ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 39 หยุด
น้ำเสียงของผู้พูดนั้นทุ้มลึก แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิที่ลอยมาปะทะใบหน้า โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นชายตามองไปที่ชายผู้พูดอย่างรวดเร็ว
ชายผู้นั้นดูท่าทางเป็นผู้มีความรู้ดี สวมชุดจื๋อตัวผ้าลินินตัวบางสีกรมท่า คาดเข็มขัดผ้าเอาไว้ที่เอว ใช้ปิ่นไผ่รวบผม ดูไปแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยกันกับชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามผู้นั้น ถึงแม้ว่าอากัปกิริยาจะอบอุ่น ทว่าในดวงตาทั้งคู่กลับมีแววตาที่คลุมเครือ
โจวเสาจิ่นใจสั่น รีบก้มศีรษะแล้วไปสนใจกับไฟในเตาดินเผา
ชายที่อยู่ตรงข้ามกับนางกลับหัวเราะเสียงใสกล่าวขึ้นว่า “ครั้งนี้จิ่วเนี่ยคงจะคาดการณ์ผิดเสียแล้ว! ตอนนี้กลัวแต่ว่าหวังกังผู้นั้นคงจะไม่มีเวลาแม้แต่จะดูแลตัวเอง ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปจับตาดูว่านถงกัน!”
น้ำเสียงของเขาแสดงออกว่าค่อนข้างยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่น ราวกับว่าการที่คนที่ชื่อหวังกังประสบโชคร้ายในครั้งนี้ ทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างมากอย่างไรอย่างนั้น
“หา!” เปี๋ยอวิ๋นได้ยินแล้วเอ่ยขึ้น “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่อง เผิงจวี่ เจ้ารีบเล่ามาว่าตกลงเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘เผิงจวี่’ ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพลางกล่าว “เมื่อไม่กี่วันก่อนองค์ฮ่องเต้ให้หลิวหย่งจากสำนักสุราเลื่อนขึ้นไปดำรงตำแหน่งขันทีปิ๋งปี่แห่งกรมพิธีการ แผนการของหวังกังถือว่าล้มเหลวแล้ว!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เปี๋ยอวิ๋นหัวราะเสียงดัง ความยินดีนั้นฉายชัดอยู่ในคำพูดและท่าทางของเขา กล่าวขึ้นว่า “หวังกังไม่ใช่ว่าเป็นบุตรบุญธรรมที่เฉินลี่ ขันทีใหญ่แห่งพระตำหนักเฉียนชิงภาคภูมิใจที่สุดหรือ ทำไมครั้งนี้เฉินลี่ถึงไม่ออกหน้าแทนเขา?”
เผิงจวี่ยิ้มและกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “สิ่งที่ไร้ซึ่งรากเหง้าพวกนี้ เจ้ายังสามารถคาดหวังว่าพวกเขาจะรู้จักความจงรักภักดีและความกตัญญูอีกหรือ หากจะตำหนิก็ต้องตำหนิหวังกังผู้นี้ที่อยู่ๆ ก็ได้ดิบได้ดีจากที่แร้นแค้นมานาน พอได้ดีแล้วก็ลืมรากเหง้าของตัวเอง ส่วนว่านถงกับเฉินลี่ที่ไม่ว่าจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้การรับใช้องค์ฮ่องเต้ที่พระราชวังเฉียนตี่ด้วยกัน การที่เขายื่นมือออกไปดึงว่านถงลงมาจากม้าด้วยวิธีที่รุนแรงเช่นนี้ เฉิงลี่จะไม่รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ บ้างเลยหรือ”
เขาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในราชสำนักอย่างไม่ระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นใจเต้นไม่หยุด เหลือบสายตามองข้ามไป
คนที่สวมชุดเผาจื่อสีม่วงแดงดิ้นทองลายดอกเหมยทรงสี่เหลี่ยมที่นั่งอยู่บนเสื่อไม้หอมสีเขียวเข้ม มีแผ่นหยกสีขาวไร้ที่ติทั้งชิ้นสลักลายนกกระเรียนคาบผลจูอยู่ในปากนั้นงดงามนวลเนียน นกกระเรียนที่กางปีกออกกว้างนั้นมีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิต เชิดหัวบินขึ้นฟ้า ราวกับต้องการจะออกมาจากแผ่นหยกชิ้นนั้นอย่างไรอย่างนั้น บนถุงเท้าสีขาวจันทราใต้ชุดเผาจื่อนั้นผูกเอาไว้ด้วยสายคาดสีเหลืองสดใสนั้นยิ่งทำให้นางกลัวจนตัวสั่น
ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์นี้ขึ้นมา ก็ได้สร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย แต่หลังจากรัชสมัยของฮ่องเต้เซี่ยวจง เจียงหนานก็ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ สังคมก็เริ่มนิยมความฟุ่มเฟือยมากขึ้น คนธรรมดาทั่วไปเริ่มสวมเครื่องประดับเงินและทอง สวมผ้าไหมและผ้าแพร ทางการก็ไม่ลงโทษประชาชน ทำเป็นเปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่ง ธรรมเนียมนี้ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งแพร่หลายขึ้น แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าใช้สีเหลืองสดใส สีที่ใช้สำหรับคนในราชวงศ์เท่านั้น
ในเมืองจินหลิง มีเพียงตระกูลเดียวที่มีสิทธิ์ใช้สีนี้
ซึ่งก็คือจวนของเหลียงกั๋วกง!
ท่านผู้นี้ ก็คงจะเป็นจูเผิงจวี่ บุตรชายคนโตของจูคุนของจวนเหลียงกั๋วกง
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามผู้นั้น
เขายังคงเอนกายหนุนอยู่บนหมอนใบใหญ่ด้วยท่วงท่าสบายๆ ยิ้มแย้มทว่าไม่พูดอะไร ราวกับจูเผิงจวี่เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนักผู้หนึ่งเท่านั้น
โจวเสาจิ่นมึนงง
‘เปี๋ยอวิ๋น’ ตบหน้าขาพลางหัวเราะ “สิ่งที่ไร้ซึ่งรากเหง้าพวกนี้ เจ้ายังสามารถคาดหวังว่าพวกเขาจะรู้จักความจงรักภักดีและความกตัญญูอีกหรือ คำพูดประโยคนี้ข้าชอบฟังยิ่งนัก ควรจะร่ำสุราสักสามร้อยจอก!” ขณะที่เขาพูด ก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น สีหน้าแสดงความเสียดายออกมา ถอนหายใจกล่าว “น่าเสียดายที่จิ่วเนี่ยดื่มสุราไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะได้เมาด้วยกันอีกสักครั้งหนึ่งแล้ว”
การพูดถึงขันทีระดับสูงที่อยู่ในหยาเหมินชั้นในเช่นนี้นั้น เป็นการดีแล้วหรือ
โจวเสาจิ่นมองไปที่ชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามผู้นั้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ราวกับว่าชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามผู้นั้นจะรู้สึกตัว ยิ้มน้อยๆ พลางหันศีรษะมา
บนใบหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว รีบก้มศีรษะลง ทว่าข้างๆ หูราวกับจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาผู้นั้น
นางอยากจะฟังให้แน่ใจว่าตกลงเขาได้หัวเราะจริงๆ หรือไม่ ทว่าจิ่วเนี่ยกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน! ครั้งหน้าเมื่อเจ้ามาจินหลิง ข้าจะเมาเป็นเพื่อนเจ้าสามวันอย่างแน่นอน”
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นไม่มีเวลาได้แยกแยะ ความร้อนบนใบหน้าจึงยังไม่หายไปเป็นเวลานาน
“อย่าเลยๆๆ!” เปี๋ยอวิ๋นกล่าวซ้ำๆ “อย่าบอกว่าเป็นเพราะตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ งานเลี้ยงของตระกูลกู้ของพวกเจ้าก็ไม่สนุกรื่นเริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่สู้ข้าไปขอข้าวกินที่จวนของเผิงจวี่ดีกว่า ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่นักแสดงตัวน้อยที่เผิงจวี่เลี้ยงเอาไว้ ตรงเสียงสูงก็ร้องได้ราวกับจะเสียดแทงเมฆให้แตกสลาย เสียงต่ำก็ร้องได้บางเบาราวกับลำธารเล็กๆ เสียงเร็วก็ร้องได้ราวเมล็ดถั่วที่กลิ้งไปข้างหน้า เสียงช้าก็ร้องได้ราวกับน้ำที่ซึมออกมาจากรูรั่ว…ทั้งรูปร่างหน้าตาและฝีมือการร้องล้วนไม่มีที่ติ” เขาย้อนลำรึกอย่างขบขันพลางกล่าว “ต้นเหมยเก่าแก่หลายร้อยปีของจวนเจ้าน่ะหรือจะเปรียบได้”
ทุกคนหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
แซ่กู้ ต้นเหมยเก่าแก่ร้อยปี ธรรมเนียมของตระกูลที่เข้มงวด และชื่อ ‘จิ่วเนี่ย’ เช่นนั้นก็น่าจะเป็นบุตรหลานของกู้ชิงหงแห่งซอยเหมยฮวาของเมืองจินหลิง ที่ต่อมาสะสมบารมีจนได้เป็นซื่อหลางของกรมโยธาธิการ ดำรงยศเป็นเสี่ยวจิ่วชิงนามว่ากู้อวิ๋นเฮ่อหรือที่เรียกว่ากู้จิ่วเนี่ยนั่นเอง
เขาคือลูกพี่ลูกน้องของเฉิงสวี่
อย่างไรก็ตาม ดูท่าทางของกู้จิ่วเนี่ยแล้ว ไม่น่าจะเป็นคนที่เฉิงสวี่จะไปวอแวหรือสร้างปัญหาด้วยได้ หรือว่าจะมีเงื่อนงำอะไรแฝงอยู่ในระหว่างเรื่องนี้?
โจวเสาจิ่นมองที่ปากทางเดิน
เฉิงสวี่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่เท่าคนโอบรอบตรงปากทางเดินต้นนั้น ด้วยท่าทางที่อยากจะเดินข้ามมาแต่ก็ไม่กล้าเดินข้ามมา
ส่วนพานจ้าวมองมาทางนี้อย่างรอคอย แน่นิ่งเป็นไก่ไม้แกะสลัก
โจวเสาจิ่นตกใจ รู้สึกกระวนกรวายใจเล็กน้อยอีกครั้ง
หากเฉิงสวี่ข้ามมาจะทำอย่างไรดี
นางขยับร่างกายอย่างอยู่ไม่สุขเล็กน้อย
ชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามกล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ชิงเฟิง เจ้าไปถามคุณชายใหญ่หน่อย ทำไมไม่อยู่ต้อนรับแขกที่ด้านนอก มาทำอะไรอยู่ที่นี่”
ไม่รู้ว่านักพรตเด็กที่ตักน้ำผู้นั้นเอาถังไม้ไผ่มาวางไว้บนที่นั่งหินด้านข้างแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังยืนอยู่ข้างๆ ชายที่มีรูปร่างราวกับต้นไผ่บางลีบผู้นั้น เมื่อได้ยินคำสั่งเขาก็รับคำแล้วจากไป
อากาศที่ควบแน่นจนอึดอัด ก็สลายจากไปอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่ตรงนี้ราวกับมองไม่เห็นการจากไปของชิงเฟิง ยังคงพูดคุยกันต่อไป
แต่หลังจากที่เฉิงสวี่ที่เดินไปเดินมาอยู่ไกลๆ นั้นได้ฟังคำที่นักพรตเด็กนำไปบอกแล้ว ก็เมียงมองมาทางนี้อย่างประหลาดใจครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็ลากพานจ้าวจากไปด้วยอย่างเชื่อฟัง
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง มองไปทางชายที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่งอย่างขอบคุณ
ทว่าความสงสัยในใจของโจวเสาจิ่นกลับมีมากยิ่งขึ้น
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?
ชายผู้นั้นราวกับไม่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของนาง ยิ้มน้อยๆ พลางฟังกู้จิ่วเนี่ยเย้าแหย่เปี๋ยอวิ๋น “ฮูหยินของเจ้ารับนิสัยของสามีเช่นเจ้านี้ได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าคิดผิดเสียแล้ว!” เปี๋ยวอวิ๋นส่ายศีรษะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “บรรดาบุตรชายทั้งสิบแปดคนของตระกูลหยวนนั้น พี่สะใภ้ของเจ้ากลับเลือกข้าเพียงคนเดียว! เจ้าว่า พี่สะใภ้ของเจ้าเป็นคนประเภทที่แยกไม่ออกระหว่างตาปลากับไข่มุกหรืออย่างไร”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
หยวน หยวนเปี๋ยอวิ๋นอย่างนั้นหรือ
ตระกูลฝั่งมารดาของเฉิงสวี่ก็แซ่หยวน!
ในงานมหาวันเกิดของเฉิงซวี่นี้ หยวนเหวยชางผู้ซึ่งเป็นราชเลขากรมขุนนาง มหาบัณฑิตแห่งเหวินหยวนเก๋อของราชวงศ์ปัจจุบัน ส่งบุตรชายคนโตมาร่วมอวยพร
หยวนเหวยชางเป็นท่านอาของหยวนซื่อ
คนผู้นี้คือบุตรชายคนโตของหยวนเหวยชางอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่ว่าเขาควรจะอยู่ที่เรือนฝูจี๋หรอกหรือ ทำไมมานั่งดื่มชาอยู่ที่นี่?
ชายคนที่ช่วยนางเอาไว้เป็นใครกันแน่?
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าตนตกเข้าไปในเครื่องปั้นดินเผาเคลือบที่มีลวดลายลายตา รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
น้ำบนเตาดินเผาสีแดงขนาดเล็กกลับปล่อยไอร้อนออกมาพร้อมเสียงน้ำเดือดปุดๆ
นางรีบปรับอารมณ์ แล้วดูแลเตาไฟอย่างระมัดระวัง
จูเผิงจวี่เอ่ยขึ้น “จื่อชวน ว่านถงก็กำลังจะมาดูแลจินหลิง เจ้าจะทำอย่างไร”
สายตาของทุกคนต่างก็ตกไปอยู่ที่ร่างของชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาสีน้ำเงินครามผู้นั้น
ที่แท้เขาชื่อ ‘จื่อชวน’ นี่เอง!
โจวเสาจิ่นมองชายที่อยู่ข้างๆ
เพียงเห็นเขาใช้นิ้วโป้งคลึงเคล้นปากถ้วยน้ำชาจื่อซาสีม่วงเบาๆ ด้วยท่าทีสบายๆ เช่นเดิมและยิ้มพลางกล่าว “ข้า ข้าจะมีความเห็นอะไรได้ ข้าเป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น เขาว่าอย่างไร ข้าก็ทำอย่างนั้นตามปกติไม่ใช่หรือ”
“จื่อชวน เจ้าพูดเช่นนี้สนุกนักหรือ” จูเผิงจวี่ขมวดคิ้วมุ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้ามาก็เพื่อจะขอความเห็นจากเจ้า เจ้ากลับเลี่ยงไม่ยอมพูดคุย นี่คือสิ่งที่สหายที่ดีควรจะมีต่อกันหรือ” จากนั้นก็บ่นขึ้นว่า “หลายปีมานี้ข้าสังเกตว่าเจ้าแปลกไปมาก ไม่รับภรรยาและอนุ และก็ไม่ไปเที่ยวหอจางไถฉูก่วน เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่”
โจวเสาจิ่นอดที่จะเงี่ยหูฟังไม่ได้
“ข้านั้น” จื่อชวนกล่าวยิ้มๆ น้ำเสียงดูไม่ใส่ใจเล็กน้อย “อะไรที่ควรทำก็แค่ทำสิ่งนั้นไม่ใช่หรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าสามารถทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ”
หยวนเปี๋ยอวิ๋นได้ยินแล้วก็แลกเปลี่ยนสายตากันกับกู้จิ่วเนี่ยไปครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “จื่อชวน ข้าได้ยินซื่อหมิงกล่าวว่า เจ้าเป็นคนจุดธูปดอกแรกที่วัดต้าเซียงกั๋วในวันที่เก้าที่ผ่านมา”
มีเสียงตึกตักดังอยู่ในใจของโจวเสาจิ่น
ศาสนาพุทธปลูกฝังเรื่องชีวิตหลังความตาย ส่วนลัทธิเต๋าปลูกฝังเรื่องชีวิตในปัจจุบัน คนที่มีทั้งโชคและลาภในชีวิตปัจจุบันนั้นมีน้อย ดังนั้นคนที่ปลูกฝังเรื่องชีวิตหลังความตายจึงมีมาก คนที่ศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าจึงมากไปด้วย
แต่หยวนเปี๋ยอวิ๋นยังไม่ทันได้พูดจนจบ ก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะคิกของจื่อชวน เขากล่าวอย่างล้อเลียนว่า “เจ้าไม่รู้หรือ ธูปดอกแรกของภูเขาหลงหู่ในวันนี้ ก็เป็นข้าที่เป็นคนจุด!”
หยวนเปี๋ยอวิ๋นพูดไม่ออก
กู้จิ่นเนี่ยกล่าว “เหตุใดข้างนอกถึงได้ลือกันว่าเจ้าต้องการจะขายเกลือของตระกูลเฉิงให้กับตู้ซินถง? เจ๋อเหล่าทราบเรื่องหรือไม่”
‘ชุนเจ๋อจวีซื่อ’ คืออีกชื่อหนึ่งของเฉิงซวี่ คนนอกมักจะเรียกเขาอย่างให้ความเคารพนับถือว่า ‘เจ๋อเหล่า’
“ขนาดเจ้ายังรู้แล้ว เขาจะไม่รู้ได้หรือ” จื่อชวนยิ้ม ในน้ำเสียงแฝงความซุกซนเอาไว้อยู่หลายส่วน แต่ก็ยังคงไม่พูดอะไร
“จื่อชวน” หยวนเปี๋ยอวิ๋นนวดหน้าผากอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “พวกข้าต่างก็เป็นห่วงเจ้ามาก ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่รีบกลับมาจากจิงเฉิง ถึงแม้ว่าเจ๋อเหล่าจะมีหน้าตามีบารมีมาก แต่ก็ไม่มากพอให้ข้ามาด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง หากว่าเจ้ายังคอยหลบหลีกทำเป็นเล่นไท่ฉีกับสหายเก่าอย่างพวกข้า เช่นนั้นก็ให้เหมือนกับว่าพวกข้าเป็นดังสุนัขไล่จับหนูที่ชอบสอดเรื่องของผู้อื่น อยู่กินดื่มที่จินหลิงสักสองสามวัน จากนั้นก็สะบัดก้นกลับบ้านใครบ้านมันไปก็แล้วกัน” เมื่อกล่าวจบ เขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโกรธและหน้าแดงก่ำ
“ข้าก็ว่าทำไมวันนี้พวกเจ้าถึงได้มากันอย่างพร้อมเพรียงขนาดนี้?” จื่อชวนกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อคิดกันมาแล้วตั้งแต่ต้น เช่นนี้ก็เป็นการบังคับให้ข้ายอมรับสินะ! ก็ได้! พวกเจ้าพูดมาว่าอยากให้ข้าทำอย่างไร ข้าจะได้ทำตามนั้น!
กู้จิ่วเนี่ยไม่พูดอะไร
ทว่าจูเผิงจวี่กระโดดลุกขึ้นมา กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “จื่อชวน สหายจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรู้จักซึ่งกันและกัน เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกข้าไม่ได้ยิงธนูอย่างไร้จุดหมาย ทว่าก็ยังจะผลักสามดันสี่ปฏิเสธทุกอย่างเช่นนี้อยู่ ข้าไม่ได้อารมณ์ดีเช่นพี่เปี๋ยอวิ๋น ข้าทนฟังต่อไปไม่ได้อีก ข้าจะไปแล้ว!”
ปากบอกว่าจะไป ทว่าเท้ากลับไม่ได้ยกขึ้นมา
จื่อชวนกลับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างสบายๆ ครั้งหนึ่ง ชี้ไปที่กาจื่อซาสีม่วงบนเตาแล้วกล่าวเตือนโจวเสาจิ่นว่า “น้ำเดือดไปสามรอบแล้ว”
โจวเสาจิ่นรีบเดินไปยกกา แต่โดนด้ามจับลวกมือ เพียงสัมผัสก็ชักมือกลับในทันที แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าอย่างร้อนรน
“เจ้า” บนใบหน้าของจูเผิงจวี่เสียการควบคุมอารมณ์ไปเล็กน้อย ยกเท้าขึ้นกำลังจะไป
หยวนเปี๋ยอวิ๋นลุกขึ้นมาดึงจูเผิงจวี่เอาไว้ กล่าวปลอบโยนว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักนิสัยของจื่อชวน หากเขาไม่อยากพูด ทำอย่างไรก็ย่อมไม่พูด เพราะว่าเป็นสหายกัน จึงไม่ควรมาทะเลาะกันด้วยเรื่องพวกนี้ รีบนั่งลงแล้วดื่มชากันเถอะ!”
“ตามที่เจ้าพูดมา นี่กลายเป็นความผิดของข้าแล้วหรือ!” จูเผิงจวี่แสยะยิ้ม แต่ก็นั่งลงมาอย่างขุ่นเคือง
จื่อชวนทำราวกับมองไม่เห็น ค่อยๆ อุ่นถ้วยน้ำชาอย่างไม่รีบร้อน เอ่ยขึ้นว่า “ว่ากันว่าชานี้ปลูกอยู่ในถ้ำวิญญาณ สามารถรักษาโรคระบาดได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ อย่างไรก็ตาม กลิ่นหอมเข้มข้นของมันอยู่ได้นาน รสชาติก็กลมกล่อมทำให้สดชื่นและมีความหวานติดปลายลิ้นหลังจากที่จิบไปแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง เจ้าลองชิมดูหน่อย!” ขณะที่พูด ก็ยกกาขึ้นรินน้ำชาด้วยตัวเองหนึ่งถ้วย
จูเผิงจวี่ไม่รับ
จื่อชวนยิ้มพลางยกถ้วยในมือขึ้น
จูเผิงจวี่หันหน้าหนี
ร้อยยิ้มของจื่อชวนค่อยๆ จางลง
บรรยากาศโดยรอบพลันหยุดชะงักลง
คิ้วของหยวนเปี๋ยอวิ๋นกระตุก เพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็มีนักพรตเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
เขาหันไปคารวะจื่อชวน ถือจดหมายเยี่ยมสีแดงแผ่นหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายท่าน ไต้เท้าหง อวี้สื่อฝ่ายตรวจสอบของเจ้อเจียงมาขอพบขอรับ!”
…………………………………………………………………