ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 33 เป็นความลับ
โจวเสาจิ่นเห็นฉากตรงหน้าแล้ว ก็นึกถึงตัวเองในชาติก่อนขึ้นมา
ในเวลานั้นนางช่างเหมือนกับเฉิงเจียนัก ที่ปฏิบัติกับอู๋เป่าจางอย่างไม่ระวังตนเช่นนี้เหมือนกัน
นางขยับออกไปดึงเฉิงเจียเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
เฉิงเจียสลัดอู๋เป่าเจียทิ้งไปในทันที ถามขึ้นอย่างสนใจว่า “เรื่องอะไร?”
โจวเสาจิ่นกล่าว “น้องสาวต่างมารดาของนางนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ครั้งก่อนเกือบทำให้ข้าต้องเดือดร้อนไปแล้ว เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า เจ้าเองก็ระวังตัวเองหน่อย อย่าโดนผู้อื่นขายและยังจะจ่ายเงินให้ผู้อื่นอีกด้วยก็แล้วกัน!”
สิ่งที่เฉิงเจียไม่อยากได้ยินที่สุดคือการที่ผู้อื่นพูดว่านางโง่
นางฉับพลันตั้งใจแน่วแน่ กระทืบเท้าพลางกล่าว “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านางต้องการประจบประแจงข้า ข้าเพียงแค่ไม่ได้เก็บเอานางมาใส่ใจเท่านั้น เป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองเพียงคนเดียว ก็วิ่งมาป่วนถึงตระกูลเฉิง ช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นมีค่ากี่จินกี่เหลี่ยงกันแน่!”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าตนเองได้วางหนามเอาไว้ในใจของเฉิงเจียได้แล้ว ถึงแม้ว่าอู๋เป่าจางจะดีกับเฉิงเจียอีกในภายหลัง แต่เพื่อไม่ให้นางหัวเราะเยาะแล้ว เฉิงเจียย่อมรักษาระยะห่างกับอู๋เป่าจาง
จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีก ตามเฉิงเจียไปสังสรรค์กับพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย
เฉิงเจียวางตัวในบทบาทของพี่สาว ทันใดก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เมื่ออู๋เป่าจางปรากฏตัวตรงหน้าเพื่อพูดคุยด้วย นางก็ทำอย่างขอไปทีไม่ได้กระตือรือร้นอีก
อู๋เป่าจางลอบขมวดคิ้วมุ่น
รอจนกระทั่งเรือนชั้นนอกกล่าวคำอวยพรเสร็จแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น
ที่นั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงและคนอื่นๆ จัดเอาไว้ที่ลานเปิดโล่งด้านหลังเรือนซื่ออี๋ ส่วนที่นั่งของคนอื่นๆ จัดเอาไว้ที่ห้องข้างของเรือนซื่ออี๋
เช่นเดียวกับชาติก่อน เนื่องจากเฉิงเจียนั้นมีนิสัยใจร้อนบุ่มบ่าม ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวแทนของตระกูลเฉิง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ทำหน้าที่เพียงผู้เดียวได้ จำต้องให้โจวชูจิ่นผู้สงบนิ่งและมั่นคงพานางไปต้อนรับและดูแลบรรดาคุณหนูที่มาเป็นแขก ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นถูกจัดให้นั่งอยู่บนที่นั่งเดียวกับต่งซื่อมารดาของเฉิงลู่ และพานชิงถูกจัดให้นั่งอยู่ที่ลานเปิดโล่งด้านหลัง
สีหน้าของเฉิงเจียไม่ค่อยยินดีนัก แต่นางก็ไม่ใช่คนที่รู้จักลำดับความสำคัญ นางอดกลั้นความไม่ยินดีนั้นไว้แล้วคอยดูแลบรรดาคุณหนูกับโจวชูจิ่น ซึ่งในบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมีอู๋เป่าจางอยู่ด้วย
โต๊ะที่โจวเสาจิ่นนั่งนั้นนอกจากต่งซื่อแล้วยังมีหยางซื่อมารดารของเฉิงจวี่และญาติห่างๆ อีกหลายคนของตระกูลเฉิง ทันทีที่หยางซื่อนั่งลงก็ดึงต่งซื่อไปคุยด้วย เมื่อโจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อนที่ตัวเองกับต่งซื่อนั่งเคียงข้างกันแล้ว ก็ย้ายไปนั่งอยู่ที่ๆ เฉียงออกไปทางด้านหน้าของต่งซื่อโดยทันที
เสียงของหยางซื่อดังเข้ามาเป็นระยะ “…ตอนนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ตบลงบนใบหน้าของนาง ตอนนั้นข้าตกใจแทบแย่ รีบเบามือเบาเท้าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ…ข้าไปหาเจ้า แต่เจ้ากลับไม่อยู่ ข้าก็เลยมาคนเดียวลำพัง…เกือบจะมาไม่ทันกล่าวคำอวยพรท่านผู้นำตระกูลแล้ว…เมื่อก่อนได้ยินเพียงว่าพวกเขามีปากเสียงกัน คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้จะถึงขั้นลงไม้ลงมือ หากว่านายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ก็คงจะดี อย่างน้อยก็ยังมีคนเป็นเสาหลัก ตอนนี้นางจะไปพูดกับใครได้? จำต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ใจเต้นตึกๆ อยู่หลายครั้ง
นายท่านใหญ่เวิ่นลงไม้ลงมือกับฮูหยินใหญ่เวิ่นอย่างนั้นหรือ
นางนึกถึงท่าทางของฮูหยินใหญ่เวิ่นเมื่อกี้แล้ว ก็ถอนใจอย่างหดหู่ออกมาครั้งหนึ่ง
ต่งซื่อไม่อยากนั่งคุยกับผู้ที่ชอบนินทาเช่นหยางซื่อ แต่ก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง ถูกหยางซื่อจับเอาไว้คามือ ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดกลั้นอารมณ์ทนฟังนางพูดจนจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้นั่งอยู่ข้างกายแล้ว กลับไปนั่งอยู่ที่ๆ เฉียงออกไปทางด้านหน้าของตนแทน
นางอดไม่ได้ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น
จนกระทั่งงานเลี้ยงเริ่มไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นต่งซื่อก็ลุกขึ้นมา กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เจ้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”
ผู้หญิงมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจบอกกล่าวตรงๆ กับคนอื่นได้ ใครจะรู้ได้ว่า คำว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ นี้หมายถึงอะไรกันแน่?
สายตาของคนอื่นๆ จึงตกไปอยู่บนร่างของต่งซื่อและโจวเสาจิ่น
นี่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชาติที่แล้ว
โจวเสาจิ่นตัดสินใจจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเหมือนเดิมอีก จึงยิ้มอย่างสงบนิ่งราวภูเขาแล้วลุกขึ้นมา
ต่งซื่อรอให้นางมาประคองตนเอง โจวเสาจิ่นนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมมาโดยตลอด และนางเองก็ยินดีที่จะแสดงออกว่ารักใคร่สนิทสนมกับโจวเสาจิ่นต่อหน้าทุกคน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน
นางปรายตามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นก็ยังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ตรงนั้นเช่นเดิม มีท่าทีราวกับบอกว่าข้าจะขยับตัวตามเมื่อท่านขยับตัวแล้ว
ต่งซื่อนึกถึงคำพูดของบุตรชาย คุณหนูรองมีท่าทีไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อน นางขมวดคิ้วมุ่น ลุกขึ้นออกจากงานเลี้ยงไป
โจวเสาจิ่นติดตามอยู่ด้านหลัง ได้ยินคนคุยกันอยู่ด้านหลังว่า “ผู้นี้คือคุณหนูรองจากจวนสี่ผู้นั้นใช่หรือไม่ หน้าตางดงามยิ่งนัก! ดูท่าทางแล้ว มารยาทก็ดียิ่ง เพียงเสียดายที่มารดาเสียไปแล้ว”
สำหรับเรื่องแต่งงาน นี่เป็นจุดอ่อนของนางมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชีวิตนี้
ว่าแต่ชีวิตนี้ นางจะได้แต่งงานอยู่หรือ
นางคิดถึงหลินซื่อเซิ่ง ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา
ถ้าหากว่ามู่อี๋เหนียงแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับครอบครัวของนาง พวกเขาก็จะสามารถเป็นสามีภรรยากันตลอดชีวิต และต่อให้สุดท้ายแล้วตระกูลมู่จะยังโชคร้าย หลินซื่อเซิ่งก็ยังมีตำแหน่งพอที่จะช่วยชีวิตน้องสาวทั้งสามคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนของมู่อี๋เหนียงออกมาได้!
จู่ๆ นางก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
ตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะส่งคนไปสืบเรื่องของหลินซื่อเซิ่งกับตระกูลมู่
อย่างไรก็ตาม จะใช้ให้ใครไปดีนะ?
พูดไปพูดมาแล้ว ท้ายที่สุดก็วนอยู่ในข้อกำจัดที่ว่าไม่มีคนให้ใช้งานได้
เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นมีความคิดว่าอยากจะคุยกับพี่สาวอย่างเป็นจริงเป็นจัง
นางอยากจะเอาสินสอดของตัวเองมาอยู่ในความดูแลของตน อยากจะเลี้ยงดูบ่าวรับใช้ที่สามารถสั่งการได้สักสองสามคน
แต่ว่าพี่สาวจะเข้าใจผิดคิดว่านางนั้นพอเห็นพี่สาวมีสินสอดมากมายคนหามยาวสิบหลี่ก็เลยคิดจะแย่งสินสอดกับพี่สาวหรือไม่
โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมัวแต่คิดเรื่องพวกนี้อยู่ จนเกือบจะชนเข้ากับร่างที่อยู่ๆ ก็หยุดเดินของต่งซื่อที่อยู่ด้านหน้า
“ท่านป้าไป่” นางถามต่งซื่อ “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” สายตากลับมองไปโดยรอบอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
พวกนางยืนอยู่บนโถงทางเดินระหว่างเรือนซื่ออี๋กับลานเปิดโล่งพอดี ทิศใต้เป็นห้องข้าง ทิศเหนือเป็นลานเปิดโล่ง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นห้องสุขา และทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระเบียงหมู่ตัน
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้น “ท่านจะไปที่ไหนหรือเจ้าคะ”
ต่งซื่อไม่ตอบอะไร เพ่งพินิจไปที่นางครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นอย่างมีความนัยแฝงว่า “เสาจิ่น ป้าเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย มีเพียงพี่ชายลู่ของเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียว ที่ผ่านมาจึงมองเจ้าเป็นเสมือนบุตรสาวของตัวเองมาโดยตลอด เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่ามีคนพูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่ ทำไมช่วงนี้เจ้าถึงไม่ค่อยไปเยี่ยมป้าเลย”
ตนเองไปเยี่ยมนางบ่อยๆ อย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ค่อนแคะนางอยู่ในใจ
ถึงแม้ว่าในชาติก่อนนางจะมีใจปรารถนาอยากจะแต่งงานกับเฉิงลู่ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ลดคุณค่าตัวเองเช่นนี้ โดยเฉพาะในชาตินี้ที่ความปรารถนาสูงสุดของนางคือไม่ต้องพบเจอกับเฉิงลู่อีก แม้จะเป็นการเจอกันแบบไกลๆ เท่านั้นก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าต่งซื่อกำลังทำตัวเป็นสื่อกลางให้เฉิงลู่!
ตนเองนั้นยังเด็กไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่นางเป็นถึงนายหญิงของบ้าน เป็นภรรยาที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน เป็นไปได้หรือที่นางจะไม่รู้ว่าเรื่องแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการจัดการของบิดามารดาและการเจรจาผ่านพ่อสื่อแม่สื่อ?
พูดไปพูดมา ก็คือกำลังเอาเปรียบนางที่ยังเป็นเด็กและไม่มีมารดาคอยแนะนำสั่งสอน ล่อลวงให้นางตอบรับเฉิงลู่อย่างลับๆ นั่นเอง
เมื่อไม่ได้คาดหวังในตัวเฉิงลู่เหมือนในชาติก่อน นางจึงไม่ได้ปิดหูปิดตาตัวเองเหมือนในชาติที่แล้ว ความคิดของต่งซื่อ ความชั่วร้ายของเฉิงลู่ ตอนนี้ได้ถูกกางออกมาให้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ เปิดเผยทุกรายละเอียดออกมาหมดแล้ว
นางเก็บความเข้าใจเอาไว้แล้วแสร้งทำเป็นงุนงง ยิ้มพลางกล่าว “ท่านป้าพูดอะไรเจ้าคะ ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ! ทุกๆ วัน นอกจากจะต้องไปเรียนหนังสือกับเฉินต้าเหนียงแล้ว ทุกๆ สองวันยังต้องเรียนงานเย็บปักกับเฉินเหนียงจื่อกว่าครึ่งค่อนวัน และทุกๆ วันห้าวันก็ต้องเรียนดีดพิณกับหลิ่วเซียนเซิงอีกสองชั่วยาม ช่วงนี้เป็นเพราะช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรม แม้แต่ชั้นเรียนของเฉินเหนียงจื่อและของหลิ่วเซียนเซิงยังต้องพักเอาไว้ก่อน เช่นนั้นแล้วจะมีเวลาว่างไปเยี่ยมท่านที่จวนได้อย่างไรเจ้าคะ”
ต่งซื่อจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ได้อย่างไร นางได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงขึ้น แต่เพื่ออนาคตของบุตรชายแล้ว นางจึงจำต้องกล้ำกลืนบากหน้ากล่าวไปว่า “เด็กโง่ เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของป้า” ขณะที่นางพูดก็หมายจะไปดึงมือของโจวเสาจิ่น ทว่ากลับถูกโจวเสาจิ่นที่เฝ้ามองนางอยู่ตลอดเห็นเสียก่อน จึงแสร้งเอามือไปจัดผม หลบหลีกไปได้ มือของต่งซื่อจึงตกอยู่กลางอากาศ รอยยิ้มของนางดูเคอะเขินเล็กน้อย แต่นางยังคงกัดฟันกล่าวต่อไปว่า “ในบรรดาเด็กสาวเหล่านี้ ข้าชื่นชอบเจ้ามากที่สุด ไม่เพียงนิสัยดีและกตัญญู ยังรู้ความและเชื่อฟัง อายุก็ไล่เลี่ยกันกับลู่เกอเอ๋อร์ของข้า เป็นคู่ที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เดิมทีข้าคิดว่าจะรอให้พี่สาวของเจ้าแต่งงานออกไปก่อน จากนั้นค่อยไปคุยกับนายหญิงผู้เฒ่ากวนอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าทางตระกูลเลี่ยวต้องไว้ทุกข์ จึงยังไม่สะดวกเอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้าได้ยินมาว่ามารดาเลี้ยงของเจ้ายังไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวเลยสักคน นางไม่กลับมากราบไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเดิมเลยหรือ ท้ายที่สุดแล้วบิดาของเจ้าก็เป็นบุรุษ ไม่ละเอียดลออเท่าผู้หญิง เจ้าควรจะลองกล่าวย้ำกับบิดาของเจ้าถึงจะถูก เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเชิญมารดาเลี้ยงของเจ้ามานั่งคุยกันที่จวนของข้า”
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมนัก ทว่าใครได้ยินก็ต้องรู้สึกได้ว่าต่งซื่อกำลังสู่ขอนางอยู่ แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว กลับพบว่าไม่ได้กล่าวถึงคำว่าต้องการดองกับตระกูลโจวเลยสักคำ
ช่างเป็นการวางแผนเอาไว้แล้วอย่างดีจริงๆ!
โจวเสาจิ่นโกรธจนมือเท้าสั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะบังคับไม่ให้เสียการควบคุมตัวเอง กล่าวขึ้น “เรื่องภายในเรือนเป็นพี่สาวของข้าจัดการมาโดยตลอด เรื่องพวกนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก หรือไม่ ให้ข้าช่วยถามพี่สาวให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นเด็กสาวผู้เข้มงวดกวดกันราวกับเข็มที่ซ่อนอยู่ในเนื้อผ้าผู้นั้น หากให้นางรู้เรื่องเข้า คงจะต้องหาวิธีมาตอกหน้าของตนเองเป็นแน่!
ต่งซื่อรีบกล่าว “ไม่ต้องๆ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หากว่าเจ้าเอาไปถามพี่สาวแทนข้าจริงๆ ไม่แน่ว่าพี่สาวของเจ้าอาจจะคิดว่าป้าเป็นพวกปากหอยปากปูก็เป็นได้!” พอกล่าวจบแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงการพูดของตัวเองร้อนรนจนเกินไป ดูค่อนข้างขี้ขลาด จึงรู้สึกทั้งเสียใจและขุ่นเคืองไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่า “เจ้าช่วยไปถามให้ข้าหน่อยก็ได้!”
โจวเสาจิ่นยิ้มเยาะอยู่ในใจ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ได้เจ้าค่ะ! ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ถามพี่สาวของข้าไม่สู้ถามท่านยายจะดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะทุกๆ ครึ่งเดือนท่านพ่อของข้าจะเขียนจดหมายกลับมาหาท่านยายฉบับหนึ่ง สถานการณ์ของทางท่านพ่อของข้า ท่านยายของข้ารู้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็หมุนตัวหันไปทางลานเปิดโล่ง
ต่งซื่อตกใจกลัวจนตัวชา รีบดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้
“วันนี้มีแขกคนสำคัญมากมายขนาดนี้ จะพูดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร” นางคิดไม่ถึงมาก่อนว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ นางครุ่นคิด หรือว่าโจวเสาจิ่นกำลังเลื่อยขาของนางอยู่ แต่ก็คิดว่าโจวเสาจิ่นไม่น่าจะฉลาดหลักแหลมได้ขนาดนี้ “ถ้าท่านยายของเจ้าเป็นผู้ที่รู้เรื่องของทางฝั่งท่านพ่อของเจ้าดีที่สุด เช่นนั้นรอให้ผ่านวันมหาวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลไปก่อน แล้วข้าค่อยไปถามท่านยายของเจ้าด้วยตัวเองดีกว่า”
โจวเสาจิ่นเพียงต้องการทำให้นางตกใจกลัว เพื่อไม่ให้นางมารบเร้าตนอีกเท่านั้น ให้ไปพูดเรื่องนี้กับท่านยายในเวลานี้ ต่อให้ต่งซื่อยอมเสียหน้าได้ แต่นางยอมเสียหน้าไม่ได้เป็นอันขาด!
นางจึงใช้โอกาสนี้หยุดเท้าลง ยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ รอให้วันไหนที่ท่านป้าไป่มีเวลาว่างค่อยไปถามท่านยายด้วยตัวเองก็ดีเหมือนกัน”
“ใช่ๆ” ต่งซื่อพยักหน้าไม่หยุด เสื้อคลุมชุ่มไปด้วยเหงื่อ
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “ท่านป้าไป่ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ แล้วนี่ต้องการจะไปที่ใด”
นางยังจะพูดอะไรได้อีก?
ต่งซื่อใช้โอกาสนี้เป็นทางลงให้ตัวเอง กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการไปห้องสุขา” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงยังคงแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อยเช่นเดิม แต่ก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยแล้ว
เมื่อก่อนตนเองเป็นคนที่พูดง่ายเกินไปแล้ว!
โจวเสาจิ่นคิด ต่อไปนางจะไม่ยอมให้คนมายุยงปลุกปั่นจนแบนราบเหมือนอย่างในชาติที่แล้วได้อีก
“ข้าไม่เข้าห้องสุขาเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “เช่นนั้นข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ!”
ต่งซื่อชะงักงัน มองใบหน้าที่สงบไม่ไหวติงของโจวเสาจิ่น นึกถึงคำพูดที่โจวเสาจิ่นเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ นางรู้สึกอยู่ลางๆ ว่า ต่อไปหากคิดจะกระทำกับโจวเสาจิ่นดังเช่นเมื่อก่อนอีก เกรงว่าคงจะไม่ง่ายอีกแล้ว!
เช่นนั้นเรื่องแต่งงานของบุตรชายจะทำอย่างไรดี?
ถึงแม้ว่าตระกูลเฉิงจะมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตา แต่ว่าบุตรชายที่มีวิสัยทัศน์และอนาคตไกลก็มีอยู่มาก โอกาสจะหมุนมาถึงบุตรชายของตนเองได้อย่างไร
บุตรเขยก็ถือได้ว่าเป็นบุตรชายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่พ่อภรรยานั้นกลับไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีสามีของพี่สาวที่มีอำนาจ…ครอบครัวที่สามารถพึ่งพาสถานะครอบครัวของพวกเขาได้เช่นนี้หาได้ไม่ง่ายนัก!