ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 31 ต่งซื่อ
หาไม่เจอแล้วอะไรกัน แอบขโมยเอาไปขายแล้วเสียมากกว่า!
ทุกคนต่างรู้แน่อยู่แก่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอดส่ายศีรษะและถอนใจไม่ได้ พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกข้าเถอะ!
ต่งซื่อยิ้มเจื่อนพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับพวกนาง
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกระแวดระวังอยู่ในใจ
ชาติก่อน นายท่านใหญ่เวิ่นและฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้าเป็นผู้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายจริงๆ ทว่ากลับไม่ได้ยินว่าทำของอะไรหาย นอกจากนี้ ต่งซื่อกับหยางซื่อ ฮูหยินใหญ่อวี้จากจวนห้าสายรอง ก็มาถึงเรือนซื่ออี๋พร้อมกันกับฮูหยินใหญ่เวิ่น
ชีวิตนี้กลับแตกต่างออกไป!
ชาติก่อนตอนที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับโจวเสาจิ่นนั้น ต่งซื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อนางอย่างมีน้ำใจ เอาใจใส่อย่างกระตือรือร้นราวกับผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันมาโดยตลอดนั้นกลับไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย ในตอนนั้นนางจึงเข้าใจความจริงข้อหนึ่งที่ว่า มารดากับบุตรชายอย่างไรก็คือมารดากับบุตรชาย ไม่ว่ายามปกติจะดูมีเมตตาและใจดีขนาดไหนก็ตาม วันหนึ่งยามที่ต้องตัดสินใจเลือก ก็ย่อมต้องเข้าข้างบุตรชายและยืนอยู่ข้างเดียวกันกับบุตรชายอย่างไม่มีข้อแม้
นับตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตอีกครั้งในชาตินี้ ก็ไม่ให้ความสนใจกับเฉิงลู่อีก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าต่งซื่อจะมาด้วยเรื่องของบุตรชาย?
ชาติก่อน ต่งซื่อเคยพูดเป็นสัญญาณบอกใบ้ทำนองว่าครอบครัวของนางต้องการสู่ขอนางให้เฉิงลู่อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่บิดาของนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเมืองเป่าติ้งแล้ว ความตั้งใจที่อยากจะดองกับตระกูลโจวก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ไม่เช่นนั้นท่านยายกับท่านป้าใหญ่จะเข้าใจผิดได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นลอบให้ความสนใจอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่ต่งซื่อทักทายกับท่านป้าใหญ่ไปหลายประโยคแล้ว ก็มาพูดกับนางอย่างสนิทสนมว่า “เสาจิ่น หลายวันก่อนได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย ป้าคิดจะมาเยี่ยมเจ้า ต่อมากลับได้ยินว่าเจ้าหายดีแล้ว และกำลังช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมอยู่…ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานได้ ร่างกายของเจ้ารับไหวหรือไม่”
การที่ต่งซื่อปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษเช่นนี้นั้นไม่ใช่แค่วันหรือสองวันนี้ เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดว่าพวกเด็กๆ อายุยังน้อย บ้านใดมีบุตรสาวย่อมมีร้อยครอบครัวมาสู่ขอ หากว่าโจวเสาจิ่นสามารถได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ก็ไม่อาจเป็นเรื่องที่ไม่ดีได้ แต่ว่าตอนนี้โจวเสาจิ่นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่พูดช้าและหัวอ่อนอีกแล้ว ไม่เพียงไปมาหาสู่นางอยู่บ่อยๆ ยังรู้จักอยู่สนทนาเป็นเพื่อนนาง เย้าแหย่ให้นางมีความสุข กระทั่งได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย ต่อไปเมื่อถึงเวลาพูดเรื่องแต่งงานให้นาง ก็คงจะง่ายกว่าเมื่อก่อนอย่างมากเป็นแน่แล้ว
เมื่อก่อนครอบครัวของเฉิงไป่ก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ และในอนาคต…เกรงว่าจะยิ่งไม่เพียงพอให้พิจารณาได้อีก
แต่เฉิงลู่ เด็กคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว นิสัยของต่งซื่อก็เข้าท่า เด็กทั้งสองคนยังเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน ถึงแม้ว่าการแต่งงานนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการของบิดามารดาและการเจรจาผ่านพ่อสื่อแม่สื่อ แต่คนที่เป็นบิดามารดา ใครบ้างจะไม่ปรารถนาให้บุตรชายหญิงมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข สงบและราบรื่น?
คู่แต่งงานที่ผูกใจรักกันมาตั้งแต่เด็กย่อมดีกว่าคู่ที่แต่งงานเพราะถูกคลุมถุงชน
ในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็ยังต้องดูความนึกคิดของเสาจิ่นเจ้าเด็กคนนี้ด้วยถึงจะถูก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดพลางหันไปมองโจวเสาจิ่น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับแม่สามีคิดไปในทางเดียวกัน จึงหันไปมองโจวเสาจิ่นด้วยเช่นกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
โจวชูจิ่นที่ใส่ใจน้องสาวอยู่ตลอดเวลานั้นก็หันศีรษะไปมองน้องสาวด้วย
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
ถึงแม้จะมีชีวิตมาแล้วสองภพชาติ โจวเสาจิ่นก็ยังไม่ชินกับการต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเช่นนี้
นางรู้สึกไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ไม่ช้านางก็สามารถเอาชนะความอึดอัดนี้ไปได้ ยิ้มน้อยๆ อย่างสบายๆ และเป็นธรรมชาติพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้เป็นเพียงไข้ขวัดเท่านั้น ทานยาที่โจวเหนียงจื่อให้มาสองเทียบก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ บังเอิญว่าตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเยี่ยมท่านยาย เห็นข้ากำลังช่วยท่านยายคัดลอกพระธรรมอยู่ ก็เลยให้ข้าช่วยนางคัดลอกพระธรรมด้วยเล่มหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วๆ” ต่งซื่อได้ยินเช่นนั้นก็แสดงท่าทียินดีออกมา พลางกล่าว “ร่างกายยังรับไหวก็ดีแล้ว เมื่อวานข้ายังคุยกับต่งมามาว่าให้ตุ๋นรังนกมาให้เจ้าบำรุงร่างกายสักหน่อย!”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นใช้คำที่นุ่มนวลสละสลวยทว่าน้ำเสียงกลับมั่นคงตอบปฏิเสธไปว่า “ข้าอายุยังน้อยนัก ยังไม่จำเป็นต้องทานรังนกเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวน “อย่างที่ท่านยายมักจะสั่งสอนและชี้แนะอยู่เสมอว่า ยามว่างให้เดินให้มาก ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ ได้ยินแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด พลางกล่าว “เป็นยาที่มีพิษอยู่สามส่วน สำหรับพวกเด็กๆ แล้วควรจะทานของบำรุงให้น้อย แล้วขยับร่างกายให้มากถึงจะดี”
ต่งซื่อทำหน้าเจื่อน กล่าวด้วยรอยยิ้มขัดเขินเล็กน้อยว่า “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ! เป็นป้าเช่นข้าเองที่เป็นห่วงเด็กมากเกินไป ท่านดูเสาจิ่นสิเจ้าคะ ราวกับว่าถ้าลมแรงหน่อยก็พัดให้ปลิวไปได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น ข้าเห็นแล้วก็อดที่จะบำรุงให้เด็กคนนี้สักหน่อยไม่ได้เสียทุกครั้งไปเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้หากไม่คิดมากก็ไม่มีอะไร ถ้าคิดมากก็ไม่ใช่กล่าวหาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้นต่างก็ไม่ได้ดูแลนางให้ดีหรอกหรือ
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างก็อดไม่ได้ลอบขมวดคิ้วมุ่น โจวเสาจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ เปลี่ยนความเงียบก่อนหน้า แทรกตัวเข้ามาด้านหน้าของโจวชูจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ลักษณะโดยธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกันเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านดูข้า ถึงแม้ว่าจะผอมบาง ทว่าโตมาขนาดนี้กลับมีน้อยครั้งมากที่จะป่วยไข้ ตรงกันข้ามกับท่านป้าใหญ่เวิ่น ที่ทานของบำรุงไม่ได้ขาด ทว่าไม่ป่วยวันนี้ก็ป่วยเมื่อวาน เห็นได้ชัดว่าสุขภาพจะดีหรือไม่ดีนั้น มีความเกี่ยวข้องกับอาหารที่กินและดื่มไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วยเจ้าค่ะ!”
หากว่าเป็นผู้อื่นกล่าวคำพูดนี้ ก็คงจะค่อนข้างเอนเอียงไปในความหมายที่ว่าต้องการเหน็บแนมฮูหยินใหญ่เวิ่น แต่นางนั้นอายุยังน้อย ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดกับคนที่อ่อยวัยกว่าตนว่าผู้ใหญ่นั้นไม่ผิด และท่าทีของนางก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง จึงมองเพียงว่านางนั้นไม่รู้เรื่องของจวนห้า ในครั้งนี้จึงไม่มีใครคิดว่านางเหน็บแนมฮูหยินใหญ่เวิ่น
โจวเสาจิ่นไม่รอให้ต่งซื่อได้พูด ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันข้าได้ยินมาว่า ท่านสั่งทำยาสมุนไพรบำรุงร่างกายที่โรงหมอตระกูลโจวไปสองร้อยเม็ด หมู่นี้สุขภาพดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ”
ความหมายภายใต้คำพูดนั้นก็คือ ต่งซื่อ เจ้าก็ดูใบหน้ามีเลือดฝาดสุขภาพดี ก็ต้องทานยาบำรุงด้วยเช่นกัน
สายตาของทุกคนตกไปอยู่บนร่างที่ค่อนข้างสมบูรณ์ของต่งซื่ออย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าของต่งซื่อแดงเรื่อขึ้น อยากจะต่อว่าโจวเสาจิ่นสักสองสามประโยค แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจไร้เดียงสา จำต้องกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากนั้นแล้วลงไป ยิ้มแห้งไปสองทีแล้วกล่าวว่า “ยาบำรุงร่างกายนั่นข้าสั่งให้พี่ชายลู่ต่างหาก เจ้าก็ทราบ พี่ชายลู่ของเจ้าต้องลงสนามสอบเดือนหกนี้แล้ว ข้าก็แค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น!” ขณะที่กล่าวก็ถอนหายใจยาวไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงปลอบใจนางว่า “ลู่เกอเอ๋อร์นั้นมีความรู้ดี เป็นที่ยอมรับกันในสำนักศึกษา หากว่าแม้แต่เขายังไม่สามารถผ่านได้ คนอื่นก็ยิ่งหมดหวังแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”
จากนั้นทั้งสองก็พูดถึงเรื่องการสอบระดับฝู่ซื่อขึ้นมา โยนเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้ทิ้งไป
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับไม่ลืม นางหันไปยิ้มให้โจวเสาจิ่น
โจวชูจิ่นแอบกล่าวชมเชยน้องสาวว่า “ทำได้ดี! เจ้าต้องไม่ลืมว่า จวนสี่คือญาติที่สนิทที่สุดของพวกเรา ต่อให้กระดูกหักขาดจากกันแล้วก็ยังเชื่อมต่อกันด้วยเส้นเอ็นอยู่ ต้องไม่ยอมให้คนนอกมากล่าวโจมตีได้”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า อดคิดถึงที่ผ่านมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าตนเองในชาติก่อนเคยทำเรื่องอะไรยุ่งยากออกมาแล้วทำให้ท่านยาย ท่านป้าใหญ่ และพี่สาวต้องปวดใจหรือไม่
เรือนซื่ออี๋ตั้งอยู่บนเส้นแกนกลางของซอยจิ่วหรู ด้านหน้าสุดเป็นโถงหลักของตระกูลเฉิง เรียกว่า ‘เรือนเซิ่นเต๋อ’ นอกจากวันส่งท้ายปี วันขึ้นปีใหม่ รับราชโองการ บุตรหลานสอบผ่านราชสำนักหรือได้รับเลื่อนตำแหน่ง มีเจ้าหน้าที่ของทางการมาด้วยตนเอง และบุตรชายของหัวหน้าจวนแต่งงานแล้ว ก็ไม่ค่อยได้เปิดใช้งานนัก ด้านซ้ายของ ‘เรือนเซิ่นเต๋อ’ คือ ‘ศาลาชุนเจ๋อ’ ที่มักจะใช้สำหรับต้อนรับแขก ตรงข้ามกับ ‘ศาลาชุนเจ๋อ’ เป็นสวนดอกไม้สวนหนึ่งเรียกว่า ‘สวนเหวินมู่ซีเซียง’ ก็เป็นที่สำหรับต้อนรับแขกเช่นเดียวกัน แต่ว่าสำหรับต้อนรับแขกที่เป็นญาติและสหายสนิท หรือไม่ก็คนที่รู้จักกันมานานแล้ว เดินไปด้านหลังอีกก็จะเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ สวนหนึ่งที่มียอดเขาสีเขียว ลำธารใสไหลผ่าน ฉากหลังเป็นสีเขียว ดอกไม้และต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม ทะลุผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวในสวนดอกไม้เล็กมาจะมีดงกล้วยอยู่ดงหนึ่ง ข้างๆ ดงกล้วยเป็นห้องหนังสือของจวนชั้นนอกชื่อว่า ‘ศาลาทิงอวี่’ ถัดจาก ‘ศาลาทิงอวี่’ ไปทางซ้ายทะลุผ่านภูผาจำลองไท่หูไปก็จะเป็น ‘เรือนจี๋ฝู’ เดินตรงไปข้างหน้าอีกก็จะเป็นแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง ส่วน ‘โถงถงฮวา’ ที่ประดับตกแต่งอย่างโอ่อ่านั้นอยู่ข้างๆ แปลงดอกไม้ และมีห้องหนังสือเล็กของจวนชั้นนอกชื่อว่า ‘ทิงซงเฟิงฉู่’ ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของ ‘เรือนจี๋ฝู’ และ ‘โถงถงฮวา’ ซึ่งคั่นด้วยป่าสนดงหนึ่ง ออกจากประตูด้านขวาของ ‘ศาลาทิงอวี่’ ไปก็จะเป็นโถงทางเดินที่ยาวเหนือจรดใต้สายหนึ่งชื่อว่า ‘ซื่อจี้จิ่น’ เดินไปทางทิศเหนือแล้วจะมีประตูทรงพระจันทร์อยู่ทางฝั่งตะวันออกอยู่หนึ่งบาน ด้านหลังประตูเป็นโรงครัวของจวนชั้นนอก ‘สูตรอาหารต้นตำรับตระกูลเฉิง’ อันเลื่องชื่อก็มาจากโรงครัวของจวนชั้นนอกนี้
เดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูหรูอี้ ซึ่งจะนำไปสู่ ‘ระเบียงหมู่ตัน’ กับ ‘เรือนซื่ออี๋’ ของจวนชั้นใน
วันมหาวันเกิดของผู้นำตระกูลจวนรอง ประตูกลางของตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูย่อมต้องเปิดกว้างเอาไว้อย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นยังไม่ทันเดินเข้าไปในเรือนซื่ออี๋ก็ได้ยินเสียงอึกทึกสายหนึ่งแล้วรางๆ
เรือนซื่ออี๋และเรือนจี๋ฝูถูฏคั่นกลางเอาไว้ด้วยกำแพงดอกไม้สายหนึ่ง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “วันนี้คึกคักเสียจริง!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “ตระกูลเฉิงเองก็ต้องการความคึกคักบ้างแล้ว ในยามปกติค่อนข้างเงียบเกินไปหน่อย”
นายท่านหลายคนที่รับราชการอยู่ที่จิงเฉิง เวลามีข่าวดีอะไรก็จะเปิดประตูกลางเอาไว้และจุดประทัด ซึ่งก็คึกคักน้อยกว่ามาก
ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น ก็ได้พบกับคนจากจวนหลัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวขี้ม้าลายนกกระเรียนคาบต้นหญ้า ทับทิมขนาดเท่าไข่นกพิราบบนปิ่นปักผมลายฉางโซ่วนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ลำตัวยืดตรง ใบหน้าเคร่งขรึม ท่าทางโอ่อ่าที่อยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของบ่าวรับใช้นั้นดูโดดเด่นราวกับดอกไม้สีแดงกับใบไม้สีเขียว ทำให้คนข้างกายที่สวมชุดเพ่ยจื่อดอกกุหลาบลายซื่อที่สี่แฉกทองตัวหนึ่ง สวมเครื่องประดับสีเขียวมรกต บุคลิกงามสง่าเช่นหยวนซื่อนั้นถูกกลบจนมิด
จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกชื่นชมฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งนัก ทุกครั้งที่ออกมาล้วนทำให้ผู้อื่นกลายเป็นฉากหลังไปเสียหมด นางมีชีวิตมาสองภพชาติ ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้พบคนเช่นนี้ ในปีนั้นที่ได้เข้าไปคารวะบุคคลสำคัญในราชสำนัก ก็ไม่มีใครโดดเด่นเช่นฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี้
นางกับพี่สาวขยับขึ้นไปด้านหน้าทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวและหยวนซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมองสำรวจพวกนางสองพี่น้องขึ้นลงครั้งหนึ่ง ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ช่างเป็นไข่มุกและน้ำค้างยามเช้าที่งดงามเสมอกัน ไม่อาจแยกได้ จวนสี่ของพวกเจ้ามีสาวงามถึงสองคน”
“กล่าวชมเกินไปแล้วๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างถ่อมตน ทว่ายากจะปกปิดความยินดีเอาไว้ได้
หยวนซื่อยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ก็แสดงออกอย่างสนิทสนมยิ่ง
ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร โจวเสาจิ่นนึกถึงตนเองในชาติก่อนขึ้นมา ที่มักจะติดตามอยู่ข้างหลังของพี่สาวอย่างว่านอนสอนง่ายทุกครั้งไป ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนเป็นพี่สาวตัดสินใจให้
หยวนซื่อในตอนนี้กับตนเองในตอนนั้นช่างเหมือนกันยิ่งนัก!
นางเดินตามพี่สาวเข้าไปในเรือนซื่ออี๋
ฮูหยินผู้เฒ่าถังซื่อจวนรองยิ้มตาหยีมาต้อนรับในทันที ต่างฝ่ายต่างคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นรีบแนะนำสตรีคนอื่นๆ ในเรือนซื่ออี๋ให้ทำความรู้จักกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวน
บางคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานานผ่านครอบครัว เวลาพูดคุยจึงสนิทสนมเป็นกันเอง บางคนเป็นคนคุ้นเคยกัน จึงทักทายกันอย่างกระตือรือร้น บางคนเคยพบหน้ากันมาหลายครั้ง จึงทักทายกันอย่างเกรงอกเกรงใจ และบางคนก็พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงแนะนำครอบครัวให้รู้จัก ราวกับพ่อสื่อแม่ชัก
สายตาของโจวเสาจิ่นกวาดผ่านอู๋เป่าจางที่ติดตามอยู่ด้านหลังของฮูหยินอู๋อย่างเงียบๆ นั้นไปตกอยู่ที่ร่างของเจิ้งซื่อ หลานสะใภ้คนโตของจวนรองที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินเหน็บเอาไว้ด้วยดอกไม้ดอกหนึ่ง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ถังซื่อ
นางมวยผมขึ้นเป็นทรงดอกโบตั๋น สวมจี้ทองฝังหยก ผิวขาว รูปร่างค่อนข้างท้วม มีลักษณะที่อวบอ้วนราวไข่มุกที่กลมมนและหยกที่ผิวเนียนละเอียด
ความทรงจำของโจวเสาจิ่นที่มีต่อนางในชาติที่แล้วไม่ค่อยชัดเจนนัก จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะนางกำลังตั้งครรภ์หรือเป็นเพราะภายหลังจากให้กำเนิดบุตรนางเลยมีรูปร่างเช่นนี้มาโดยตลอด
เจิ้งซื่อรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองนางอยู่ ยิ้มพลางหันศีรษะกลับไป พยักหน้าให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นส่งร้อยยิ้มสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติแต่ก็ไม่ขาดความสวยหวานออกมารอยยิ้มหนึ่ง
เจิ้งซื่อตะลึงงัน
คนจากจวนสามก็มาถึง
เฉิงเสียนสวมชุดเพ่ยจื่อราคาแพงสีแดงสดตัวหนึ่ง กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นมารดาที่รอยยิ้มมีเมตตา และแต่งตัวมาอย่างงดงาม ส่วนเจียงซื่อผู้เป็นมารดาของเฉิงเจียกับเฉิงเจีย และพานชิงติดตามอยู่ด้านหลังของทั้งสองคน