ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 301 แข่งเรือ
ในน้ำมีเรือมังกรอยู่ทั้งหมดสี่ลำ โดยมือพายสวมเสื้อสีแดง สีเขียว สีขาว และสีดำ ซึ่งมาจากตระกูลหลิว ตระกูลหลู ตระกูลหวัง และตระกูลหลิ่ว ตระกูลหลิวที่เป็นหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลหลิวของจวนดอกเหมย หรือก็คือตระกูลพ่อตาของจูเผิงจวี่ผู้เป็นซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกง แล้วก็เป็นตระกูลบ้านสามีของคุณหนูสามตระกูลซุนนั่นเอง
หลั่งเย่ว์ที่สวมชุดเต้าเผาสีดำยืนอธิบายอยู่ข้างๆ อย่างคล่องแคล่วว่า “…กลุ่มถัดไปเป็นกลุ่มที่สอง มาจากตระกูลซุน ตระกูลเฉิน ตระกูลอู๋ และตระกูลเฉียน ตระกูลซุนนี้มีรองเจ้ากรมผู้หนึ่ง แล้วก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาของสะใภ้เจ็ดตระกูลหลิวนั่นเอง โดยจะมีทั้งหมดสิบสองกลุ่ม เรือลำที่เป็นผู้ชนะของแต่ละกลุ่มจะถูกแบ่งกลุ่มอีกครั้งเป็นสี่กลุ่มเพื่อเข้าแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ จากนั้นเรือลำที่ชนะของแต่ละกลุ่มก็จะได้เข้าไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ครั้งนี้ตระกูลเซินของรองเจ้าเมืองจินหลิงเซินชิงอวิ๋นก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่สี่ขอรับ”
จูจูถามเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ตระกูลซุนเข้าร่วมการแข่งขันด้วยได้อย่างไร ข้าจำได้ว่าบุตรชายหลานชายของตระกูลซุนมีไม่มากนี่นา!”
หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูเหมือนว่าจะเลือกบ่าวชายบางส่วนมาจากบ้านสวนขอรับ”
จูจูเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลนว่า “นี่เพราะต้องการแข่งให้รู้แพ้รู้ชนะกับตระกูลหลิวอย่างนั้นหรือ”
เรื่องของตระกูลหลิวกับตระกูลซุนนั้นดังกระฉ่อนจนเป็นที่ทราบกันทั่วทั้งเมืองจินหลิง
หลั่งเย่ว์ฉลาดที่จะไม่ตอบ แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ของพวกข้ายังเตรียมกล้องส่องทางไกลเอาไว้ให้ทุกคนด้วยขอรับ เพียงแต่ว่ามีเพียงหนึ่งกระบอกเท่านั้น คุณหนูทั้งหลายคงต้องผลัดกันใช้แล้วขอรับ”
กูที่สิบเจ็ดได้ยินแล้วก็กระโดดตัวโหยงขึ้นมาอย่างดีใจ กล่าวไม่หยุดว่า “รีบไปเอามาเถิดๆ เอามาให้พวกข้าดูสักหน่อย ข้ายังไม่เคยเห็นกล้องส่องทางไกลมาก่อนเลย เคยแต่ได้ยินแล้วก็เห็นจากในหนังสือมาก่อนเท่านั้น”
เฉิงเจียเองก็ส่งเสียงดังอยู่ตรงนั้นว่า “รีบไปเถิดๆ!”
คนอื่นๆ ต่างพากันเม้มปากกลั้นหัวเราะ
หลั่งเย่ว์ออกไปหยิบกล้องส่องทางไกล
จูจูกล่าวขึ้นอย่างปลื้มปีติว่า “ไม่แปลกใจที่พี่ชายใหญ่ของข้าจะเคารพนับถือนายท่านสี่ฉือ ของหายากขนาดนี้เขายังหามาครอบครองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนห้ามกระโตกกระตากออกไปอย่างเด็ดขาด ของสิ่งนี้เป็นของต้องห้ามของราชสำนัก” กล่าวอีกว่า “ต้องนับถือนายท่านสี่ฉือที่กล้าเอาออกมา หากเป็นบ้านข้า คงไม่กล้าอย่างแน่นอน”
คุณหนูของตระกูลกู้ต่างให้คำมั่นว่าจะไม่บอกผู้ใดเป็นอันขาด
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกำลังเป็นกังวลว่าเหตุใดคนของตระกูลกัวยังมาไม่ถึงอีก
ไม่นาน หลั่งเย่ว์ก็ถือกล่องๆ หนึ่งเดินเข้ามา
ทุกคนต่างล้อมวงเข้าไปดู
เป็นกล้องส่องทางไกลยาวหนึ่งฉื่อ ทองชุบด้านนอกแกะสลักรูปเสือสีดำ ฝังทับทิมขนาดเท่าไข่นกพิราบเอาไว้ด้วย เมื่อดึงออกมาจะมีความยาวเป็นสองฉื่อ
ทุกคนต่างล้อมวงกันดูราวกับกำลังดูของประหลาด
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมา รีบถามหลั่งเย่ว์ว่า “ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีหรือไม่”
ทุกคนต่างตกตะลึงงัน
หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ยืมมาทั้งหมดสามชิ้น ชิ้นหนึ่งให้พวกคุณหนูใช้ ชิ้นหนึ่งส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าทางด้านโน้น แล้วก็เก็บไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งชิ้น คุณหนูรองใช้ได้ตามสบาย ไม่มีขาดตกขอรับ”
โจวเสาจิ่นถึงได้พรูลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
จูจูกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ยังคงเป็นเสาจิ่นที่ละเอียดรอบคอบ พวกเราต่างเอาแต่ดีใจ จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทุกคนต่างเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ย่อมต้องรู้สึกประหลาดใจอยู่แล้ว!”
ทุกคนต่างเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ แล้วก็เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่นิยมการประจบสอพลอ จึงไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก แต่ในใจกลับรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นผู้นี้เป็นคนจริงใจ ควรค่าที่จะคบหาต่อไป
เสียงกลองข้างทะเลสาบดังขึ้น ทุกคนไปดูการแข่งเรือที่หน้าต่าง
เสียงกลองดังตึงตึง ฝีพายประหนึ่งล้อหมุน คลื่นสีขาวซ่านกระเซ็น เสียงโห่ร้องปรบมือดังเกรียวกราว
ข้างๆ ทะเลสาบโม่โฉวพลันคึกคักขึ้นมายิ่งกว่าตอนจัดงานวัดช่วงปีใหม่เสียอีก
โจวเสาจิ่นเองก็อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดเอาไว้แน่น หวาดหวั่นแทนเรือมังกรหลายลำนั้น
ไม่นาน ผลการแข่งขันก็ออกมา
เรือของตระกูลหลิวที่สวมชุดสีแดงเป็นผู้ชนะลำดับที่หนึ่ง
เรือของตระกูลหลิวไปพักผ่อนอยู่ข้างๆ รอการแข่งรอบรองชนะเลิศ ส่วนเรือลำอื่นๆ บ้างก็ถอนหายใจ บ้างก็ก้มหน้าก้มตาออกจากทะเลสาบโม่โฉวไป
กลุ่มที่สองตั้งแถวเข้ามา เริ่มเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน
ทุกคนอาศัยจังหวะว่างเว้นนี้ บ้างก็วิเคราะห์กันว่าใครจะเป็นผู้ชนะลำดับที่หนึ่ง บ้างก็หมุนกายไปซื้อเมล็ดแตงโมเมล็ดทานตะวัน บ้างก็ไปปั้นขนมน้ำตาลปั้นที่ร้านขายขนมน้ำตาลปั้น
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เองก็กลับมานั่งที่เช่นกัน พูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระในเมืองจินหลิงขึ้นมา
จูจูกลับดึงตัวโจวเสาจิ่นไปพร่ำบ่นอยู่ข้างๆ ว่า “พี่ชายข้าก็จริงๆ เลย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยอมเห็นด้วยกับการแต่งงานกับตระกูลหลิวในครั้งนี้ เกรงว่าคนทั้งเมืองจินหลิงคงหัวเราะเยาะเขากันหมดแล้ว นอกจากนี้พี่ชายข้ายังทำเสมือนกับการแต่งงานอย่างเป็นทางการในครั้งแรกอีกด้วย นอกจากจะทำทุกอย่างที่จำเป็นตามหลักสามหนังสือหกพิธีการแล้ว สินสอดสู่ขอก็ไม่น้อยอีกด้วย แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าก็ไม่ห้ามปรามเขา ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว!”
โจวเสาจิ่นเกลี้ยกล่อมนางว่า “เมื่อเข้าบ้านพวกเจ้ามาแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนของพวกเจ้า หน้าตาของพี่สะใภ้เจ้า ก็เสมือนกับหน้าตาของครอบครัวพวกเจ้า ในเมื่อตอนนี้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้ายังจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม ขอเพียงพี่ชายกับพี่สะใภ้ของเจ้ามีความสุขก็พอแล้ว!”
“ข้าเองก็ทราบเหตุผลดี” จูจูทำหน้ามุ่ยกล่าว “แต่ข้าก็ยังคงไม่สบายใจ ราวกับหายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น…”
ระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้น กลุ่มที่สองจะเริ่มการแข่งขันแล้ว
ทั้งสองคนจึงจบบทสนทนา ไปดูการแข่งเรือที่หน้าต่าง
เป็นเช่นนี้อยู่หลายกลุ่ม ความกระตือรือร้นของทุกคนก็มลายหายไป ค่อยๆ เปลี่ยนความสนใจมาที่การพูดคุย
โจวเสาจิ่นเป็นกังวลถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงบอกจูจูและคนอื่นๆ ให้ทราบแล้วก็ไปที่ห้องฝั่งตะวันออก
ที่ห้องฝั่งตะวันออกเงียบสงบกว่าห้องของพวกนาง ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายต่างนั่งสนทนากัน ไม่มีผู้ใดสนใจดูการแข่งขัน หน้าต่างที่เปิดกว้างเอาไว้มีเพียงเด็กสาวสองคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผลัดกันใช้กล้องส่องทางไกลมองไปข้างนอก
โจวเสาจิ่นเพ่งสายตามอง เป็นผู้ใดไปมิได้นอกเสียจากคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัว
นางประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “พวกนางมาถึงช้า แล้วก็มีนิสัยระวังตัวจนเกินเหตุ ข้าจึงให้พวกนางรั้งอยู่ทางด้านนี้”
โจวเสาจิ่นรีบเข้าไปคารวะคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัว กล่าวขออภัย แล้วก็ถามพวกนางว่าอยากจะไปกล่าวทักทายพวกจูจูหรือไม่
คุณหนูทั้งสองคนของตระกูลกัวเกรงใจเป็นอย่างมาก กล่าวกับนางอย่างอ่อนละมุนว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี จากนั้นหันไปมองนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัว
นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวพยักหน้าน้อยๆ คุณหนูกัวทั้งสองคนถึงได้ตามโจวเสาจิ่นไปที่ห้องฝั่งตะวันตก
ทุกคนต่างก็เสียงดังขึ้นมา ต่างคนต่างแนะนำและทำความเคารพซึ่งกันและกัน
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ว่าคุณหนูตระกูลกัวทั้งสองคนนั้นผู้หนึ่งเป็นคุณหนูลำดับที่หก อีกผู้หนึ่งเป็นลำดับที่เจ็ด ปีนี้ล้วนอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ต่างยังไม่ได้หมั้นหมาย
หลังจากที่ทุกคนทำความรู้จักจัดลำดับเรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวแล้ว กลุ่มที่สี่ก็เริ่มการแข่งขัน
เฉิงเจียวิ่งไปดูที่หน้าต่าง ยังตะโกนเรียกโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ด้วย “ดูกันเถิดว่าตระกูลเซินจะชนะหรือไม่”
คุณหนูทั้งสองคนของตระกูลกัวจึงลุกขึ้นกล่าวขอตัว บอกว่าผู้อาวุโสทางด้านโน้นไม่มีคนอยู่ดูแล
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเดินไปส่งคุณหนูกัวทั้งสองที่ห้องฝั่งตะวันออก แล้วก็อยู่คุยด้วยครู่หนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูแล้วใกล้จะเที่ยงแล้ว กว่ากลุ่มที่สิบสองจะแข่งเสร็จ แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็น่าจะใกล้ยามเว่ยชูแล้ว การแข่งขันที่น่าตื่นเต้นที่สุดจะเป็นรอบรองชนะเลิศกับรอบชิงชนะเลิศ ข้าว่าพวกเรารับประทานมื้อเที่ยงให้เร็วขึ้นสักหน่อยดีกว่า จะได้มานั่งชมดีๆ ว่าปีนี้ใครจะได้รางวัลชนะเลิศ”
ทุกคนต่างขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งสัญญาณให้โจวเสาจิ่นไปจัดการ
โจวเสาจิ่นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังให้เกียรตินางอยู่ จึงถอยออกไปยิ้มๆ เดินออกมาจากห้องฝั่งตะวันออกอย่างกระวนกระวาย
สื่อมามายืนรอนางอยู่ที่ห้องตรงกลางตั้งนานแล้ว
หยิบรายการอาหารมาให้นางแล้วกระซิบที่ข้างหูนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คุณหนูรองเพียงถือไปเป็นพิธีก็พอเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงหูแดงไปหมด กล่าวเสียงเบาว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ”
“มีอะไรไม่ได้กันเจ้าคะ” สื่อมามากล่าวยิ้มๆ อย่างใจดี “ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง ก็เป็นเพียงการสั่งการลงมาเท่านั้น! ถ้าหากว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องให้ท่านเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง เช่นนั้นมามาอย่างพวกข้านี้จะเลี้ยงเอาไว้เพื่ออันใดกัน คุณหนูรองอย่ามาแย่งชามข้าวของพวกข้าเลยเจ้าค่ะ!”
นางกล่าวเย้าแหย่ไปคำรบหนึ่ง ช่วยให้ความกระวนกระวายของโจวเสาจิ่นมลายหายไป
โจวเสาจิ่นจัดการส่วนหนึ่ง แล้วเอาไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดู “อีกครึ่งชั่วยามรับมื้อเที่ยง ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวที่นั่งอยู่ข้างๆ
นายหญิงผู้เฒ่าทั้งสองท่านพยักหน้า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นอีกครึ่งชั่วยามรับมื้อเที่ยงกัน”
โจวเสาจิ่นรายงานรายการอาหาร ถามนายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายว่าต้องการเพิ่มหรือลดอะไรหรือไม่
ทุกคนต่างบอกว่าจัดการได้ดีแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้ถอยออกมาอีกครั้ง หมุนกายเดินไปที่ห้องฝั่งตะวันตก กล่าวยิ้มๆ อย่างเสียงดังว่า “อีกครึ่งชั่วยามจะรับมื้อเที่ยง ตกลงหรือไม่”
“ดีๆ!” จูจูกล่าวยิ้มๆ “เตรียมอาหารอะไรเอาไว้บ้าง อากาศร้อนเช่นนี้ ทำอะไรที่เย็นๆ มากหน่อยถึงจะดี”
โจวเสาจิ่นยื่นรายการอาหารให้นางดู ทว่ากลับค้นพบว่าเฉิงเจียไม่อยู่ในนี้
นางใจเต้นตึกตัก รีบถามขึ้นว่า “พี่สาวเจียเล่า?”
กูที่สิบเจ็ดที่กำลังนั่งดูรายการอาหารกับจูจูอยู่กล่าวขึ้นอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “บอกว่าดื่มน้ำชามากไป ก็เลยอยากไปห้องทางการ”
โจวเสาจิ่นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นเฉิงเจียกลับมาเสียที
นางจึงใจเต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง กระซิบสั่งการชุนหว่านว่า “เจ้าไปหาคุณหนูเจียที่ห้องทางการหน่อย!”
ชุนหว่านถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นาน เฉิงเจียก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเล็กน้อยโดยมีชุนหว่านช่วยประคองตามมาด้วย
“ขออภัย!” นางไม่รอให้คนในห้องเอ่ยปากถามก็กล่าวขอโทษออกมาก่อน “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง ทุกคนอย่าสนใจข้าเลย”
กูที่สิบเจ็ดเข้าไปสอบถามอาการของนางอย่างเอาใจใส่ เมื่อเห็นว่านางไม่ได้เป็นอะไรหนัก ถึงได้ออกไปรับมื้อเที่ยงที่ห้องตรงกลาง
โจวเสาจิ่นกลับแอบมองอยู่ข้างๆ ไม่หยุด
รู้สึกว่าเฉิงเจียไม่ใช่คนที่เจ็บป่วยง่ายขนาดนั้น
หลังจากรับประทานมื้อกลางวัน และพักผ่อนกันครู่หนึ่งแล้ว การแข่งขันรอบรองชนะเลิศก็เริ่มขึ้น
ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ทยอยเดินไปที่หน้าต่างเพื่อชมการแข่งขัน แม้แต่คุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัว หลังจากที่ได้ร่วมรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันแล้ว พวกนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นานๆ ทียังกล่าวล้อเล่นกับพวกนางสองสามประโยคอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นความตั้งใจของนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลกัวให้พวกนางมาดูการแข่งขันพร้อมกันกับพวกนางที่ห้องฝั่งนี้
เฉิงเจียกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่าตนรู้สึกไม่สบายท้อง ต้องการไปห้องทางการ
โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปเป็นเพื่อนนาง
เฉิงเจียไม่เกรงใจ จับแขนของชุนหว่านเอาไว้แล้วเดินออกไป
จูจูและคนอื่นๆ ต่างกำลังดูการแข่งขันกันอย่างลุ้นระทึก จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
กระทั่งการแข่งขันจบไปหนึ่งกลุ่มแล้ว ทุกคนหันหน้ากลับมา ถึงได้ถามถึงเฉิงเจียพร้อมกัน
โจวเสาจิ่นกล่าวอธิบายแทนนางว่า “…ไปห้องทางการแล้ว!”
ทุกคนไม่ถามอะไรอีก กลับไปสนใจการแข่งเรือต่อ
แต่แข่งไปได้หนึ่งรอบแล้ว เฉิงเจียก็ยังไม่ออกมา
โจวเสาจิ่นกำลังคิดจะส่งสัญญาณให้ปี้เถาไปดูสักหน่อย ชุนหว่านกลับวิ่งเข้าด้วยสีหน้าแตกตื่น
นางกระซิบที่ข้างหูโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเจียหายตัวไป!”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก ทว่าก็มีความรู้สึกโล่งประหนึ่งได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งทำนองว่าในที่สุดเรื่องราวก็เกิดขึ้นจนได้
“ชุ่ยหวนเล่า?” นางถาม
“ก็ไม่เจอเหมือนกันเจ้าค่ะ” ชุนหว่านกล่าว ทั้งร้อนใจและหวาดกลัว จนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว “ข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องทางการตลอด กระทั่งตอนที่ข้ารู้สึกว่าไม่ปรกติแล้วจึงขอเข้าไปดู ปรากฏว่าหน้าต่างเปิดอ้าเอาไว้ ข้าตามออกไป แต่ก็หาไม่เจอแล้วเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง
หรือว่าพี่สาวเจียกับหลี่จิ้งจะลักลอบหนีตามกันไป?
นางคาดคะเนความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด จากนั้นสั่งชุนหว่านเสียงเรียบว่า “อย่าเพิ่งเปิดเผยออกไป เจ้ารีบไปหาท่านน้าฉือ เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง”
ชุนหว่านรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
จูจูเดินเข้ามา กระซิบถามเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “พี่สาวเจียหายตัวไป! ข้าให้คนไปตามหาแล้วเจ้าค่ะ”
จูจูตกใจเป็นอย่างมาก มองคนที่อยู่กันเต็มห้อง กล่าวขึ้นว่า “อย่าเพิ่งเปิดเผยออกไป รอบๆ หอชิงเยียนมีองครักษ์ลับของจวนเหลียงกั๋วกงเฝ้าอยู่ ไม่มีทางที่นางจะถูกล่อลวงหรือถูกลักพาตัวไปได้แน่ ประเดี๋ยวข้าจะหาวิธีเอากล้องส่องทางไกลมาให้เจ้า เจ้าลองมองหารอบๆ ดู เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป นางน่าจะยังไปได้ไม่ไกลนัก”