ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 35 ช่วยเหลือ
เฉิงสวี่กลับรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า ข้าไม่ได้จะทำเสียงดังโหวกเหวก ข้ามาหาน้องสาวรองตระกูลโจวเพราะมีเรื่องจริงๆ ขอรับ!”
เขามีรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา พร้อมทั้งใบหน้าที่ดูเอื้ออารี ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เจ้าก็ไม่น่าจะลงไม้กับเด็กโดยที่ยังไม่ได้สอบถามว่าอะไรถูกอะไรผิด น่าจะฟังดูหน่อยว่าเด็กจะพูดว่าอย่างไรก่อนดีหรือไม่”
ลูกหลานบ้านใคร ก็เป็นคนนั้นที่เจ็บปวด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชื่อว่าที่เฉิงสวี่ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร การที่เขาทำเช่นนี้ก็ค่อนข้างจะมุทะลุไปหน่อย หากต้องถูกผู้อื่นครหา ไม่สู้ถูกผู้ใหญ่ในบ้านของตนตำหนิครั้งหนึ่งยังจะดีเสียกว่า เปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนคนที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่พึงพอใจต่อการกระทำของเฉิงสวี่เหล่านั้นก็จะได้ไม่อาจพูดอะไรได้อีก
นี่คือเหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะคอกเสียงดังใส่เฉิงสวี่ต่อหน้าสาธารณะชนทุกคน กล่าวคือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำเพื่อปกป้องเฉิงสวี่นั่นเอง แต่ถึงแม้ว่าไม่ได้พูดแทนเฉิงสวี่ด้วยคำพูดดีๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ย่อมต้องคิดวิธีเพื่อหาโอกาสให้เฉิงสวี่ได้อธิบายการกระทำของเขาอยู่แล้ว
ย่อมไม่อาจปล่อยให้เฉิงสวี่กระทำตัวเหลาะแหละให้เป็นภาพจำของแขกเหรื่อได้หรอกกระมัง?
ตอนนี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงเต็มใจช่วยพูดให้เฉิงสวี่ มีเหตุผลอะไรที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่รับเอาไว้กัน?
แต่นางไม่ใช่หญิงสาวหรือเด็กที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงออกมาแม้แต่นิดเดียว กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงขอแทนเจ้าเอาไว้ ข้าเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ลงโทษเจ้า ว่าแต่เจ้าต้องการให้น้องสาวรองตระกูลโจวช่วยอะไรอย่างนั้นหรือ”
เฉิงสวี่กล่าวขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พวกข้าหลายคนเล่นเดิมพันกันขอรับ ปรากฏว่าทำตราประทับกวางหมอบของพี่ชายตระกูลกู้ตกเข้าไปในแจกันหรู่เหยา[1]และเอาออกมาไม่ได้ หาบ่าวรับใช้หญิงชายที่ยังเป็นเด็กมาหลายคนแล้ว ก็ยังไม่สามารถเอาออกมาได้ จึงนึกถึงน้องสาวรองตระกูลโจวขอรับ”
ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก รู้สึกว่าเฉิงสวี่ไม่ได้พูดความจริง
สาเหตุที่ตราประทับกวางหมอบของพี่ชายตระกูลกู้ผู้นั้นตกลงไปในแจกันนั้น ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเฉิงสวี่เป็นแน่
แต่เพราะไม่มีหลักฐาน นางจึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาเพื่อพิสูจน์ความจริงได้
สายตาของทุกคนตกมาอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นอีกครั้ง ฮูหยินหลายท่านที่นั่งอยู่ข้างๆ ม่านไข่มุกนั้นต่างหัวเราะขึ้นมา ในบรรดาเหล่านั้นมีฮูหยินสาวสะพรั่งท่านหนึ่งที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้กล่าวขึ้นว่า “โชคดีที่เจ้าคิดได้! สาวน้อยผู้นี้ขาวลออราวหิมะ และบอบบางราวต้นหลิว ถือเป็นตัวช่วยที่ดีผู้หนึ่งจริงๆ”
ทุกคนได้ยินแล้วก็หันไปมองที่ข้อมือของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นหน้าแดงหลบอยู่ด้านหลังของโจวชูจิ่นและซ่อนข้อมือเอาไว้ในแขนเสื้อ
ทว่าฮูหยินชราหลายท่านกลับมีความกังวลอย่างอื่น เช่นฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงที่เมื่อได้ยินแล้วสีหน้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามเฉิงสวี่ว่า “ตราประทับกวางหมอบ คืออันที่องค์ฮ่องเต้ไท่จงพระราชทานให้กู้เซียนเซิงจากพระราชวังจินหลวนในปีนั้นใช่หรือไม่”
เฉิงสวี่ก้มศีรษะลงด้วยความละอาย ขานตอบเสียงเบาว่า “ใช่ขอรับ”
“เจ้าเด็กพวกนี้ ทำไมถึงได้กล้านัก!” ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงร้อนรนจนกระทืบเท้าไม่หยุด “นั่นเป็นของพระราชทาน เป็นหนึ่งในมรดกที่ตกทอดกันมาของตระกูลกู้ พวกเจ้าใช้มันเป็นเครื่องเดิมพันได้อย่างไร”
คนที่รู้จักตราประทับกวางหมอบพระราชทานชิ้นนั้นต่างพยักหน้าตามกัน ส่วนคนที่ไม่รู้จักตราประทับกวางหมอบพระราชทานชิ้นนั้นดูมึนงงเล็กน้อย
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้นั้นคือฮูหยินสาวท่านหนึ่งที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับนาง สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินปักลายภูเขาและลำธาร นางมีผิวขาว ดวงตาโต มารยาทอ่อนหวาน เมื่อเห็นว่ามีคนที่ยังไม่เข้าใจ นางจึงอธิบายเสียงอ่อนโยนว่า “ในปีนั้นที่ทั้งแผ่นดินเพิ่งเริ่มจัดตั้งนั้น องค์ฮ่องเต้ไท่จงได้คัดเลือกผู้มีความสามารถ ทางเจียงหนานเสนอกู้เซียนเซิงเข้าไปที่พระราชวังตะวันออกขององค์ชาย ไปสอน ‘กวีนิพนธ์แห่งขงจื่อ’ ให้กับองค์ไท่จื่อ เหลียงกั๋วกงไปเยี่ยมที่กระท่อมถึงสามครั้งแต่ก็ไม่สามารถเข้าพบได้ องค์ฮ่องเต้ไท่จงไม่มีทางเลือก สั่งราชโองการลงมาเป็นพิเศษให้กู้เซียนเซิงเข้าเมืองหลวง กู้เซียนเซิงในชุดขาวทั้งตัวให้คำตอบกับองค์ฮ่องเต้ที่พระราชวังจินหลวน ตั้งแต่ราชวงค์ปัจจุบันก่อตั้งเป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ยังนับว่าเป็นคนแรก ตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้น แท่นฝนหมึกสิงสาราสัตว์จากตวนซี และจานล้างพู่กันลายภูเขาและลำธาร ทั้งสามสิ่งนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่องค์ฮ่องเต้ไท่จื่อพระราชทานให้ในเวลานั้น”
ทันใดนั้นราวกับมีผึ้งหลายพันตัวบินอยู่ภายในห้อง เสียงหึ่งดังระงมไม่รู้จบ
หยินสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินปักลายภูเขาและลำธารท่านนั้นเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ ยิ้มพลางเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “แจกันหรู่เหยา เกรงว่าจะเป็น ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองไปที่เฉิงสวี่
เฉิงสวี่พยักหน้าเบาๆ พึมพำกล่าวว่า “หากว่าไม่ใช่คนงานใต้จันทราใบนั้น ข้าก็คงจะทุบไปตั้งนานแล้วขอรับ”
มีบางคนถามขึ้น “ฮูหยินเกา ของชิ้นนี้ก็มีประวัติความเป็นมาอะไรด้วยหรือไม่”
ที่แท้ฮูหยินสาวผู้นี้คือฮูหยินของเกาเย่าเจ้าเมืองเมืองเจิ้นเจียงนั่นเอง
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้มองสำรวจไปที่ฮูหยินเกาครั้งหนึ่ง
เห็นฮูหยินเกาผู้นั้นเพียงยิ้มพลางกล่าว “แจกันใบนี้ไม่ได้มีประวัติความเป็นมาอะไร เพียงมีชื่อเรียกเช่นนี้เท่านั้น ข้าได้ยินแล้วก็ชอบยิ่งนัก ดังนั้นจึงจำได้ฝังใจ”
บางคนยิ้มน้อยๆ บางคนกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าแจกันใบนั้นไม่น่าจะธรรมดาเหมือนอย่างที่ฮูหยินเกาได้กล่าวเอาไว้ ไม่เช่นนั้นฮูหยินเกาผู้นั้นจะรู้จักชื่อของแจกันใบนี้ได้อย่างไร
นางลอบเกิดความรู้สึกไม่ดี
ตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้นก็มีค่ายิ่งนักไม่อาจหาอะไรมาเปรียบได้ ส่วนแจกันใบนี้ก็มีประวัติไม่ธรรมดาไม่อาจไห้แตกได้…ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางทำได้เพียงต้องไปกับเฉิงสวี่สักครั้งเท่านั้น!
แต่หากนางยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ จะต่างอะไรกับชาติที่แล้วกัน?
สมองของโจวเสาจิ่นขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นานนางก็คิดแผนได้แผนหนึ่ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!” นางหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ยิ้มพลางเดินออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยขึ้น “เนื่องจากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเชิญพี่ชายสวี่นำแจกันชิ้นนั้นมาที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ลองดูเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชะงักไปเล็กน้อย ท่าทีของฮูหยินเกาและคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง รู้ตัวว่าตนได้พูดอะไรผิดไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้คิดว่าตนนั้นผิดพลาดตรงจุดไหน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “งิ้วก็ใกล้จะเริ่มทำการแสดงแล้ว ที่นี่คงจะวุ่นวายน่าดู เจ้าไปกับพี่ชายสวี่ของเจ้าดูหน่อยเถอะ” ขณะที่พูด นางก็สั่งเฝ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูรอง หากว่าเอาตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้นออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ทุบแจกันชิ้นนั้นเสียก็แล้วกัน”
เฉิงสวี่ตะลึงงัน ร้องเสียงดังว่า “ท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันไปโบกมือให้เขา กล่าวว่า “เรื่องเกิดที่ตระกูลเฉิง ตระกูลเฉิงก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว ไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
“ฮูหยินผู้เฒ่ายุติธรรมยิ่งนัก!” มีเสียงหึ่งดังระงมขึ้นในห้องอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นกลับเห็นฮูหยินเการาวกับปรารถนาจะเอ่ยคำแล้วก็หยุดไป แสดงอาการปวดใจที่ไม่อาจทานทนได้ออกมา
นางจึงยิ่งมั่นใจว่าแจกันใบนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าแจกันใบนี้จะไม่ธรรมดาอย่างไร แต่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้กล่าวเอาไว้แล้ว หากว่าเอาตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้นออกมาไม่ได้จริงๆ นางก็จะไม่อยู่ที่นั่นนานเกินไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแจกันใบนั้นก็ตาม
โจวเสาจิ่นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงขานรับด้วยรอยยิ้ม
โจวชูจิ่นผู้รักน้องสาวอย่างยิ่งมาโดยตลอดนั้นรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของโจวเสาจิ่น นางจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “หรือไม่ให้ข้าไปเพื่อนน้องสาวด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ นางยังเด็กนัก อาจจะทำของแตกโดยไม่ระวังได้เจ้าค่ะ!”
เฉิงเจียได้ยินแล้วก็กระโดดออกมา กล่าวว่า “ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ หากว่าเสาจิ่นเอาออกมาไม่ได้ ข้าอาจจะช่วยเหลือได้เจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างหันไปมองที่ข้อมือของนาง
รู้สึกเพียงว่ามันขาวและลื่นราวไขมัน จับเป็นก้อนแน่นราวไขมันแกะ และกลมมนไม่มีที่ติ
บางคนหัวเราะคิกออกมา
ใบหน้าของเฉิงเจียบูดจนแดงก่ำ
เจียงซื่อรีบกล่าวขึ้นว่า “เจียเอ๋อร์ เจ้าอย่าพูดไร้สาระ! เสาจิ่นไปช่วยพี่ชายสวี่ของเจ้าไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น เจ้าอย่าสร้างปัญหา!” ขณะที่พูดไปด้วย ก็ไปดึงนางด้วยท่าทางที่กลัวว่านางจะสร้างความวุ่นวายต่อไปอีก และกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “เจ้าก็อย่าไปเลย มีเฝ่ยชุ่ยไปเป็นเพื่อนแล้ว เจ้ายังจะกังวลอะไรอีก?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจว่าโจวชูจิ่นนั้นกลัวว่า ถ้าหากไม่สามารถเอาตราประทับกวางหมอบออกมาหรือทำให้แจกันแตกแล้วจะทำให้โจวเสาจิ่นต้องรับภาระ การที่โจวชูจิ่นเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยในการกระทำของตน นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จึงกล่าวกับโจวชูจิ่นต่อจากคำพูดของเจียงซื่อว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”
คนที่ฉลาดอย่างโจวชูจิ่น ย่อมเข้าใจความนัยของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางไหนเลยจะกล้าดึงดันต่อ จึงเพียงยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้ารั้งอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องสาวเจียก็ได้เจ้าค่ะ” แต่ภายในใจยังไม่วางใจ กระซิบบอกโจวเสาจิ่นประโยคหนึ่งว่า “ระวังตัวด้วย”
หากว่าการมองด้วยตาสามารถทำร้ายคนได้ เช่นนั้นบนร่างกายของเฉิงเจียคงจะมีเจ็ดแปดบาดแผลแล้ว
โจวเสาจิ่นอดกลั้นเอาไว้ไม่มองไปที่เฉิงเจียด้วยสายตารังเกียจ
ทำไมเมื่อก่อนนางถึงไม่รู้สึกว่าเฉิงเจียคือคนประเภทที่ชอบทำเสียเรื่องกันนะ?
โจวเสาจิ่นตามเฉิงสวี่ลงจากเรือนไปด้วยใจที่กรุ่นโกรธ
เฉิงสวี่นำทางอยู่ด้านหน้าด้วยอาการสำรวม แม้กระทั่งมีท่าทางที่กลัวว่านางจะกลัว จึงเดินไปด้วยและกล่าวกับนางไปด้วยว่า “พวกข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ พี่ชายกู้ยังไม่รู้ว่าตราประทับนั้นเอาออกมาไม่ได้ ฉะนั้นข้าจึงให้ต้าซูอุ้มแจกันใบนั้นไปรอพวกเราอยู่เรือนฉางชุน”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเรือนฉางชุนที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่คิดที่จะสอบถาม ก้มหน้าลงและเดินตามเฉิงสวี่ไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ทว่าเฉิงสวี่กลับพูดไม่หยุด “เรือนฉางชุนอยู่ไม่ไกลจากเรือนซื่ออี๋ ยังไม่ถึงห้องหนังสือเล็กทิงซงเฟิงฉู่ อยู่ทางด้านตะวันออกของศาลาซานจือ”
โดยปกติโจวเสาจิ่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องทิศทาง หากเขาไม่พูดก็ดีอยู่หรอก แต่พอเขาพูด โจวเสาจิ่นก็ยิ่งไม่รู้จักสถานที่นั้น
นางยังคงไม่ส่งเสียง
ทว่าเฉิงสวี่ที่เดินอยู่ข้างหน้ากลับไม่ได้สังเกต ยังคงกล่าวต่อไปว่า “เจ้ารู้จักศาลาซานจือหรือไม่ ที่นั่นเป็นสถานที่นั่งสมาธิของบรรพบุรุษตระกูลเฉิงของพวกเรา ที่นั่นหนาแน่นไปด้วยมวลดอกไม้ มีลำธารไหลอยู่เอื่อยๆ ต้นไม้เขียวขจี ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะที่ใต้ต้นโพธิ์หน้าลำธารนั้นมีก้อนหินความสูงเท่าคนอยู่ก้อนหนึ่ง สะท้อนเป็นเงาคนกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ ทุกคนต่างพูดกันว่าที่นั่นคือสถานที่ที่บรรพบุรุษตระกูลเฉิงของพวกเรานั่งสมาธิจนบรรลุธรรม เจ้าอยากไปดูหรือไม่”
เขาแนะนำอย่างกระตือรือร้น ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ จึงหันหลังกลับไปมอง กลับเห็นว่าใบหน้าของโจวเสาจิ่นนั้นไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย เดินตามหลังเขาอยู่ห่างๆ โดยที่สายตาไม่วอกแวกไปไหน ไม่รู้ว่าได้ยินคำที่เขาพูดไปหรือไม่
เฉิงสวี่รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก
แต่เมื่อพวกเขาออกจากเรือนซื่ออี๋แล้ว เขาก็ปรับอารมณ์กลับมาใหม่ ยิ้มพลางยืนอยู่บนทางเดินเพื่อรอให้โจวเสาจิ่นเดินใกล้เข้ามา
เมื่อโจวเสาจิ่นเห็นเขาหยุดเดิน ก็หยุดเดินตามเขาไปด้วย
เฉิงสวี่รอสักพักใหญ่แล้วก็ไม่เห็นว่าโจวเสาจิ่นจะเดินมาใกล้เสียที ตอนนี้ถึงเข้าใจเจตนาของนาง เขาอดไม่ได้เบิกตาโตแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าทิ้งระยะกับข้าห่างขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ข้าจะกัดกินเจ้าหรืออย่างไร”
เจ้าคนหน้าไม่อาย!
พูดแต่ละทีมีแต่คำพูดที่ไม่ดี
โจวเสาจิ่นถากถางอยู่ในใจ ไม่มองเฉิงสวี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว หันไปกล่าวกับเฝ่ยชุ่ยว่า “ถึงแม้ว่าอายุข้ายังน้อย ทว่าก็รู้ว่าชายหญิงควรมีระยะห่าง ซึ่งระยะขนาดนี้ดีที่สุด”
เฝ่ยชุ่ยอายุสิบแปดปีแล้ว หากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังดูความคิดของเฉิงสวี่ไม่ออก ทว่าตอนนี้ไม่สามารถแน่ใจมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
นางไหนเลยจะกล้าเข้าไปยุ่งด้วย?
เปล่งเสียงอือออไม่ชัดเจนไปสองสามเสียง ใครก็ฟังได้ไม่ชัดเจนว่านางพูดอะไรกันแน่
เฉิงสวี่โกรธจนพูดอะไรไม่ออก สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
โจวเสาจิ่นเดินตามหลังเขาไปอย่างไม่เร็วและไม่ช้า
ต้นไม้เขียวรอบข้างบดบังพระอาทิตย์เอาไว้ ร่มเงาหนาแน่นทั่วทุกพื้นที่ และมีเสียงนกร้องดังออกมาเป็นระยะๆ
อารมณ์ของเฉิงสวี่ค่อยๆ สงบลง
ทำไมเขาถึงไม่สามารถปล่อยวางเรื่องของโจวเสาจิ่นได้นะ?
นอกจากนางจะเกิดมางดงามแล้ว ยังมี…นางจะดีกับคนที่นางชอบเท่านั้น ดีด้วยจนสุดใจ!
เช่นพี่สาวของนาง เฉิงเจีย นายหญิงผู้เฒ่ากวน ยังมีเฉิงเก้า เฉิงอวี้…ที่ผ่านมานางเป็นคนที่พูดจานุ่มนวลและเชื่อฟังมาโดยตลอด
เดิมทีพวกเขาต่างก็ไม่คุ้นเคยกัน เป็นเขาที่ไปบังคับและเรียกนางออกมา ต่อให้เปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่เป็นคนปกติดีก็อาจจะคิดว่าตนมีพฤติกรรมที่น่ากลัวเช่นกัน ฉะนั้นเขาจะคาดหวังให้นางมองเขาด้วยสีหน้าดีๆ ได้อย่างไรกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของตนเมื่อครู่นี้ไร้มารยาทเกินไปแล้ว และใจแคบเกินไปด้วย
……………………………………………………………………..
[1] แจกันหรู่เหยา เป็นเครื่องปั้นดินเผาจีนที่มีชื่อเสียงและหาได้ยากมาก