ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 378 ขจัดปัดเป่าความเข้าใจผิด
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ
โจวชูจิ่นมองโจวเสาจิ่นด้วยความสงสัยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คนยังไม่ทันได้นั่งนิ่งเลยด้วยซ้ำ เหตุใดท่านน้าฉือถึงเร่งมาหาอย่างกะทันหันได้เล่า”
หากมีเรื่องด่วนอะไร เมื่อครู่คงจะให้เสาจิ่นอยู่รอไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร…หรือเขากลัวว่าเสาจิ่นจะขุ่นเคืองใจ จึงเร่งตามมาอธิบายกับเสาจิ่นอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดขึ้นมาเช่นนั้น โจวชูจิ่นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
นางคิดเช่นนั้นไปได้อย่างไร
นี่ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยแล้วกระมัง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเฉิงฉือเป็นน้าของพวกนาง ต่อให้เป็นสามี ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาอธิบายเพราะเรื่องเช่นนี้
นี่นางคงอยู่เดือนจนเลอะเลือนไปแล้ว เรื่องไร้สาระอะไรก็ล้วนกล้าคิดออกมาได้
โจวชูจิ่นรีบสั่งการสาวใช้เด็กว่า “รีบไปเชิญนายท่านฉือไปนั่งที่โถงรับรอง บอกว่าคุณหนูรองจะเร่งตามไปในไม่ช้า” จากนั้นเอ่ยเร่งโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารีบไปดูสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่” ทั้งยังกล่าวติเตียนด้วยว่า “เจ้าเองก็เหมือนกัน ในเมื่อท่านน้าฉือให้เจ้ารอ เจ้าก็ควรจะรอสักครู่หนึ่ง! ท่านน้าฉือต้องมีเรื่องอะไรอยากคุยกับเจ้าเป็นแน่ เจ้าวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ เป็นเหตุให้ท่านน้าฉือต้องเดินทางมาที่นี่เป็นการเฉพาะ นิสัยนี้ของเจ้าต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อยถึงจะถูก มีเหตุผลอะไรให้ผู้ใหญ่ต้องมาอดทนกับเด็กกัน อีกอย่าง ท่านน้าฉือดีกับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เจ้าต้องสำนึกหนี้บุญคุณของเขาไว้ในใจถึงจะถูก…”
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นกลัวว่าพี่สาวจะโกรธเฉิงฉือ จึงไม่คิดจะเล่าเรื่องที่มีบุรุษจากข้างนอกมาเจอนางตอนที่นางรอเฉิงฉืออยู่ในห้องรับแขกของเฉิงฉือให้พี่สาวฟัง ตอนนี้พี่สาวตำหนิว่านางไม่รู้ความ นางจึงไม่รู้จะเริ่มพูดถึงมันอย่างไรดี ได้แต่ยืนฟังอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เป็นหลี่ซื่อที่ยกข้าวหมากไข่ลวกเข้ามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้ากูไหนไนเองก็จริงๆ เลย ด้านหนึ่งก็บอกว่าให้คุณหนูรองรีบไปพบนายทานสี่ฉือ แต่อีกด้านหนึ่งกลับดึงรั้งให้คุณหนูรองพูดคุยอยู่ที่นี่ ทำให้คุณหนูรองจะไปก็ไม่ได้ จะไม่ไปก็ไม่ได้…”
โจวชูจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็เห็นโจวเสาจิ่นมีท่าทางอย่างยอมจำนน จึงหัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ รับข้าวหมากไข่ลวกจากมือของหลี่ซื่อมา กล่าวขึ้นว่า “รีบไปเถิด! แล้วกลับมาบอกข้าด้วยว่าท่านน้าฉือมาด้วยเรื่องอะไร”
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับได้หลุดพ้นออกจากสถานการณ์อันตึงเครียด ขานรับคำอย่างลวกๆ ไปครั้งหนึ่ง แล้วไปที่ห้องโถงรับรอง
เฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังมองสำรวจแจกันกระเบื้องเคลือบลายภาพทิวทัศน์หลังหิมะโปรยปรายที่อยู่บนตั่งตัวยาวในห้องโถงรับรองคู่นั้น
ภายในห้องโถงมีลำแสงสลัวเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งของเขาตั้งตรง ท่วงท่าสง่าดูสบายๆ งดงามประหนึ่งภาพวาดรูปหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นมองจนฝีเท้าหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินเข้าไปในห้องโถงรับรอง
เฉิงฉือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หมุนกายกลับมา ยิ้มพร้อมกับเอ่ยกับนางว่า “แจกันกระเบื้องเคลือบคู่นี้เป็นฝีแปรงของผู้ใดหรือ ภาพทิวทัศน์หลังหิมะโปรยปรายภาพนี้วาดได้งดงามยิ่ง! ข้าดูแล้วไม่ค่อยเหมือนเครื่องกระเบื้องเคลือบของทางราชสำนัก”
น้ำเสียงสงบของเขาเผยความเป็นกันเองออกมาหลายส่วน เสมือนกับว่าพวกเขายังคงอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก กล่าวเสียงเบาว่า “เป็นสินติดตัวของพี่สาว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าข้าเองก็มีอยู่หนึ่งคู่ เพียงแต่ว่าเก็บเอาไว้ที่บ้านถนนผิงเฉียวที่จินหลิง หากท่านน้าฉือชื่นชอบ ข้าจะให้คนนำออกมาและส่งไปให้ที่ซอยอวี๋เฉียน”
เด็กน้อยยังโกรธอยู่นี่นา!
แล้วครั้งนี้โกรธด้วยเรื่องใดเล่า
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแทนกลางห้องโถงรับรอง สายตาที่เขาใช้มองนางนั้นมีความเอาอกเอาใจปนอยู่ด้วยสายหนึ่งวาบผ่าน เป็นความเอาอกเอาใจที่ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่รู้สึกตัว แม้แต่โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้สึกตัวด้วยเช่นกัน เอ่ยขึ้นว่า “มิต้องทำเช่นนั้นหรอก หากเจ้ามอบให้ข้าแล้ว ตอนที่เจ้าออกเรือนจะทำอย่างไร เดือนสิบเอ็ดของปีนี้เจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้วมิใช่หรือ”
ออกเรือน! ออกเรือนอีกแล้ว!
เหตุใดเขาถึงเอาแต่คิดเรื่องจะให้นางออกเรือนอยู่ตลอดด้วย!
นางไม่ได้กินของของเขา ไม่ได้ดื่มของของเขา แล้วก็มิได้ไปขัดขวางไม่ให้เขาไปหาภรรยาเสียหน่อย แล้วเหตุใดเขาต้องมายุ่งเรื่องที่นางจะออกเรือนหรือไม่ออกเรือนด้วย
ตนถูกบุรุษจากที่อื่นเข้ามาพบเห็นเข้าที่เรือนของเขาก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรสักประโยค ตอนนี้กลับทำราวกับว่าไม่พอใจนาง มาพูดเรื่องออกเรือนไม่ออกเรือนอะไรนั่นขึ้นมาอีก
โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่ากลับลืมไปว่าบนศีรษะของตนยังประดับมงกุฎดอกไม้ทำจากทองฝังอัญมณีล้ำค่าที่เฉิงฉือมอบให้นางเมื่อตอนปีใหม่เอาไว้อยู่
นางรับน้ำชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ด้วยอาการขุ่นเคืองเล็กน้อยพร้อมกับวางแรงๆ ลงไปตรงหน้าเฉิงฉือ
ไอ้โหยว!
ถึงกับชักสีหน้าใส่เขาแล้ว!
เฉิงฉือเห็นสาวใช้ของตระกูลเลี่ยววางของว่างเสร็จก็ถอยออกไปอย่างรู้ความ อดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ข้าทำเรื่องผิดต่อสวรรค์ขัดต่อหลักการอะไรอย่างนั้นหรือ ถึงทำให้เจ้าเคืองโกรธได้ขนาดนี้! ข้าทิ้งนายท่านผู้เฒ่าซ่งไว้ที่ห้องหนังสือและรีบเร่งมาที่นี่แต่ก็ไม่อาจทำให้เจ้าคลายความโกรธลงได้…” ขณะที่เขากล่าว ก็มองสำรวจนางพร้อมกับเอ่ยเย้านางไปด้วยว่า “ข้าว่าตั้งแต่เจ้ามาที่จิงเฉิงก็ไม่เห็นเจ้าจะสูงขึ้นเลย ทว่าอารมณ์กลับเหมือนพลุเหมือนปะทัด ไม่จุดไฟแต่ก็ปะทุขึ้นมาได้…”
“ผู้ใดเหมือนพลุเหมือนปะทัดกันเจ้าคะ” ได้ยินเฉิงฉือบอกว่าทิ้งนายท่านผู้เฒ่าซ่งไว้ที่ห้องหนังสือและเร่งมาหา ความยินดีที่อัดแน่นอยู่ในใจก็เอ่อล้นออกมาทางดวงตาและใบหน้าอย่างที่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอนว่า “เห็นๆ อยู่ว่าปีนี้ข้าสูงขึ้นตั้งสามชุ่น[1]…”
หน้าอกหน้าใจก็ขยายใหญ่ขึ้นจนรู้สึกปวดเล็กน้อย ชุดชั้นในที่เพิ่งตัดมาเมื่อหน้าหนาวของปีที่แล้วล้วนรัดแน่นจนนางหายใจแทบไม่ออก สวมใส่ไม่ได้อีกแล้ว…ฝานหลิวซื่อและพี่สาวต่างก็บอกว่านางโตเป็นสาวแล้ว
เฉิงฉือพยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง เอ่ยลากเสียงยาวว่า “อ้อ สูงตั้งสามชุ่นแล้ว!”
แต่เมื่อคนได้ยินแล้วกลับทำให้คนนึกถึงคำว่า “สูงแค่สามชุ่น” คำนี้แทน!
รวมถึงต่อให้ปีนี้โจวเสาจิ่นจะสูงขึ้นสามชุ่น แต่ก็สูงเพียงคางของเฉิงฉือเท่านั้น…
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น กว่าครู่ใหญ่ถึงได้หยุดหัวเราะลง ถามนางด้วยดวงตาเปื้อนยิ้มว่า “หายโกรธแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
ในเมื่อท่านน้าฉือล่อหลอกนางเช่นนั้น…นางจึงรู้สึกหอมหวานอยู่ในใจ ไหนเลยจะยังมีอาการไม่พอใจหลงเหลืออยู่อีก
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับถามนางเสียงอบอุ่นว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเคืองโกรธด้วยเรื่องอันใด”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวขึ้นอย่างอับอายว่า “ตอนที่ท่านน้าฉือให้ข้ารออยู่ในห้องรับแขกนั้น ข้า…ข้าได้พบกับคนจากข้างนอกเข้าเจ้าค่ะ…”
หรือว่าจะเป็นซ่งซิ่วจือ?
วันนี้มีเพียงนายท่านผู้เฒ่าซ่งสองปู่หลานเท่านั้นที่มาเยี่ยมเขา!
เรื่องราวบนโลกใบนี้จะบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เขารู้สึกว่าซ่งซิ่วจือเป็นคนไม่เลวนัก เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก เสาจิ่นก็ได้พบเขาโดยบังเอิญไปแล้ว…
เฉิงฉือรู้สึกขมฝาดไปทั้งปาก แต่หลังจากที่เงียบไปหลายอึดใจแล้ว เขายังคงกล่าวขึ้นว่า “นั่นน่าจะเป็นหลานชายของนายท่านผู้เฒ่าซ่ง หรือก็คือบุตรชายเลี้ยงของฮูหยินซ่ง เขามีนามคำเดียวว่า ‘มู่’ มีชื่ออย่างสุภาพว่า ‘ซิ่วจือ’ เป็นบุตรชายคนโตของใต้เท้าซ่งหรือจี้เซียง[2]ซ่งจิ่งหราน เป็นเจี้ยหยวนของมณฑลเหลี่ยงหูประจำปีที่แล้ว ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบแปดปี กล่าวได้ว่าเป็นเจี้ยหยวนที่อายุน้อยที่สุดของหลายๆ มณฑลแล้ว…”
ท่านน้าฉือจะเล่าละเอียดขนาดนี้ไปเพื่ออันใด
นี่มีความเกี่ยวข้องกับตนอย่างไรหรือ
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ยินว่าคนที่นางพบคือบุตรชายเลี้ยงของฮูหยินซ่ง เป็นพี่ชายคนโตของซ่งเซินแล้ว ก็รู้สึกคุ้นเคย นางรู้สึกโล่งอกได้จริงๆ ไปเปลาะหนึ่ง
ตอนที่เฉิงฉือพูดนั้นก็มองโจวเสาจิ่นตาไม่กะพริบไปด้วย เพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนาง ตอนที่นางได้ยินว่าซ่งมู่เป็นบุตรชายเลี้ยงของฮูหยินซ่งนั้นเห็นนางผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเขานึกถึงชาติก่อนของโจวเสาจิ่น ชั่วพริบตานั้นจึงเข้าใจความกังวลของนางขึ้นมาได้
เนื่องจากมีหน้าตางดงาม บุรุษที่พบเห็นนางในชาติก่อนส่วนใหญ่ล้วนมีใจพิสมัยในตัวนาง อีกทั้งนี่ยังขัดต่อคำสอนของสตรีในห้องหอที่นางได้รับการสอนสั่งมาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นางมีความกังขาต่อการกระทำของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บวกกับการปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สาเหตุของเฉิงสวี่ ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยกับการพบเจอบุรุษอื่น หรือแม้กระทั่งสายตาตกตะลึงในความงามของผู้อื่นที่มองนางเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าด้วยเหตุนี้จะนำพามาซึ่งเรื่องโกลาหลอะไรอีกได้…
เจ้าเด็กโง่ผู้นี้!
อาการหนักเกินไปแล้ว!
เฉิงฉือรู้สึกปวดใจอย่างช่วยไม่ได้
และก็ยิ่งมั่นใจกับการตัดสินใจเป็นพ่อสื่อให้โจวเสาจิ่นและซ่งมู่มากขึ้น
มีสามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่เป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและไม่ไร้ซึ่งความคิดความอ่านเป็นคู่ชีวิตแล้ว นางก็น่าจะเดินออกมาจากสภาพจิตใจอันหดหู่เหล่านั้นได้ในไม่ช้า!
น้ำเสียงของเฉิงฉือจึงยิ่งเพิ่มความอบอุ่นมากขึ้น “เสาจิ่น เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ข้าไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ที่ห้องรับแขกเพียงลำพัง ข้าได้สั่งการให้ไหวซานเพิ่มป้ารับใช้ในเรือนชั้นในสักสองสามคนไปแล้ว รอให้ครั้งหน้าเจ้าไปซอยอวี๋เฉียนอีก จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว…”
การที่เขาเร่งตามมาที่นี่ได้ทำให้ความโกรธของโจวเสาจิ่นคลายลงไปหมดสิ้นแล้ว นางไหนเลยจะทนฟังคำพูดขออภัยเหล่านี้ได้ รีบกล่าวตัดบทคำของเฉิงฉือด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่า “ท่านน้าฉือ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ข้า…ข้าไม่ควรจะวิ่งหนีกลับมาเช่นนี้…ในเมื่อเข้าออกห้องรับแขกของท่านได้ ก็ย่อมต้องเป็นสหายสนิทของท่านหรือไม่ก็เป็นคนที่ได้รับอนุญาตจากท่านแล้ว ข้าไม่ควรจะหวาดกลัวจนลนลานเพียงเพราะเจอคนที่ตัวเองไม่รู้จัก” นางนึกถึงภาพของซ่งมู่ยามที่ถอยออกไปจากห้องรับแขกนั้นมีอาการตื่นตกใจเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายซ่งผู้นั้นคงไม่เป็นอะไรกระมัง ข้าดูแล้วเขาเองก็ไม่ได้เจตนา ทำให้เขาตกใจหรือไม่เจ้าคะ…”
เฉิงฉือมองดวงตาพูดได้ที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของนางคู่นั้นแล้ว ในใจประหนึ่งถูกบีบเค้นจนแน่นก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “แล้วเจ้าตกใจกลัวหรือไม่ หากครั้งหน้าได้พบซ่งซิ่วจืออีกคงไม่หวาดกลัวจนหนีไปซ่อนหรอกกระมัง”
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นหน้าแดงถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจไปครั้งหนึ่ง
หางตายกขึ้นน้อยๆ น่ารักและมีเสน่ห์ดุจทิวทัศน์อันงดงามของเดือนห้า
เฉิงฉือเอามือทาบอกอย่างห้ามไม่อยู่ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพี่สาวของเจ้า เจ้าช่วยนำความไปแจ้งนางให้ข้าที”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็วิ่งมาอยู่ข้างๆ เฉิงฉือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านจะคุยอะไรกับพี่สาวของข้าหรือเจ้าคะ”
ขณะสูดหายใจนั้นเฉิงฉือสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่อยู่บนเรือนร่างของนาง
ไม่ได้กลิ่นฉุนมากเหมือนกลิ่นเครื่องแป้งที่เขาเคยได้กลิ่น แล้วก็ไม่ได้มีกลิ่นสดชื่นมากเหมือนกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เขาเคยได้กลิ่น นอกจากนี้ยังคล้ายมีคล้ายไม่มี เจือเอาไว้ด้วยความอบอุ่นจางๆ คล้ายกลิ่นหอมของสตรี
เฉิงฉือรู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมาเล็กน้อย
เขาแสร้งกล่าวตำหนิว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก ถามมากความถึงเพียงนั้นไปเพื่ออันใด ให้เจ้านำความไปแจ้งยังไม่รีบไปอีก”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก หันไปขยิบตาให้เฉิงฉืออย่างแก่นแก้ว แล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วดุจควัน
เฉิงฉือมองเงาร่างที่ผอมบางประหนึ่งลูกกวางน้อยของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป
***
โจวชูจิ่นมองโจวเสาจิ่นด้วยอาการตกตะลึง “ท่านน้าฉือมีเรื่องอยากคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ เขามีเรื่องอะไรอยากคุยกับข้ากัน? พูดกับพี่เขยของเจ้าไม่ได้หรือ หรือไม่ก็พูดกับ…”
นางกลืนคำว่า “ฮูหยิน” สองพยางค์นี้ลงไป
ถ้าหากเป็นเรื่องของเฉิงลู่หรือไม่ก็เรื่องของเฉิงสวี่เล่า?
สีหน้าของนางเปลี่ยนเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นยังคงดื่มด่ำอยู่ในอารมณ์เปี่ยมสุขที่เฉิงฉือนำพามาให้นางอยู่ จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของพี่สาว นางยู่ปาก ทว่าดวงหน้ากลับปิดความเบิกบานเอาไว้ไม่มิด ทำให้คนสัมผัสได้ว่านางกำลังแง่งอนเป็นเด็กมากกว่าที่จะรู้สึกว่านางกำลังไม่พอใจ “ท่านน้าฉือบอกว่าข้าเป็นเด็ก จึงไม่บอกข้าเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นอดไม่ได้หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยบอกฝานหลิวซื่อที่รับใช้อยู่ข้างๆ นางว่า “ฝานมามา รีบไปหยิบกระจกมาให้คุณหนูรองของเจ้าส่องดูสักหน่อย ดูว่าท่าทางนี้ของนางเหมือนเด็กผู้หนึ่งหรือไม่”
โจวเสาจิ่นไม่ยอมรับ
ฝานหลิวซื่อหัวเราะฮ่าออกมา
โจวชูจิ่นเองก็หัวเราะตามไปด้วยอีกคำรบหนึ่ง สั่งให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง เอ่ยบอกโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าไปถามท่านน้าฉือสักหน่อยว่าคุยกันที่ห้องรับแขกของเรือนหลักได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นจึงวิ่งออกไปอีกครั้งอย่างเปรมปรีดิ์
โจวชูจิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะไม่หยุด ส่งคำสั่งลงไป ให้สตรีที่ออกเรือนแล้วในเรือนชั้นในหลบออกไปก่อน
เฉิงฉือไม่มีปัญหา จะให้พบโจวชูจิ่นที่ไหนก็ได้ ที่ให้ไปถามโจวชูจิ่นว่าจะให้ไปพบที่ไหนนั้น ก็เพราะคำนึงถึงว่านางยังอยู่เดือนอยู่ เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ กลัวว่าจะไปทำลายกฎข้อห้ามอะไรเข้า และที่เขาไม่พูดเรื่องของตระกูลซ่งกับเลี่ยวเส้าถังหรือมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่นนั้น ก็เพราะรู้ว่าโจวชูจิ่นไม่มีทางทำร้ายโจวเสาจิ่นอย่างแน่นอน
ทั้งสองคนนั่งลงในห้องรับแขก เฉิงฉือเล่าเรื่องของซ่งซิ่วจือให้โจวชูจิ่นฟัง
……………………………………………………………
[1] ชุ่น หนึ่งชุ่นเท่ากับ 3.333 เซนติเมตรโดยประมาณ
[2] จี้เซียง ฉายาของผู้เก่งกาจในด้านการคิดคำนวณ จึงกลายเป็นฉายาเรียกที่ปรึกษาผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูในราชสำนัก