรูปร่างสูงเพรียว สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงลายดอกโบตั๋นสีเหลืองคนโทสีน้ำเงินไพลิน ประดับไว้ด้วยจี้ทองฝังหยกหยางจือรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม ใบหน้ารูปไข่ห่าน ดวงตาโต จมูกโด่งสูง ถึงแม้ว่าลมและฝ้าหมอกแห่งกาลเวลาจะทิ้งริ้วรอยเอาไว้ตรงหางตา ผิวที่ขาวเนียนละเอียดจะเต่งตึงน้อยลงไปหลายส่วน แต่ลมและฝ้าหมอกแห่งกาลเวลาก็ทำให้นางยิ่งสง่างามและดูเคร่งขรึม ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
พานชิงที่อยู่ข้างๆ นั้นสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อนลายกิ่งดอกไม้ตัวหนึ่ง หวีผมขึ้นเป็นมวยทรงขดหอยคู่หนึ่ง ประดับไว้ด้วยกำไลหยกหยางจือทั้งชิ้น มีรูปร่างสูงปานกลาง คิ้วเรียวยาวดวงตานกฟีนิกซ์ ส่วนพานจ้าวนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหังโจวสีม่วงอ่อนลายดอกทรงกลม จอนผมตัดแต่งเรียบร้อย หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางร่าเริง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือลักษณะท่าทางของทั้งสองพี่น้องล้วนคล้ายคลึงกันนัก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เฉิงเจียกลับมีหน้าตาคล้ายกับเฉิงเสียนมากกว่าเสียอีก
เฉิงเสียนดึงโจวเสาจิ่นให้ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ไม่ได้พบหลายปี เสาจิ่นยิ่งโตยิ่งงดงามขึ้นแล้ว นี่หากว่าไปพบกันที่อื่นเข้า ข้าคงจำไม่ได้แล้วเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ทะนุถนอมหลานสาวสองคนนี้มาโดยตลอด ได้ยินเช่นนั้นก็ยากจะปกปิดความยินดีเอาไว้ได้ แต่ก็ยิ้มด้วยท่าทีที่สุภาพพลางกล่าวอย่างแข็งขันว่า “ขอบคุณท่านสำหรับคำชม เด็กทั้งสองคนนี้ล้วนถือว่าเชื่อฟังและรู้ความ ทำให้เป็นที่รักใคร่”
“นี่ก็ถือเป็นวาสนาของท่านเจ้าค่ะ” เฉิงเสียนยิ้มประจบ จากนั้นพูดถึงเรื่องของผู้ใหญ่ขึ้นมา “ได้ยินมาว่าหยวนจิ้วจิ่วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอไปปกครองที่ผิงหยาง ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยเจ้าค่ะ”
นายท่านรองเฉิงหยวนจวนสี่และโจวเจิ้นผู้เป็นบิดาของโจวเสาจิ่นเข้าสอบในปีเดียวกัน แต่โจวเจิ้นสอบได้จิ้นซื่อลำดับที่สอง ส่วนเฉิงหยวนสอบได้ถงจิ้นซื่อขั้นสอง
ในเวลานั้นท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จวนรองได้ลาออกจากราชสำนักแล้ว จวนสี่จึงดำเนินตามเส้นสายของนายท่านเฉิงจิงจวนหลัก โดยโจวเจิ้นได้รับตำแหน่งเป็นนายอำเภอที่เมืองฝูเจี้ยน ส่วนเฉิงหยวนได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายอำเภอที่อี๋ซิงแห่งเจียงซี
การที่เฉิงหยวนสามารถได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นนายอำเภอด้วยวุฒิถงจิ้นซื่อนี้ ก็เหมือนกับอนุที่ได้รับเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นภรรยา ถือว่าได้ผ่านก้าวที่ยากลำบากที่สุดก้าวหนึ่งในเส้นทางราชสำนัก ทั้งยังมีการสนับสนุนจากเฉิงจิง เส้นทางในภายภาคหน้าก็คงจะราบรื่นแล้ว
“ยินดีด้วยเช่นเดียวกันๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “นายท่านของพวกเจ้าตอนนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอั้นฉาสื่อ ได้กลับจิงเฉิงอีกครั้ง หนึ่งในหกเจ้ากรมก็คงหนีไปไหนไม่พ้น บุตรเขยมีอนาคตที่รุ่งโรจน์แล้ว”
จากยศผิ่นขั้นสี่เจิ้งไปเป็นยศผิ่นขั้นสามฉง นั่นก็ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งหนึ่ง แต่พานจื๋อก็เป็นเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่มาเกือบสิบปีแล้ว
ผู้ใหญ่ในตระกูล ก็เป็นคนที่สงวนท่าทีมากที่สุดผู้หนึ่ง เฉิงเสียนเองจึงไม่ปิดบังความยินดีของตัวเอง ยิ้มพลางกล่าว “ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น ต้องยกย่องท่านลุงใหญ่ของเด็กๆ ที่ช่วยพูดให้นายท่านของพวกข้า ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ท่านลุงของเด็กๆ คงจะหมายถึงเฉิงจิง?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดตาม ไม่เหมือนกับชาติก่อนที่เอาแต่มองสำรวจพานชิงกับพานจ้าวอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่ตอนนี้ สายตาจดจ่ออยู่ตรงปลายจมูก จมูกจดจ่ออยู่ตรงหัวใจ ยืนอยู่ด้านหลังของพี่สาวอย่างสงบเสงี่ยม เงี่ยหูข้างหนึ่งฟังฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับเฉิงเสียนแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน
ต้นไม้ที่ปรารถนาจะอยู่อย่างเงียบๆ ทว่าลมกลับไม่ยอมหยุดพัด
ใครจะรู้ว่ามีสายตาสายหนึ่งกวาดผ่านที่ร่างของนางและหายไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นไม่รู้สึกตัว
แต่เพียงไม่นาน สายตานั้นก็ตกมาอยู่ที่ร่างของนางอีกครั้ง แล้วก็หายไป…จากนั้นก็ตกมาอยู่ที่ร่างของนางอีกครั้ง แล้วก็หายไป
โจวเสาจิ่นทนไม่ได้อีกมองกลับไป
กลับเห็นเป็นดวงตาเปล่งประกายของพานจ้าว
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
ชาติก่อน นางกับพานจ้าวเคยพบกันหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะเจอกันด้วยสาเหตุของผู้ใหญ่ก็เป็นการพบกันโดยไม่ตั้งใจด้วยสาเหตุของพานชิง แต่ไม่ว่าจะเป็นการเจอกันด้วยสาเหตุของผู้ใหญ่หรือโดยไม่ตั้งใจ พานจ้าวล้วนแสดงออกอย่างสุภาพและมีมารยาท และสายตาไม่ได้มองสอดส่องไปมาเช่นนี้
ทำไมในชาตินี้กลับแอบมองนางเช่นนี้นะ?
โจวเสาจิ่นเบิกตาโตขึ้น
พานจ้าวผินหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ผิวหน้าที่ขาวใสนั้นกลับแดงระเรื่อขึ้น
พานชิงเหลือบมองโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
ร่างสูงสง่าของเฉิงเก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้น สวมเอาไว้ด้วยชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลินลายก้อนเมฆทรงกลมตัวหนึ่ง คิ้วตั้งขึ้นดวงตาดุจดวงดารา ท่าทีเคร่งขรึม และดูเย็นชาเล็กน้อย
เขามองไปที่พานเส้าอย่างรอบคอบครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็ขยับขึ้นไปด้านหน้าไม่กี่ก้าวแล้วดึงโจวเสาจิ่นมาหลบอยู่ที่ด้านหลังของตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและเฉิงเสียนที่กำลังคุยกันอยู่นั้นอดไม่ได้หยุดบทสนทนาลง แล้วมองไปที่เฉิงเก้าพร้อมกัน
เฉิงเก้ามีสีหน้าสงบ กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ท่านย่า เวลาก็ไม่เช้าแล้ว รับมื้อเที่ยงกันก่อนแล้วท่านกับท่านป้าค่อยมาสนทนากันดีๆ ดีหรือไม่ขอรับ จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านป้ากับน้องชายจ้าวและน้องสาวชิงหิวด้วยขอรับ!”
“ดูข้าสิ มัวแต่สนใจจะพูดคุย จนลืมเรื่องนี้ไปได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มอย่างสารภาพผิดพลางดึงมือของเฉิงเสียนเอาไว้ “เดี๋ยวก็รั้งอยู่ทานข้าวกับข้าที่นี่เถอะ นานหลานปีแล้วที่ข้าไม่ได้เจอจ้าวเกอเอ๋อร์และชิงเจี่ยเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าจะมีวันได้เจอกันอีกหรือไม่”
“ดูท่านพูดเข้า” เฉิงเสียนรีบกล่าว “สุขภาพของท่านยังแข็งแรง ข้ายังวางแผนเอาไว้ว่าต่อไปจะอุ้มหลานกลับมาเยี่ยมท่าน มาขออั่งเปาจากท่านสักสองสามซอง! ท่านอย่าพูดเรื่องน่าหดหู่เช่นนี้เลยนะเจ้าคะ”
“ดีๆๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มร่าพลางกล่าว “ข้าจะเตรียมอั่งเปาซองโตๆ เอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ รอให้จ้าวเกอเอ๋อร์พาหลานสะใภ้และบุตรชายมาเยี่ยมข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพานจ้าวก็ดูอึดอัดเล็กน้อย ยังไม่ทันที่ทุกคนจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เฉิงเสียนก็เอ่ยขึ้นว่า “เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจรั้งอยู่ทานมื้อเที่ยงกับท่านที่นี่ได้เจ้าค่ะ อย่างแรกเลยก็คือพวกข้ายังไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนทางจวนห้าเลยเจ้าค่ะ นอกจากนี้ ตอนที่มาที่นี่ข้ารับปากท่านแม่เอาไว้ว่าจะกลับไปทานมื้อเที่ยงด้วย” ขณะที่กล่าว ก็ลอบหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ฝั่งที่ติดกับจวนห้าแล้วบุ้ยปากกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านก็ทราบ ท่านผู้นั้นชอบหาเรื่องด้วยเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด หากว่าข้ารั้งอยู่ทานข้าวกับท่านที่นี่ ไม่รู้ว่านางจะจัดการอย่างไรกับพวกข้าอีกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งพวกเจ้าเอาไว้แล้ว พวกเจ้าค่อยมาตอนเย็นก็แล้วกัน ข้าจะจัดมื้อเย็นต้อนรับพวกเจ้า”
“รอให้ผ่านงานเลี้ยงวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ!” เฉิงเสียนยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ถึงเวลานั้น ต่อให้ท่านไม่เชิญข้าก็จะมาขอสุราและน้ำชาสักถ้วยเองเจ้าค่ะ”
พรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดของเฉิงซวี่แล้ว และมันก็ไม่สะดวกที่จะเตรียมการจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นไปส่งเฉิงเสียนสามแม่ลูกออกจากเรือนเจียซู่ด้วยตัวเอง