ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 325 จับคู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว
นางกล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ เป็นการส่วนตัวว่า “ข้าว่าเกรงว่าจะเป็นหลี่จิ้งที่อยากจะรับเจ้าสาวใหม่กลับไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิดเสียมากกว่า”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับเป็นห่วงเล็กน้อยว่าหลังจากที่เฉิงเจียแต่งงานไปแล้วจะรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนไหวหรือไม่
แต่เฉิงเจียกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด กล่าวขึ้นว่า “มิใช่พ่อแม่สามีจริงๆ ของข้าสักหน่อย มีอะไรให้ข้าต้องกลัวด้วย อีกอย่างหลี่จิ้งบอกเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็มีเขาอยู่! ขอเพียงข้าให้เกียรติผู้อื่นอย่างเพียงพอก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อน เนื่องจากมีหลินซื่อเซิ่งสนับสนุนนาง ต่อให้คนในตระกูลหลินไม่ว่าระดับบนหรือล่างจะไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งแต่นางก็เป็นฮูหยินหลินอย่างสงบสุขและมั่นคงเป็นเวลาสิบกว่าปี นางจึงรู้สึกว่าที่เฉิงเจียกล่าวมาก็มีเหตุผลไม่น้อย
เฉิงเจียเชิญโจวเสาจิ่นไปช่วยนาง “ท่านแม่ของข้ายังโกรธข้าอยู่ ถึงทุกวันนี้ก็ยังแสร้งป่วยนอนอยู่บนเตียง ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงพอ ข้างกายข้าจึงไม่มีคนค่อยย้ำเตือนแม้สักคน”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ หรือไม่ ข้าให้ฝานมามาไปช่วยเจ้าดีหรือไม่”
ชาติก่อนตอนที่นางออกเรือนนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนเป็นฝานหลิวซื่อช่วยจัดการให้นาง จึงคาดว่านางน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี
“ต่อให้คนที่ช่วยทำให้จะเป็นนาง แต่ก็ยังคงต้องใช้ชื่อของเจ้าอยู่ดี” เฉิงเจียกระซิบกล่าว “ข้าจะออกเรือน คงไม่อาจให้บ่าวผู้หนึ่งเป็นคนทำให้หมดทุกอย่างหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วใจกระตุก
ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสได้ยินแผนการของเฉิงลู่อีก ต่อให้ไม่ได้ยิน บางทีก็อาจจะได้รู้เบาะแสอะไรบ้าง จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อะไรก็ต้องให้ท่านน้าฉือคอยช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะความเป็นจริงแล้วท่านน้าฉืองานยุ่งมาก…
นางนึกถึงวันที่นางนั่งนับก้อนทองเมล็ดถั่วแดงอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในวันนั้น ท่านน้าฉือก็ยุ่งอยู่กับการดูสมุดบัญชีและคิดบัญชีต่างๆ…
“ก็ได้!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างแจ่มใส “เพียงแต่ว่าหากมีจุดไหนที่ข้าทำได้ไม่ดี เจ้าต้องอภัยให้ข้าด้วย”
“เจ้ามาช่วยข้าได้ข้าก็ดีใจมากแล้ว” เฉิงเจียกล่าว สีหน้าเผยความผิดหวังออกมาให้เห็นหลายส่วน เอ่ยขึ้นว่า “ลั่วหยางอยู่ไกลจากที่นี่ยิ่งนัก หลังจากข้าแต่งงงานออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเราจะยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกหรือเปล่า และบุตรชายบุตรสาวยังจะได้ดองกันอีกหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จากนี้เจ้าก็อดทนให้ผ่านไปสักสองสามปีแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่งก็ได้มิใช่หรือ”
เฉิงเจียยิ้มอย่างขมขื่น
เกรงว่าท่านแม่ของนางคงไม่ยินดีจะพบหน้าบุตรสาวที่ไม่เชื่อฟังผู้นี้นัก
โจวเสาจิ่นรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ชวนนางคุยเรื่องงานแต่งขึ้นมาแทน
ปี้อวี้เข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้พาคุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดและคุณหนูกู้ที่สิบแปดมาเยี่ยม ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านไปกล่าวทักทายสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียรีบลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นไม่อาจรั้งนางเอาไว้ ออกไปส่งนางที่ประตูแล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีคราม ทว่ากูที่สิบเจ็ดกับกูที่สิบแปดนั้นผู้หนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพู และอีกผู้หนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อน
โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่า เนื่องจากกูที่สิบเจ็ดและกูที่สิบแปดเป็นรุ่นเหลน จึงออกจากการไว้ทุกข์แล้ว
ทุกครั้งที่คนจากตระกูลกู้มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนเป็นเพราะมีเรื่อง เกรงว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
โจวเสาจิ่นให้การรับรองกูที่สิบเจ็ดและกูที่สิบแปดแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พาพวกนางไปดื่มน้ำชาที่ห้องโถงรับรองแขก
กูที่สิบเจ็ดกับโจวเสาจิ่นพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน ทว่ากูที่สิบแปดกลับดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นหันไปส่งสายตาให้กูที่สิบเจ็ด
ไม่นาน กูที่สิบเจ็ดก็ลุกขึ้นขอตัวไปห้องทางการ
โจวเสาจิ่นไปเป็นเพื่อนนาง
ระหว่างทาง กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็มิใช่คนนอก ต่อให้ข้าไม่บอกเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงบอกเจ้าอยู่ดี ฮูหยินใหญ่พาพวกข้าพี่น้องมาที่นี่ เพราะอยากขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาคู่ครองที่ดีๆ สักหน่อยให้พวกข้าพี่น้อง ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าอยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลกัว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีสงบนิ่งของกูที่สิบเจ็ด
กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว ข้าที่เป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะหาตระกูลที่ดีที่สุดไม่ได้ แต่ก็คงไม่อาจแต่งให้คนที่แย่จนเกินไปได้ ขอเพียงคนผู้นั้นไม่วิกลจริตไม่โง่เขลา ชีวิตนี้ก็คงจะยังพอคิดหาวิธีให้ค่อยๆ มีความสุขขึ้นได้อย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นชอบความเป็นคนมองโลกในแง่ดีของกูที่สิบเจ็ด
นางกล่าวปลอบโยนกูที่สิบเจ็ดว่า “เจ้าวางใจเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนผู้หนึ่ง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของตระกูลกู้ ตระกูเฉิงและตระกูลกัวต่างไม่เลวนัก ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่น้องสิบแปดกังวลใจเป็นอย่างมาก” กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ กลับมาที่ห้องโถงพร้อมกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเพียงคุยกับกูที่สิบแปดเกี่ยวกับเรื่องงานเย็บปักเล็กน้อยเท่านั้น กูที่สิบแปดก็ค่อยๆ อารมณ์เบิกบานขึ้นมา กระทั่งตอนที่ฮูหยินใหญ่กู้พาพวกนางกลับจวนนั้น พวกนางก็ได้นัดแนะกันว่าครั้งหน้าจะไปชมดอกบัวที่จวนตระกูลกู้ด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ศาลาริมน้ำของพวกเราไม่มีใครใช้เลยตลอดทั้งปี ในเมื่อพวกเจ้าพี่น้องต่างนัดแนะกันแล้ว ก็มาที่ซอยจิ่วหรูก็แล้วกัน ข้าจะให้บ่าวรับใช้เตรียมเรือกรรเชียงเล็กๆ เอาไว้ให้พวกเจ้าพายเล่นหรือไม่ก็เตรียมเรือบ้านเอาไว้ให้พวกเจ้าต่อบทกลอนกัน”
การใช้เงินจากคลังกองกลางของตระกูลกู้นั้นไม่ง่ายนัก จะให้แต่ละบ้านดึงเอาเงินส่วนตัวของตัวเองออกมาใช้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ให้มาชมดอกบัวที่ตระกูลเฉิง อีกทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนเอ่ยปาก จึงสะดวกกว่ามาก
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเขียนจดหมายไปให้กูที่สิบเจ็ด
กูที่สิบเจ็ดกับกูที่สิบแปดต่างตอบรับอย่างยินดี โจวเสาจิ่นจึงส่งเทียบเชิญไปให้จูจูและคนอื่นๆ ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจจะสอนโจวเสาจิ่น ตัวเองสะบัดมือไม่สนใจ แต่ให้สื่อมามาไปช่วยนางจัดงานชมดอกไม้แทน
โจวเสาจิ่นหวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่พี่สาวจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก จึงจัดการได้อย่างมีแบบมีแผน ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร
สื่อมามาลอบประหลาดใจ นำไปเล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบไปครู่ใหญ่ เอ่ยขึ้นว่า “เนื่องจากเป็นเด็กที่ขาดมารดา ต่อให้เป็นทองเมื่อถูกฝังอยู่ใต้ดินนานเกินไป ก็อาจถูกผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นทองเหลืองได้”
สื่อมามาไม่กล้าเอ่ยคำใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกพวกพ่อบ้านว่าข้าจะเป็นคนออกเงินในการจัดงานเลี้ยงของเสาจิ่นเอง ให้พวกเขาตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี จัดงานชมดอกไม้ให้งดงาม”
สื่อมามารับคำยิ้มๆ
เฉิงฉือเองก็ให้ซางมามาไปสอบถามเช่นกัน รู้ว่าทางด้านของโจวเสาจิ่นนั้นทุกอย่างราบรื่นดี ยังบอกเอาไว้ด้วยว่าหากนางมีเรื่องอะไรก็ให้บอกซางมามาโดยตรงได้เลย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่กำลังวุ่นอยู่กับการสร้างเรือนใหม่ให้เฉิงเก้าได้ยินแล้วก็ตั้งใจมาดูเป็นการเฉพาะด้วย
เพียงแต่ว่ายืนอยู่ได้ไม่ถึงสามเค่อ ซื่อเอ๋อร์ผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เร่งมาหา บอกว่าคนที่ไปซื้อฉากกั้นไม้ไผ่เซียงเฟยกลับมาแล้ว ให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับไปดูสักหน่อย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทำได้เพียงแจกแจงกับโจวเสาจิ่นไม่กี่ประโยคแล้วก็รีบเร่งกลับไปที่จวนสี่
แต่ใครจะรู้ว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ไปซื้อฉากกั้นไม้ไผ่เซียงเฟย ซื่อเอ๋อร์พานางไปที่เรือนเจียซู่ “นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบเดินเข้าไปในห้องชั้นในอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั่งหลับตาเอนตัวพิงอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพร้อมกับหมุนลูกประคำในมือไม่หยุด
หลังจากได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแล้วก็ลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เจ้ามาแล้วหรือ” จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตู ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาทั้งนั้น ข้ามีเรื่องจะคุยกับฮูหยินใหญ่”
ซื่อเอ๋อร์รีบถอยออกไป
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถามเสียงอบอุ่นว่า “ท่านแม่ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเจ้าคะ” กล่าวไปด้วย เปลี่ยนจอกชาใหม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปด้วย จากนั้นนั่งลงบนตั่งกระเบื้องเคลือบทรงกลมที่อยู่ข้างๆ ตั่งหลัวฮั่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดครู่ใหญ่ เอ่ยขึ้นอย่างตรึกตรองว่า “นายท่านใหญ่เพิ่งเข้ามาบอกข้าว่าได้รับจดหมายจากนายท่านใหญ่จิง อยากจะเป็นพ่อสื่อให้อี้เกอเอ๋อร์…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสีหน้าเปลี่ยน เอ่ยขึ้นว่า “แล้วนายท่านใหญ่เห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“นายท่านใหญ่รู้สึกว่าเสาจิ่นดีกว่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แต่ข้าคิดว่า นายท่านใหญ่จิงไม่น่าจะเป็นพ่อสื่อให้อี้เกอเอ๋อร์โดยไร้เหตุผล อีกอย่างข้าก็เคยคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างชัดเจนไปตั้งนานแล้วว่าตั้งใจจะเก็บเสาจิ่นไว้ที่บ้าน…” นางนวดขมับ “เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าแปลกอยู่หลายส่วน ความหมายของข้าก็คือ อยากให้เจ้าไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักหน่อย…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตัวแข็งค้างไปทั้งร่าง ไม่ว่องไวอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ให้ถามว่าอย่างไรเจ้าคะ คนที่นายท่านใหญ่จิงต้องการทาบทามให้อี้เกอเอ๋อร์เป็นคุณหนูจากตระกูลใด เหตุใดถึงนึกถึงอี้เกอเอ๋อร์ได้ หญิงสาวของตระกูลนั้นจะเป็นโรคอะไรที่ยากจะเอื้อนเอ่ยหรือไม่ หรือว่านายท่านใหญ่จิงมีเรื่องอะไรต้องการขอร้องผู้อื่นจึงใช้อี้เกอเอ๋อร์ของพวกเราเป็นน้ำใจในการช่วยเหลือผู้อื่น…”
“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลดเสียงลงตำหนิไปครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายท่านใหญ่จิงบอกมาในจดหมายแล้วว่าได้รับการไหว้วานมาจากตระกูลกู้ นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้ไม่อยู่แล้ว ทำให้เรื่องงานแต่งของเหลนชายและเหลนสาวอีกหลายคนต่างล่าช้าออกไป ดังนั้นจึงเขียนจดหมายไปให้สหายเก่า ให้ช่วยมองหาว่ามีบุตรหลานของผู้ใดที่เหมาะสมบ้างหรือไม่ พอดีว่ากูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ผู้นั้นกับอี้เกอเอ๋อร์ของพวกเราอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน นายท่านใหญ่จิงถึงได้นึกถึงพวกเรา เด็กสาวผู้นั้นข้าเองก็เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะเทียบเสาจิ่นไม่ได้ ทว่าเป็นคนฉลาดสุขุม วางตัวเป็น กิริมารยาทเหมาะสม ความจริงแล้วนี่ก็ไม่เป็นไร เพียงกล่าวเรื่องนี้กับนายท่านใหญ่จิงให้เข้าใจก็ได้แล้ว แต่สิ่งที่น่าลำบากใจก็คือนายท่านใหญ่จิงเอ่ยทาบทามเรื่องนี้กับตระกูลกู้ไปเรียบร้อยแล้ว”
“นี่จะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนร้อนใจจนอยู่ไม่สุข “พวกเรากับตระกูลกู้อาศัยอยู่จินหลิงเหมือนกัน ต่อให้เงยหน้าไม่เจอกันก้มหน้าก็ต้องพบหน้ากันอยู่ดี นี่หากว่าปฏิเสธการทาบทามกับตระกูลกู้ไป ต่อไปเวลาเจอคนของตระกูลกู้ข้าจะพูดอย่างไรดี!”
“เป็นเช่นนั้น!” ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกังวลใจก็เป็นด้วยเรื่องนี้ “ข้าให้คนไปสืบมาแล้ว บอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนฮูหยินใหญ่กู้ยังพาคุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดและคุณหนูกู้ที่สิบแปดมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่เลย เหตุใดเพียงพริบตาเดียวนายท่านใหญ่จิงก็รับปากเรื่องการทาบทามนี้ไปแล้ว…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจทำอะไรกันแน่
นางได้ประโยชน์อะไรจากการทำลายงานแต่งของโจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้กัน?
เสาจิ่นเด็กผู้นั้นหน้าตางดงามมาตั้งแต่เด็ก หรือว่าจะมีคนมาชอบเด็กผู้นั้น?
แต่นี่ก็ไม่ถูกต้อง
เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นมีโจวเจิ้นเป็นผู้ตัดสินใจ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ ก็ยังต้องให้โจวเจิ้นอนุญาตถึงจะกระทำได้
แม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยความร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รอให้ถึงเวลารับประทานอาหารเย็น ก็ขอตัวไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้มาขอให้ข้าเป็นแม่สื่อให้เด็กสองคน ข้ายังบอกไปว่าข้าอายุมากแล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปไหนสักเท่าไร จึงไม่ค่อยรู้จักบุตรหลานของบรรดาสหายเก่าทั้งหลายแล้ว ก็เลยปฏิเสธเรื่องนี้ไป แล้วเหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะไปสืบข่าวดูก่อน”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถึงได้วางใจลงมา เอ่ยขึ้นว่า “ทางด้านของเสาจิ่นรบกวนท่านอย่าเพิ่งบอกนางนะเจ้าคะ”
นางกลัวว่าถ้าโจวเสาจิ่นรู้ว่านายท่านใหญ่จิงตั้งใจจะจับคู่กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กับเฉิงอี้แล้วนางจะเข้าใจผิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า จากนั้นไปหาเฉิงฉือ เอ่ยถามเขาว่า “นี่คงเป็นฝีมือของเจ้ากระมัง”
เฉิงฉือไม่ได้ปิดบัง กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว อนาคตกับเสาจิ่น พวกเขาต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง!”
เกรงว่าเสาจิ่นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเลือกละทิ้งอนาคต!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดไม่ออก
เฉิงฉือยิ้มเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
คาดว่าจวนหลักคงรู้สึกว่างานแต่งระหว่างเฉิงอี้กับโจวเสาจิ่นไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง ถึงได้ตัดสินใจทาบทามกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ให้เฉิงอี้ด้วยตัวเอง
ถึงแม้เฉิงจิงจะเป็นคนที่ใส่ใจดูแลคนในตระกูลเป็นอย่างมาก ทว่าก็มิใช่คนที่ชอบมายุ่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของผู้อื่น
การแต่งงานคือการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นเฉิงจิงจึงต้องเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับตระกูลกู้
นางให้คนไปสืบเรื่องของตระกูลกู้