ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 349 ผิดหวัง
“แต่เจียซ่านยังคงชอบเสาจิ่นจนหมดหัวใจ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยากฟังหยวนซื่อเถียงข้างๆ คูๆ อีก จึงกล่าวต่อทันทีว่า “แต่เจ้านั้นเพื่อให้เจียซ่านอ่านตำราเตรียมตัวสอบอย่างสบายใจ จึงโกหกเขา บอกว่าขอเพียงเขาตั้งใจสอบให้ได้อันดับที่ดี แล้วเจ้าจะช่วยสู่ขอเสาจิ่นให้เขาใช่หรือไม่”
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจียซ่านได้รับตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้วจึงไปตามตื๊อเสาจิ่น…
หยวนซื่อยังแก้ตัวให้กับการกระทำของตนเองไปอย่างน้ำขุ่นๆ ว่า “อันที่จริงข้าก็ตั้งใจจะช่วยสู่ขอเสาจิ่นให้เจียซ่านนะเจ้าคะ แต่เรื่องแต่งงานกับตระกูลหมิ่นได้คุยกันเอาไว้นานแล้ว แต่ก่อนตระกูลหมิ่นเป็นฝ่ายถ่วงเวลามาตลอด ใครจะรู้ว่าพอเจียซ่านสอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้วคนของตระกูลหมิ่นจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนก่อน ยอมลดตัวลงมาถึงเพียงนั้น ข้ากลัวว่าตระกูลหมิ่นจะคิดว่าเจียซ่านสอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้วทะนงตัวขึ้นมา ดูถูกตระกูลหมิ่น ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองโดยไร้สาเหตุ ตอนนั้นข้าจึงมิอาจปฏิเสธตรงๆ ได้เหมือนกัน อยากจะวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอให้ข้ากลับจิงเฉิงแล้วค่อยว่ากันใหม่ นึกไม่ถึงเลยว่านายท่านสามของตระกูลหมิ่นจะไปหานายท่านใหญ่ของพวกเราเพื่อหารือเรื่องนี้โดยตรง นายท่านใหญ่วันๆ เอาแต่ยุ่งอยู่กับการงานในราชสำนัก ไหนเลยจะรู้เรื่องต่างๆ ภายในเรือนชั้นใน คิดว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองตระกูลได้ทำการสัญญาด้วยวาจากันไว้แล้ว จึงตอบตกลงไปทันที ข้าอยู่ที่จินหลิง กว่าจะได้รับจดหมายก็สายเกินไปเสียแล้ว จึงยิ่งไม่กล้าบอกท่านแม่เข้าไปใหญ่…”
ฮูหยินผู้เฒ่กัวตบหน้าหยวนซื่ออีกครั้ง
“ท่านแม่!” หยวนซื่อไม่นึกไม่ฝันว่าตนจะถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบหน้าติดๆ กันถึงสองครั้ง
นางเอามือกุมใบหน้า มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างตกตะลึง นัยน์ตาแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา
“คนไร้ซึ่งสัจจะก็ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ แม้แต่คนทำมาค้าขายในตลาดเหล่านั้นยังรู้ เปล่าประโยชน์ที่เจ้าเป็นถึงผู้มีการศึกษาผู้หนึ่ง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโมโหจัด กล่าวขึ้นอีกว่า “ความรู้ที่เจ้าเรียนมาไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้วหรือ! จนถึงตอนนี้ก็ยังมีหน้ามาโกหกข้าอีก หรือเจ้าคิดว่าผู้อื่นเป็นคนโง่กันหมด มีแต่เจ้าที่เป็นคนฉลาดหรืออย่างไร! ไม่รู้ว่าใครอบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่เจ้า! หากว่าเจ้าไม่ชอบโจวเสาจิ่น ก็บอกไปตามตรงว่าไม่ชอบก็พอแล้ว เหตุใดถึงต้องไปโกหกเจียซ่านด้วย! ต่อให้เขาไม่พอใจอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เขาอายุยังน้อย สอบครั้งนี้ไม่ผ่าน ก็ยังมีการสอบครั้งหน้าอยู่ เจ้ากลับใจร้อนอดทนรอไม่ได้ เพื่อให้บุตรชายของตนสอบผ่านได้มีชื่อขึ้นบนกระดานแล้ว เล่ห์เพทุบายสกปรกอะไรก็ควักออกมาใช้ทั้งหมด เจียซ่านเป็นบุตรชายของเจ้า มิใช่เครื่องมือให้เจ้าได้ไปถึงเป้าหมายของเจ้า! ปากเจ้าพร่ำบอกว่ารักบุตรชาย นี่หรือคือความรักของเจ้า เจ้าเป็นคน มีอารมณ์ความรู้สึก แล้วบุตรชายของเจ้ามิใช่คนหรือ เจ้าให้เขาชอบผู้ใดเขาก็ต้องชอบผู้นั้น เจ้าให้เขาแต่งงานกับผู้ใดเขาก็ต้องแต่งงานกับผู้นั้นอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยบังคับเจ้ากับเจ้าใหญ่เล่า ตอนนี้ปล่อยให้ผู้อื่นมีช่องทางมาแสวงหาผลประโยชน์ ทว่าเจ้ากลับยังคงเอาแต่กล่าวโทษเสาจิ่น…
…ถ้อยคำเหยียดหยามเสาจิ่นเหล่านั้น เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร…
…กรรมที่เจ้าก่อ ยังต้องให้เสาจิ่นไปรับแทนเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ…
…เจ้าเองก็เป็นอิสตรีเหมือนกัน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้อยคำและการกระทำเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อเด็กสาวคนนั้นเช่นไรบ้าง…
…เป็นเพราะข้าไม่รู้ว่าในเรื่องนี้ยังมีเรื่องที่เจียซ่านถูกหลอกอยู่ด้วย หากว่าข้ารู้ ข้าก็คงตบเจ้าตั้งแต่อยู่ที่โพรงหินนั้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าว่าต่อให้ข้าตบหน้าเจ้าไป ก็คงจะตบให้เจ้าสำนึกไม่ได้อยู่ดี จวบจนตอนนี้เจ้ายังคิดว่าตนเองไม่ผิดอยู่เลย…” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูด ก็เผยสีหน้าอ่อนล้าออกมา กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พูดไปก็เท่านั้น นับแต่นี้ไป เรื่องของเจียซ่านเจ้าไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไปถึงถงเซียงและบอกท่านลุงของเจ้าให้ชัดเจนด้วยตนเอง ถึงแม้ตระกูลเฉิงของพวกเราจะไม่เคยมีประวัติการหย่าร้างภรรยามาก่อน แต่สะใภ้ของทายาทสายตรงคนโตที่ไม่เข้าใจเหตุผลแล้วถูกส่งตัวไปสำนึกผิดในวัด ก็เคยปรากฏมาก่อน”
หยวนซื่อคุกเข่าลงต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวดัง ตึง
นางจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นนางเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฉิงจิงกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้มีปากเสียงกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เฉิงจิงคุกเข่าสำนึกผิดในลานบ้าน วันนั้นหิมะตกลงมาอย่างหนัก ทับถมกันจนสูงถึงสองชุ่น เฉิงจิงไม่ยอมรับผิด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้พูดถึงอีกเช่นกัน… จนถึงทุกวันนี้ ยามที่ฟ้าอากาศแปรปรวน เข่าของเฉิงจิงก็ยังคงมีอาการปวดอยู่บ้างเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนที่พูดจริงทำจริงคนหนึ่ง!
แม้กระทั่งบุตรชายของตน นางก็ยังโหดเหี้ยมพอที่จะลงโทษ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นบุตรสะใภ้คนหนึ่งเล่า
“ท่านแม่ ข้าสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ! ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ครั้งนี้ท่านอภัยให้ข้าด้วยเถิด!” นางกอดขาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ครวญครางอ้อนวอนอย่างขมขื่น “ต่อไปข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง… เจียซ่านเป็นเจี้ยหยวนแล้ว พยายามอีกสักหน่อย ด้วยอายุของเขา อาจจะได้เป็นทั่นฮวาคนหนึ่ง หากว่าโชคดี บางทีอาจจะเป็นถึงจ้วงหยวนคนหนึ่งเลยก็เป็นได้ ผู้ที่สอบได้อันดับที่หนึ่งในการสอบขุนนางทั้งสามระดับ ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ปัจจุบันจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีสักคนหนึ่งที่คว้าเกียรติยศนั้นได้ ท่านแม่ เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ขอเพียงท่านให้ข้าทำเรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าจะซาบซึ้งบุญคุณของท่านไปชั่วชีวิต…”
ฮูหยนผู้เฒ่ากัวใช้ขาข้างหนึ่งถีบหน้าอกของหยวนซื่อ
“ไสหัวไป! เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเบาๆ ทว่ามือที่กดลงบนโต๊ะน้ำชากลับมีเส้นเลือดปูดโปนออกมา “อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!”
“ท่านแม่!” หยวนซื่อถูกถีบจนเจ็บหน้าอกไปหมดแต่ก็ยังไม่กล้าปล่อยมือที่กอดขาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ออก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธเกรี้ยว ตะโกนบอกสื่อมามาเสียงดังว่า “ลากนางออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแม่!” หยวนซื่อไม่ยอมปล่อยมือ ดวงหน้าอาบไปด้วยน้ำตา “ข้าจะไม่ขอร้องอะไรอีก ขอเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธจัดจนแสยะยิ้มออกมา กล่าวว่า “ข้าจะให้เจ้าใหญ่รับอนุภรรยาคนหนึ่ง แล้วให้กำเนิดบุตรชายสายรองอีกคนหนึ่ง จากนั้นข้าจะเลี้ยงดูเขาในเรือนจนเติบใหญ่ เจ้ายอมหรือไม่”
หยวนซื่อตะลึงงัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นเสียงกล่าวอีกว่า “บุตรชายคนนี้เป็นบุตรของเจ้า! แต่ข้ามิอาจปล่อยให้จวนหลักขาดคนจุดธูปกราบไหว้บรรพชนได้ ให้เจ้าใหญ่กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่งให้แก่ตระกูลเฉิง เช่นนี้เจ้ายอมหรือไม่”
“ไม่เจ้าคะๆ ๆ…” หยวนซื่อส่ายศีรษะ ในใจยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าถ้อยคำใดควรพูดหรือมิควรพูด “ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ…ข้าไม่ยอม…”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวคลายลงมา กล่าวเสียงค่อยว่า “เจ้าตามสื่อมามาออกไปเสียแต่ตอนนี้ยังพอจะเหลือเกียรติอยู่บ้าง หากรอให้ข้าเรียกบ่าวหญิงสำหรับใช้งานหนักมาลากตัวเจ้าออกไปแล้ว เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าก็แล้วกัน…”
แต่ข้ามิอาจยกบุตรชายให้ท่านได้!
อีกไม่นานเขาก็จะประสบความสำเร็จแล้ว
ข้าตรากตรำเลี้ยงดูบุตรชายมาสิบกว่าปี มิอาจปล่อยมือไปง่ายๆ เช่นนี้ได้!
หยวนซื่อยังอยากจะเถียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ ทว่าสื่อมามากลับเข้ามาประคองตัวหยวนซื่อขึ้น ด้านหนึ่งก็กึ่งพยุงนางออกไปข้างนอก อีกด้านหนึ่งก็กระซิบข้างหูนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังบันดาลโทสะอยู่ ฮูหยินท่านก็สงบปากสงบคำสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ มีเรื่องอะไรก็รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าคลายโทสะแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่า ท่านแต่งเข้ามาเกือบจะสามสิบปีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ามีอุปนิสัยเช่นไร ท่านยังไม่รู้อีกหรือ นอกจากนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยังมีนายท่านใหญ่อยู่ด้วยมิใช่หรือเจ้าคะ”
จริงด้วย!
ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ยิ่งเจ้าโอนอ่อนตามนางนางก็ยิ่งใจกว้าง แต่หากเจ้ายิ่งไปประจันหน้านางนางก็ยิ่งแข็งกร้าว
นายท่านใหญ่ มีเพียงนายท่านใหญ่ผู้เดียวที่จะช่วยนางได้…
หยวนซื่อเดินซวนเซออกมาจากห้องชั้นในพร้อมกับสื่อมามา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาตามลำพังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หมุนกายมาหมายจะห่มผ้าห่มให้เฉิงสวี่ดีๆ แต่กลับพบว่าดวงตาของเฉิงสวี่กำลังเบิกกว้างอยู่ ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
หลานชายคงจะเห็นฉากตอนที่ตนสั่งสอนบุตรสะใภ้ไปแล้วกระมัง ต่อไปบุตรสะใภ้จะไม่เหลือความน่าเกรงขามต่อหน้าหลานชายหรือไม่นะ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
“เจ้าตื่นแล้วหรือ!” นางพยายามรักษาหน้าให้หยวนซื่อ กล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าคุยกับมารดาของเจ้าแล้ว จากนี้ไปเจ้ามาอยู่กับข้าสักระยะหนึ่ง มารดาของเจ้ายังต้องยุ่งกับการงานต่างๆ ในเรือน…”
“ข้าได้ยินหมดแล้วขอรับ!” เฉิงสวี่พูดแทรกฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมา พลางมองนางด้วยสายตารุนแรง “ท่านก็ไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเหมือนกันใช่หรือไม่ขอรับ เช่นนั้นท่านช่วยข้าด้วยเถิด! ข้าอยากแต่งกับเสาจิ่น คนที่ข้าชอบคือเสาจิ่น… เสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่เติบโตอยู่ในเรือนของท่าน อุปนิสัยของนางท่านรู้ดีที่สุด… นอกจากนี้นางยังอ่อนโยนและจริงใจ มีการศึกษาและดุลพินิจที่ดี ทั้งยังมีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกด้าน หลานอยากจะแต่งกับภรรยาเช่นนี้… ข้าไม่อยากแต่งกับหญิงสาวที่เอาแต่จ้องมองการสอบเข้าราชสำนักและตำแหน่งหน้าที่การงานของข้าตลอดเวลา… ท่านย่า ท่านช่วยข้าด้วยเถิดนะขอรับ! เรื่องนี้นอกจากท่านแล้ว ผู้ใดก็ช่วยข้าไม่ได้แล้ว! ต่อไปข้าจะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อท่านเป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยกยิ้มขึ้นมา
ถ้อยคำเหล่านี้ช่างเหมือนกับถ้อยคำของหยวนซื่อเมื่อครู่เหลือเกิน!
นี่คือทายาทผู้นำตระกูลในอนาคตของซอยจิ่วหรูของพวกเขา!
นี่คือที่พึ่งในภายภาคหน้าของตระกูลเฉิงของพวกเขา!
ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก แม้แต่การโมโหยังเป็นการเปลืองแรงเปล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจียซ่าน ข้าช่วยเจ้าไม่ได้!”
เฉิงสวี่เบิกดวงตากลมโต
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันหวนนึกถึงตอนที่เขาเป็นเด็กขึ้นมา วันที่อากาศร้อนมากนั้น เขาจะงอแงอยากกินน้ำแกงถั่วเขียวใส่น้ำแข็ง หากนางไม่อนุญาตให้แม่นมทำให้เขากิน เขาก็จะเบิกดวงตากลมโตเช่นนี้และจ้องมองนาง
เขายังคงเป็นแค่เด็กหนึ่งอยู่นี่นา!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกใจอ่อน อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจียซ่าน ครั้งหนึ่งเสาจิ่นเคยมาฟ้องข้าว่า เจ้าไปกวนใจนางอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าแม่ของเจ้าจะไปสู่ขอนางให้เจ้า ดังนั้นเจ้าถึงได้ไปหานางใช่หรือไม่”
เฉิงสวี่สัมผัสได้ว่าท่าทีของท่านย่าโอนอ่อนลงแล้ว เขาจึงอยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้ รีบกล่าวขึ้นว่า “มิใช่ขอรับ ข้ารู้ว่าท่านแม่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น ดังนั้นถึงได้ไปหาเสาจิ่น ข้าอยากรู้ว่านางชอบข้าเหมือนกันหรือไม่ หากว่านางก็ชอบข้าเหมือนกัน ข้าย่อมจะไปขอร้องท่านแม่อย่างแน่นอน ขอให้ท่านแม่ช่วยพวกเรา ถ้าหากท่านแม่ไม่ยินยอม ข้าก็จะไปขอร้องนายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่ ขอร้องท่านย่าและใต้เท้าโจวขอรับ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “แต่ตอนนี้ เจ้าโดนเสาจิ่นทุบตีไปคำรบหนึ่ง ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังชอบนางอยู่ และยังปรารถนาจะแต่งงานกับนางอยู่ ใช่หรือไม่”
หากท่านย่าคิดว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนทุบตีเขา ต่อให้วันหนึ่งโจวเสาจิ่นจะได้แต่งเข้ามา ท่านย่าก็คงจะไม่โปรดปรานนาง
เฉิงสวี่ไม่อยากให้โจวเสาจิ่นได้รับความไม่เป็นธรรม จึงรีบตอบไปว่า “ท่านย่า ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ เป็นข้าที่ดื่มสุรามากไป เผลอพูดในสิ่งที่มิควรพูด เป็นคนข้างกายเสาจิ่นที่ทุบตีข้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดตัดบทเฉิงสวี่ขึ้นมา เอ่ยถามอีกครั้งอย่างใจเย็นว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ยังปรารถนาจะแต่งงานกับเสาจิ่นอยู่ ใช่หรือไม่”
เฉิงสวี่ตอบว่า “ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวว่า “แต่ถ้าข้าเป็นเจ้า หากชื่นชอบคนผู้หนึ่งมากถึงเพียงนี้ เรื่องที่นางชอบข้าหรือไม่นั้นจะสำคัญอะไร เหตุใดถึงต้องถามความเห็นชอบจากนางก่อนแล้วค่อยไปขอร้องผู้หลักผู้ใหญ่ด้วย? เรื่องของข้า ข้าจัดการคนเดียวก็พอ! ข้าจะบอกมารดาให้ชัดเจนว่า นอกจากโจวเสาจิ่นแล้ว ข้าจะไม่แต่งกับหญิงอื่นเป็นอันขาด หากมารดายืนกรานจะให้ข้าแต่งงานกับตระกูลหมิ่น ตอนที่ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่โผล่หน้าออกไป จากนั้นจะไปหาบิดา บอกเรื่องการตัดสินใจของตนเองให้เขาทราบอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากเขาเองก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ข้าก็จะไปสู่ขอกับตระกูลโจวถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง… ใต้เท้าโจวจะตอบตกลงหรือไม่ มารดาจะเห็นด้วยหรือไม่ ข้าจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คนที่ข้าชอบ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ถ้าหากทำอะไรไม่ถูกต้อง นั่นก็เป็นความผิดของข้า ถ้าหากต้องกลายเป็นที่น่าขบขัน ผู้อื่นก็เพียงหัวเราะเยาะข้าเท่านั้น ขอเพียงข้าแสดงความจริงใจออกมา บอกคนผู้นั้นว่า ข้าชอบเจ้า เพื่อเจ้าแล้ว ข้ายอมทำทุกอย่างแม้จะต้องถูกผู้อื่นเย้ยหยัน หรือเป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมก็ตาม…ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ เมื่อข้าแก่ชราไป ยามที่ข้าย้อนนึกถึงเรื่องนี้ ข้าก็รู้ว่าตนได้พยายามสุดความสามารถแล้ว แม้จะรู้สึกเสียดายบ้าง แต่ก็จะไม่เสียใจ…
…เจียซ่าน เจ้าทำได้หรือไม่…
…เพื่อคนที่เจ้ารัก เจ้าทำได้หรือไม่”
นัยน์ตาของเฉิงสวี่มีความชื่นชมยินดีพวยพุ่งออกมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า ท่านต้องการให้ข้าไปขอร้องใต้เท้าโจวใช่หรือไม่ขอรับ”
………………………………………………………………….