ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 323 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
โจวเสาจิ่นเกิดมาเป็นคนสองชาติภพ แต่ทั้งสองชีวิตนั้นนางล้วนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่านางไปสวดมนตร์ตลอดทั้งปี ตอนอยู่ในวัดไม่รู้ว่าเคยเห็นหญิงสาวถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยเหตุเพราะครอบครัวหวังผลประโยชน์หรือถูกประณามเหตุเพราะเกิดเรื่องเสื่อมเสียมามากมายเพียงใด ทำให้ทุกครั้งที่นางนึกถึงจุดจบของหญิงสาวเหล่านั้นขึ้นมาจะรู้สึกหายใจหอบขึ้นมาอยู่เสมออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้อยคำของเฉิงฉือทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะไหลลงมา
แม้ว่าท่านน้าฉือจะเก่งกาจมากเพียงใด แต่ก็ไม่ยอมให้อำนาจของตนไปทำร้ายสตรีและเด็ก ในใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดจิตใจดีไปกว่าท่านน้าฉืออีกแล้ว!
โจวเสาจิ่นแอบชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ซดน้ำแกงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เสมือนกับว่าเรื่องของเฉิงเจียไม่ควรค่าแก่การพูดถึง ไม่ควรตัดสินใจเช่นนี้อยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น
นางรีบหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ นอกจากจะไม่แสดงท่าทีตำหนิเฉิงฉือให้เห็นแต่อย่างใดแล้ว ยังดูเหมือนจะพึงพอใจกับคำตอบของเฉิงฉืออีกด้วย
โจวเสาจิ่นมึนงงเล็กน้อย
จากนั้นก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าเองที่เอาจิตใจอันคับแคบของผู้น้อยไปคาดเดาความคิดอันกว้างใหญ่ของบัณฑิต เจ้าเป็นเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก!”
ถ้าหากได้ไปรับราชการ ก็คงมีอนาคตก้าวไกล
เพียงแต่ผู้ที่ถูกขังอยู่ในบ้านกลับเป็นบุตรชายคนเล็กคนนี้ไปเสีย
ช่วงเวลาเดียวกับที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล้ำกลืนถ้อยคำที่ปริ่มอยู่ที่ริมฝีปากลงไปนั้นแววตาดูเงียบขรึมเล็กน้อย ลอบหัวเราะอยู่ในใจอย่างขมขื่นไปหลายที
ครั้นรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนก็เคลื่อนย้ายไปดื่มน้ำชาที่ห้องนั่งเล่น
เฉิงฉือถามถึงเรื่องของเฉิงเจียขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “นี่ช่างตรงกับที่กล่าวว่าผู้ไม่รู้อะไรเลยจึงไม่หวาดกลัวสิ่งใดนั่นจริงๆ ยังดีที่ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น หากเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเรา แต่ภายในใจนี้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ไม่รู้ว่าต่อไปนางจะมีชีวิตอย่างมั่นคงในตระกูลหลี่ได้หรือไม่…”
เฉิงฉือกล่าวหยอกเย้าต่อหน้ามารดาว่า “บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็เสมือนกับน้ำที่สาดออกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปนางเป็นบุตรสะใภ้ของตระกูลหลี่ ปล่อยให้หลี่จิ้งปวดหัวไปเถิดขอรับ…”
ทว่าโจวเสาจิ่นเพียงยิ้มน้อยๆ ขณะนั่งฟังอยู่ข้างๆ ดูเงียบขรึมเล็กน้อย
เฉิงฉือรู้สึกฉงน
เด็กน้อยผู้นี้เป็นอะไรกันแน่
ปกติตนพูดหนึ่งประโยคนางจะมีสิบประโยครอตนอยู่
คราวนี้เขาจงใจพูดเรื่องสหายคนสนิทของนางกับนาง ทว่านางกลับเงียบงันไม่พูดอะไร
หรือว่าเรื่องของเฉิงเจียกับหลี่จิ้งยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีก
หรือว่ายังมีเรื่องอะไรในบ้านที่ซางมามามองข้ามไปแล้วไม่ได้บอกเขากันนะ
จู่ๆ เขาก็ใจลอยขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดว่าบุตรชายรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป กล่าวอีกไม่กี่ประโยคก็หยุดพูด จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้เขารีบกลับเรือนไปพักผ่อน “อย่างไรก็ตามเรื่องราวส่วนใหญ่ก็จัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลานเจียก็ไม่ได้เป็นอะไรไป ได้แต่งงานกับหลี่จิ้งอย่างราบรื่น นับว่าเป็นเรื่องดี ถึงเวลานั้นพวกเราเพียงมอบของขวัญแต่งงานให้หลานเจียก็พอแล้ว หากมีเรื่องอะไรพวกเราค่อยคุยกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย!”
ถ้าหากต้องการจะล้วงถามอะไรจากปากของเด็กน้อยคนนี้ ก็ต้องหลอกล่อนางเท่านั้น
แต่ต่อหน้ามารดาเขาจะหลอกล่อนางได้อย่างไร
เอาไว้ค่อยถามนางเป็นการส่วนตัวดีกว่า!
เฉิงฉือตัดสินใจแล้ว ก็ยิ้มพลางลุกขึ้นขอตัวกลับไป
โจวเสาจิ่นส่งเฉิงฉือออกจากเรือนหลัก จนกระทั่งเงาร่างของเขาถูกต้นไม้ใหญ่บดบังจนมองไม่เห็นแล้ว นางจึงหันกลับขึ้นเรือนไป อยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกสองสามประโยค แล้วกลับเรือนฝูชุ่ย
เฉิงฉือรออยู่ครึ่งค่อนคืนก็ไม่เห็นโจวเสาจิ่น รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงบอกซางมามาว่า “ไปดูให้ทีว่าคุณหนูรองกำลังทำอะไรอยู่”
ซางมามากลับมารายงานว่า “นางนอนพักผ่อนไปแล้วเจ้าค่ะ!”
หัวคิ้วของเฉิงฉือย่นเข้าหากันแน่น
ด้วยอุปนิสัยของนาง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เมื่อเขากลับมาแล้ว แปดถึงเก้าในสิบส่วนนางจะวิ่งมาบอกเขา…ไฉนครั้งนี้ถึงได้เงียบผิดปกติอย่างนี้เล่า และการที่เงียบผิดปกตินั้นก็เรียกได้ว่าอันตราย…
เขาบอกให้ซางมามาออกไป แล้วเดินไปที่ระเบียงห้องหนังสือของเรือนหลีอิน เหม่อมองแสงจันทร์ที่สว่างไสวทั่วลานอย่างห้ามไม่อยู่
ไหวซานกระซิบถามว่า “นายท่านสี่เป็นกังวลเรื่องพรรคจินซาหรือขอรับ พวกเขามิได้สัญญาว่าต่อจากนี้ไปจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี และช่วยท่านทำงานหรอกหรือ สวีมู่ผู้นำพรรคคนใหม่ของพรรคจินซาแม้ว่ายังเยาว์วัยอยู่ แต่เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า ซื่อสัตย์เชื่อถือได้ เรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้หนึ่งเลยทีเดียว เรื่องที่สัญญาเอาไว้เขาไม่มีทางกลับคำเป็นแน่ ท่านยังเป็นห่วงเรื่องอะไรหรือขอรับ”
เฉิงฉือตอบว่า “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกนั้น! อะไรคือความชั่ว อะไรคือความดีหรือ ก็เพียงชี้ทางสว่างให้พวกเขาไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยการห้ำหั่นผู้คนเท่านั้นเอง ไม่เช่นนั้นพรรคจินซาก็คงจะไม่ยอมแพ้อย่างรวดเร็วเพียงนั้นหรอก”
เขากังวลเรื่องของโจวเสาจิ่นต่างหาก
แต่เขายังต้องหักห้ามใจไม่ให้ไปหานาง
เฉิงฉือยังจดจำสายตาที่จ้องมองหลังของตนสายนั้นได้อย่างชัดเจน
หากว่าเขาไปหานางก่อน มีแต่จะทำให้นางสนิทชิดเชื้อกับเขายิ่งขึ้น
เฉิงฉือรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย จึงไปตรวจสอบบัญชี สั่งการสั่งงาน และคุยเรื่องการถอนหุ้นส่วนออกจากร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่า…งานยุ่งเช่นนี้อยู่สองสามวัน ระหว่างนั้นจึงไม่ได้สนใจโจวเสาจิ่นอีกเลย
หลายวันมานี้โจวเสาจิ่นเก็บตัวทำงานเย็บปักอยู่ในบ้าน
มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้น นางถึงไม่คิดฟุ้งซ่าน
ทั้งๆ ที่นางกับเฉิงเจียสนิทกันขนาดนี้ แต่พอได้พบเฉิงฉือแล้ว นางอยากจะถามแค่ว่าท่านน้าฉือเดินทางลำบากหรือไม่ ยามกินข้าวหรือค้างแรมประสบความทุกข์ยากอะไรบ้างหรือไม่ ธุระที่ไหวอันจัดการได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ในภายหน้ายังต้องไปไหวอันอีกหรือไม่… ส่วนเรื่องของเฉิงเจียนั้น นางไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เพราะอย่างไรเฉิงเจียก็จะมีชีวิตอย่างสุขสบาย นางไม่จำเป็นต้องไปห่วงเรื่องของเฉิงเจีย
ระหว่างที่ออกมาจากเรือนหลักกลับไปยังเรือนฝูชุ่ย นางยืนนิ่งบนทางเดินที่ทอดไปสู่เรือนหลีอินอยู่นาน อยากจะไปพูดคุยกับท่านน้าฉือเหลือเกิน แต่กลัวว่าท่านน้าฉือจะเหนื่อยเกินไปและเป็นการไปปลุกเขาให้ตื่นจากการนอนหลับพักผ่อน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนฟ้าสว่าง นางไปรับประทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว คิดว่าหากทำเช่นนี้อาจจะได้พบเฉิงฉือ ปรากฏว่าเฉิงฉือบอกว่าติดธุระ นางจึงไม่ได้พบเฉิงฉือเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน
นางต้องบอกเรื่องที่เฉิงลู่รู้ว่าผู้ที่บงการเจ้าเมืองอู๋อยู่คือเฉิงฉือให้ท่านน้าฉือทราบ!
ถึงแม้โจวเสาจิ่นเชื่อว่าด้วยกำลังความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมของเฉิงลู่นั้นไม่อาจทำร้ายเฉิงฉือได้ แต่ทวนที่แทงมาอย่างโจ่งแจ้งนั้นหลบหลีกได้ง่าย ทว่าธนูที่ซุ่มยิงมาจากเงามืดนั้นทำร้ายคนได้ เฉิงลู่คนประเภทนั้นชื่นชอบการลอบโจมตีจากเงามืดเป็นที่สุด บวกกับเรื่องที่ชาติก่อนจวนรองกับจวนสามร่วมมือกันวางอุบายเฉิงสวี่แล้ว นางกลัวว่าเฉิงฉืออาจจะตกอยู่ในเส้นทางอันตรายของเฉิงลู่ได้
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเพราะนาง
หากว่าเฉิงลู่คิดบัญชีกับเฉิงฉือขึ้นมา ต่อให้นางตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เพียงพอให้กล่าวขอโทษได้!
ทำไมเฉิงฉือถึงได้งานยุ่งขนาดนี้นะ
โจวเสาจิ่นรออีกสองวัน แต่พอเห็นว่ายังไม่มีโอกาสได้พบเฉิงฉือ งานเย็บปักก็ทำต่อไปไม่ได้ จึงเดินวนไปมาอยู่ในห้องราวกับสัตว์ป่าที่ถูกขังก็ไม่ปาน ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพุ่งเข้าไปยังเรือนหลีอินเหมือนทุกที หรือรอดูสถานการณ์อีกสักสองวันก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดี
นางลังเลอยู่เช่นนี้อีกสองวัน ภรรยาของหม่าฟู่ซานมาพบนาง เพื่อมอบเครื่องประดับศีรษะฝังอัญมณีล้ำค่าคู่หนึ่งกับเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์คู่หนึ่งให้นาง กล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “นี่คือเครื่องประดับที่ทำตามแบบที่ท่านสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ ทำขึ้นที่ร้านหย่งฝูเซิ่งสาขาจินหลิง ทั้งหมดราคาสองร้อยเหลี่ยง”
นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่นางเตรียมจะมอบให้เฉิงเจีย
หลายวันมานี้นางเอาแต่ชั่งใจว่าจะไปพบเฉิงฉือดีหรือไม่ จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
โจวเสาจิ่นเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หากนางไม่พูดออกมา จะมีใครมาหยั่งรู้ความนึกคิดของนางที่มีมีต่อเฉิงฉือได้เล่า
นางมัวแต่กังวลถึงผลได้ผลเสียอยู่อย่างนี้ หากตกไปอยู่ในสายตาของคนที่มีเจตนาไม่ดีคงดูน่าสงสัย!
โจวเสาจิ่นบอกให้ชุนหว่านเก็บเครื่องประดับ แล้วตกรางวัลให้ภรรยาของหม่าฟู่ซาน จากนั้นก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อนตัวหนึ่งแล้วไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือเองก็กำลังครุ่นคิดอยู่เช่นเดียวกันว่าถ้าหากพรุ่งนี้โจวเสาจิ่นยังไม่มาหาเขา เขาจะไปดูสักหน่อย… ไม่คาดคิดว่าเขายังไม่ทันเคลื่อนไหว โจวเสาจิ่นก็พุ่งพรวดเข้ามาเหมือนเมื่อก่อนเองเสียแล้ว
เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปาก บอกซางมามาว่า “ไปนำเมล็ดบัวที่ข้าให้พวกเขาแช่เอาไว้ในบ่อน้ำมาโรยเกล็ดน้ำตาลบางๆ ชั้นหนึ่งแล้วยกเข้ามา”
ซางมามาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
นายท่านสี่ให้คนแช่เมล็ดบัวสดใหม่ไว้ในบ่อน้ำมาหลายวันติดต่อกัน แต่งานยุ่งจนไม่มีเวลากิน… วันนี้พอคุณหนูรองมาหากลับให้นำออกมากิน!
นางขานรับอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป
ทว่าบังเอิญได้พบกับโจวเสาจิ่นเข้าพอดี
“คุณหนูรอง!” นางยอบกายทำความเคารพ แล้วอดสำรวจโจวเสาจิ่นทีหนึ่งไม่ได้
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแต้มรอยยิ้ม ดูอ่อนโยนและอบอุ่น ท่าทางเชื่อฟังอยู่ในโอวาท ไม่ได้ดูแตกต่างจากยามปรกติแต่อย่างใด
ซางมามาถอนหายใจอยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวยิ้มๆ อย่างกระตือรือร้นว่า “ช่วงนี้นายท่านสี่วุ่นอยู่กับการคำนวณบัญชีทุกวัน แม้แต่เวลากินข้าวก็ยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่เขาเพิ่งวางพู่กันลงเตรียมจะพักผ่อน ท่านก็มาแล้วพอดี จะได้อยู่คุยเป็นเพื่อนนายท่านสี่ ทำให้นายท่านสี่หายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าค่ะ”
ที่แท้ท่านน้าฉือก็ยุ่งมากถึงเพียงนี้!
เรื่องอื่นนางอาจช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ให้อยู่คุยเป็นเพื่อนท่านน้าฉือนางยังพอจะทำได้บ้าง
โจวเสาจิ่นรู้สึกลิงโลดขึ้นมาในทันใด ยิ้มร่าพลางเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ไม่แม้แต่จะเคาะประตูก่อนเลยสักครั้ง
เฉิงฉือคุ้นเคยกับการพุ่งพรวดเข้าห้องมาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ของนางไปแล้ว เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่ฝนหมึกไปด้วยพลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “เหตุใดถึงมาเวลานี้ มาหาข้าเพราะมีเรื่องอะไรใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก แล้วเดินเข้าไปหมายจะช่วยฝนหมึกให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือหยอกล้อนางว่า “ไม่มีเรื่องอะไรได้มาโดยง่ายดาย หากมิใช่ผู้สอดแนมก็เป็นหัวขโมย เจ้าบอกข้ามาตามตรงเถอะว่าต้องการให้ข้าทำอะไร เจ้าทำตัวเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นขึงตาใส่เฉิงฉืออย่างไม่พอใจทีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือจะดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้วนะเจ้าคะ! ข้ามาหาท่านต้องเป็นเพราะมีเรื่องมาขอความช่วยเหลือไปเสียทุกครั้งอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
ตอนที่นางกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เฉิงฉือถูกเฉิงลู่อาฆาตมาดร้าย ล้วนเป็นเพราะนางเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น
เฉิงฉือมองดูแขนเสื้อที่นางถลกขึ้นมา เผยให้เห็นข้อมือเล็กๆ ท่อนหนึ่งที่ขาวเนียนละเอียดประดุจหยก… เขาก็นึกถึงของขวัญที่ตนนำกลับมาฝากนาง… เป็นกำไลหยกคู่หนึ่ง นางสวมแล้วต้องเข้ากับนางอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน สวมใส่แล้วรู้สึกเย็นสบาย นางจะต้องชื่นชอบมากเป็นแน่
ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว คงได้แต่ต้องเก็บไว้เป็นของขวัญแต่งงานให้นางแล้ว
เฉิงฉือเก็บความคิดเหล่านั้นของตนกลับไป แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี วันนี้พวกเราไม่ต้องพูดอะไรกัน เจ้ามาช่วยข้าคิดบัญชีก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นใช้ลูกคิดไม่เป็น แต่นางชอบหยอกเย้ากับเฉิงฉือ จึงกล่าวขึ้นว่า “ถ้าหากข้าไม่ทำล่ะเจ้าคะ ข้ามิใช่พนักงานบัญชีที่ท่านเชิญมาสักหน่อย หนำซ้ำท่านก็มิได้ให้เบี้ยรายเดือนแก่ข้าด้วย ข้าไม่ยอมทำงานให้เปล่าๆ หรอกเจ้าค่ะ!”
เด็กน้อยดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เฉิงฉือคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ซางมามายกเมล็ดบัวเข้ามา
โจวเสาจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบาแล้วก้มหน้าลงดีดลูกคิดดังก๊อกแก๊ก
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้ว ใช้ตะเกียบงาช้างคีบเมล็ดบัวแบ่งใส่จานเล็กใบหนึ่งแล้วยกเข้าไป พลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ท่านก็กินด้วยสิเจ้าคะ!”
เฉิงฉือยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมามองนางครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ากินเถอะ ข้าคิดบัญชีสองสามหน้าสุดท้ายนี้เสร็จแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว”
โจวเสาจิ่นจึงช่วยฝนหมึกให้เฉิงฉืออยู่ข้างๆ
ไม่นานนัก เฉิงฉือก็วางพู่กันลง แล้วนั่งกินเมล็ดบัวบนตั่งหลัวฮั่นเคียงกันกับนางซ้ายคนหนึ่งข้างขวาคนหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่ตนบังเอิญพบเฉิงลู่ แล้วได้ยินเฉิงลู่กับเฉิงเจิ้งสนทนากันให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด กล่าวขึ้นว่า “ให้เขารู้ว่าข้าต้องการกำจัดชื่อเสียงและยศตำแหน่งของเขาให้สิ้นซาก บางทีเขาอาจจะกำลังคาดเดาอย่างกระวนกระวายว่าได้กระทำผิดต่อข้าตรงที่ใดอยู่ก็เป็นได้ ทำให้เขาหวาดกลัวบ้างก็ดีเหมือนกัน”
แต่นี่มิใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “มันจะไม่กระทบต่อท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยกยิ้มพลางตอบว่า “ประการแรกข้ามิได้กระทำความผิดละเมิดกฎหมาย ประการที่สองมิได้ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้น้อย ประการที่สามมิได้เที่ยวหอนางโลมแต่อย่างใด หากยังไม่ยอมให้ข้าดูแคลนผู้ที่ต่ำกว่าและเก็บกวาดรุ่นเด็กที่ไม่อยู่ในโอวาทเลยสักครั้ง เช่นนั้นข้าก็มีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว!”
ทว่าโจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับจับนัยยะอีกนัยหนึ่งได้ เอ่ยถามขึ้นอย่างประหม่าว่า “ข้างนอกมีคนว่าอะไรท่านมาหรือเจ้าคะ”
………………………………………………………………….