ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 400 งานวัด
ทำอย่างนี้จะดีหรือ
โจวเสาจิ่นมองมือที่ถูกเฉิงฉือจับไว้ ทั้งรู้สึกตกใจระคนดีใจ
ตกใจที่เฉิงฉือใจกล้าถึงเพียงนี้ ถ้าหากถูกคนอื่นเห็นเข้าพวกเขาจะทำอย่างไร… ดีใจที่ไม่คาดคิดว่าเฉิงฉือจะชื่นชอบนางมากถึงเพียงนี้… ถึงขั้นไล่บ่าวรับใช้ข้างกายนางออกไป…
นางเดินซวนเซตามเขาไป
เฉิงฉือชะงักฝีเท้า มองนางยิ้มๆ แล้วรอให้นางยืนอย่างมั่นคง ถึงได้กล่าวว่า “ข้าเดินเร็วเกินไปหรือไม่”
เขาไม่เคยเดินเที่ยวเป็นเพื่อนผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน ตอนแรกจึงควบคุมจังหวะฝีเท้าไม่ได้เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อราวเมฆยามสนธยา เห็นสายตาแต้มรอยยิ้มของเขาแล้วก็รู้สึกลนลานขึ้นมา กล่าวตะกุกตะกักว่า “มะ… ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นข้าที่เดินช้าเอง”
เฉิงฉือก้มหน้าลง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เช่นนั้นพวกเราเดินตามจังหวะฝีเท้าของเจ้า เดินให้ช้าลงสักหน่อย…”
ถ้อยคำที่โอนอ่อนผ่อนตามเช่นนี้ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งตัว
เฉิงฉือเห็นคอขาวหมดจดกับใบหูของนางซับสีแดงจางๆ ไปหมด
โดยเฉพาะใบหูนั้น ละม้ายคล้ายเปลือกหอย ทั้งเล็กและบอบบาง ติ่งหูเนื้อหนาอวบอิ่มชวนให้คนอยากจะงับมันสักคำจริงๆ
เขาหลุดหัวเราะ เดี๋ยวนี้ตนมองดูนางทีไรก็คิดเลอะเทอะเสียแล้ว
แต่ก่อนเขาทำจิตใจให้บริสุทธิ์ได้อย่างไรกันนะ
เห็นได้ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องพบกับคนที่ใช่!
เขาระบายยิ้มบางเบา แล้วจับจูงโจวเสาจิ่นเดินไปข้างหน้า พลางถามนางว่า “มีของอะไรที่อยากซื้อหรือไม่”
มือใหญ่อุ่นๆ ของเฉิงฉือสะอาดสะอ้านและอบอุ่น กุมมือของนางไว้แน่น ภายในร่างกายเสมือนเป็นแหล่งกำเนิดไอร้อนที่พลุ่งขึ้นมารมหัวสมองของนางจนพร่าเลือน ไหนเลยจะไปใคร่ครวญถ้อยคำของเฉิงฉืออย่างละเอียดได้
นางพยักหน้าขณะครุ่นคิดว่า ขอเพียงได้อยู่กับท่านน้าฉือ ไปที่ใดก็ได้หมดทุกที่…
ทว่าในงานวัดไม่มีร้านค้าที่เปิดกิจการเป็นหลักเป็นแหล่ง ปกติเขาก็ไม่เที่ยวงานวัดด้วยเช่นกัน
เขาขบคิดครู่หนึ่ง แล้วหยุดฝีเท้าข้างร้านแผงลอยที่รายล้อมไปด้วยเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับโจวเสาจิ่นหลายคนร้านหนึ่งเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น แต่กลับพบว่าร้านแผงลอยนั้นขายเครื่องประดับลูกปัดแก้ว แน่นอนว่า คุณภาพของลูกปัดแก้วเหล่านั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของมีตำหนิที่ร้านเครื่องประดับไม่อยากลดราคาเพื่อขายออกไป ไม่ใช่ของชั้นดีระดับเดียวกับที่เขาซื้อให้โจวเสาจิ่น
เฉิงฉือจึงพานางเดินต่อไป เห็นร้านขายธูปบูชาพระร้านหนึ่ง ถึงแม้หน้าร้านมีเพียงคนสองสามคนที่กำลังเลือกดูของอยู่ แต่กลับมีกล่องธูปบูชาพระที่ทำได้ค่อนข้างประณีตอยู่สองสามกล่อง
เขารู้ว่าโจวเสาจิ่นชื่นชอบของเหล่านี้มาตลอด จึงหยุดอยู่หน้าร้านนั้นกับนาง พลางกล่าวเสียงละมุนว่า “ดูสิว่ามีของที่เจ้าชอบหรือไม่”
ในหัวของโจวเสาจิ่นยังคงสับสนงงงวยอยู่ไม่หาย เฉิงฉือบอกให้นางเลือก นางจึงเดินเข้าไปดูธูปบูชาพระเหล่านั้น
มีกล่องทรงสามเหลี่ยมใบหนึ่ง ทำออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจง ลงยาราชาวดี สีฟ้าอ่อน เขียนลายบงกชสีทองเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการทำหรือลวดลายบนกล่องล้วนประณีตงดงามเหลือบรรยาย นอกจากนี้ยังค่อนข้างพบเห็นได้น้อย
โจวเสาจิ่นมองดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
เฉิงฉือชี้กล่องใบนั้นพลางกล่าวว่า “เถ้าแก่ ห่อกล่องใบนี้ให้พวกข้าที”
เถ้าแก่คนนั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง รูปร่างไม่สูง ผอมแห้งดำคล้ำ ดวงตายิ้มๆ คู่นั้นตั้งแต่เห็นโจวเสาจิ่นก็สำรวจมองนางเป็นพักๆ พอได้ยินแล้วก็ขานรับว่า “ขอรับ” ในทันที ด้านหนึ่งก็หยิบกล่องกระดาษออกมาห่อให้พวกเขาอย่างคล่องแคล่วว่องไว อีกด้านหนึ่งก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านตาแหลมยิ่งนักขอรับ นี่เป็นธูปที่บูชาพระตถาคตจากซีเทียน เป็นของที่พ่อค้าต่างถิ่นชาวหูคนหนึ่งทิ้งไว้ที่โรงเตี๊ยม ราคาสิบเหลี่ยง…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็พินิจดูเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือรู้ดีว่าของพวกนี้อย่างมากก็ขายราคาสามถึงห้าเหลี่ยง เพียงแต่หายากที่เสาจิ่นจะชื่นชอบ หนำซ้ำยังเป็นเงินจำนวนเพียงน้อยนิด หากเขามีเวลามาต่อราคากับพ่อค้าคนนี้ ไม่สู้พาเสาจิ่นเดินดูร้านอื่นอีกสองสามร้านดีกว่า… เขาจึงไม่ต่อราคากับพ่อค้าคนนั้น แล้วพยักหน้าน้อยๆ
ไหวซานโผล่ออกมาจากที่ใดไม่รู้ มอบเงินก้อนเล็กก้อนหนึ่งให้แก่พ่อค้าผู้นั้น
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง อยากจะชักมือที่ถูกเฉิงฉือกุมมาตลอดออกโดยสัญชาตญาณ
กลับถูกเฉิงฉือดึงไว้แนบแน่นยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นที่ดวงหน้าแดงเถือก ชำเลืองมองไหวซานทางหางตา
ใครจะรู้ว่าไหวซานหายวับไปแล้วเฉกเช่นขามา!
นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงงัน
รอบๆ ทั้งสี่ทิศเป็นผู้คนที่มาเที่ยวงานวัดทั้งหมด มีคนเหลียวมองมาทางนางเป็นพักๆ ต่างมองดูด้วยสายตาตะลึงงัน ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของไหวซานเหลืออยู่
แต่ก่อนหากมีคนมองนางเช่นนี้ นางมักจะรู้สึกขลาดกลัวเสมอ
แต่พอมีเฉิงฉืออยู่ข้างนาง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าต่อให้มีคนมองดูนางอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร
อย่างไรก็ตามทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเฉิงฉือหนุนหลัง
ถึงกระนั้นนางยังคงเอนตัวอิงเฉิงฉืออย่างขัดเขินเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นแล้วรู้สึกขบขัน กระซิบข้างหูนางว่า “คนข้างกายของข้ามิได้มีตาหามีแววไม่เหมือนคนข้างกายของเจ้า!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอายจนไม่รู้จะทำอย่างไร นานครู่ใหญ่กว่าจะพึมพำขึ้นว่า “ท่านน้าฉือพูดเหลวไหล คนข้างกายของข้าก็ดีมากเช่นกันนะเจ้าคะ!”
เฉิงฉือหัวเราะร่วน
ทว่าพ่อค้าคนนั้นพอเห็นเงินก็ตาลุกวาว รู้ดีว่าได้พบลูกค้ารายสำคัญเข้าแล้ว มือเท้าจึงว่องไวยิ่งกว่าเดิมหลายส่วน ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเฉิงฉือก็ห่อของเสร็จพอดี
“ท่านลูกค้า นี่ของของท่านขอรับ” เขายิ้มพลางยื่นของให้โจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้น
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่รอให้โจวเสาจิ่นยื่นมือออกไปก็รับของมาแล้ว ทั้งไม่เอ่ยเรียกผู้ใด ช่วยถือของให้นางอย่างนั้น
แววตาของพ่อค้าผู้นั้นลุกวาบยิ่งขึ้น รีบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนู พวกข้ายังมีธูปบูชาพระจากซีอวี้อีกหลายชนิด ท่านอยากดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ! ธูปนั้นทำออกมาได้ดียิ่ง บางดอกดมแล้วหอมหวานแต่ไม่ฉุน บางหอมดมแล้วหอมสดชื่นเย็นสบาย ยังมีบางดอกที่กลิ่นหอมชวนรำพึงถึงความโศกศัลย์ด้วยนะขอรับ ข้าเห็นท่านเป็นผู้รอบรู้ด้านธูปหอมคนหนึ่ง ไม่อยากเสียเวลาเดินเที่ยวของท่านมากนัก ข้าจะนำออกมาให้ท่านดมดูสักหน่อยก็พอ จะซื้อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพียงอยากให้ท่านผู้รอบรู้ผู้นี้ได้ลองดูเท่านั้นขอรับ…” ขณะที่พูดก็ไม่รีรอให้โจวเสาจิ่นตอบ ย่อตัวลงไปหยิบกล่องกระดาษเจ็ดแปดกล่องออกมาจากใต้แผงลอย “ท่านดูสิขอรับ!”
ช่างกระตือรือร้นเหลือเกิน
โจวเสาจิ่นปฏิเสธผู้อื่นไม่ค่อยเป็น กอปรกับกล่องบรรจุธูปเหล่านั้นสวยงามยวดยิ่ง นางจึงหยิบขึ้นมาดม
พ่อค้าผู้นั้นคิดว่าขายของได้แล้วแน่ๆ ถ้อยคำน่าฟังเหล่านั้นย่อมพูดพล่ามออกมาโดยไม่คิดเงินสักแดงเดียว “คุณหนูโชคดีจริงๆ นายท่านท่านนี้เป็นบิดาหรือท่านน้าของท่านขอรับ ช่างดีต่อท่านจริงๆ ท่านอยากได้ของอะไร ก็คอยดูให้ตาไม่กะพริบ ความจริงผู้น้อยยังมีร้านขายธูปอยู่แถวประตูซีจื๋อเหมินร้านหนึ่ง ชื่อว่า ‘ร้านธูปซีอวี้ฟั่น’ ขายธูปจากซีอวี้โดยเฉพาะ หากท่านมีเวลาว่าง ก็ไปเที่ยวที่นั่นได้นะขอรับ…”
เฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นผงะพร้อมกัน ทั้งคู่มีสีหน้ายุ่งยากเล็กน้อย
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง
นางกับเฉิงฉือดูต่างวัยชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ
แม้แต่พ่อค้าที่พบเห็นพวกเขาเป็นครั้งแรกยังมองออกว่าพวกเขาต่างกันด้วยลำดับอาวุโสอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือเองก็ไม่พอใจมากเหมือนกัน
แม้ว่าเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่อ่อนหวานนุ่มนวล แต่ก็คิดว่าเขามิได้แก่ถึงขั้นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพ่อของเสาจิ่นหรอกกระมัง
พ่อค้าคนนั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็อุทานในใจว่า แย่แล้ว หางตาชำเลืองมองมือที่จับกันอยู่ของทั้งคู่ แล้วก่นด่าตนเองว่าพูดจาเลื้อนเปื้อนทันที พร้อมกับยกมือขึ้นมาตบปากของตน พลางกล่าวขอโทษว่า “ท่านทั้งสองอย่าได้ฟังข้าพูดเหลวไหลเลยนะขอรับ เพราะข้าเป็นคนที่หุบปากไม่เป็น กิจการถึงได้เงียบเหงาอย่างนี้ คุณชายงามสง่าดั่งต้นอวี๋ซู่กลางสายลม คุณหนูงามผุดผาดจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา สมเป็นคู่กิ่งทองใบหยกจริงๆ หากมิใช่เพราะคุณหนูยังทำทรงผมของเด็กสาวอยู่ล่ะก็ ข้ายังคิดว่าคุณหนูคงเป็นฮูหยินของคุณชายท่านนี้เสียอีก อย่างไรก็ตาม ใกล้ถึงวันมงคลของคุณชายกับคุณหนูแล้วกระมัง ต้องนับถือทั้งสองท่านนะขอรับ! ท่านทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันยวดยิ่งคู่หนึ่ง…”
มองดูชายหญิงที่อยู่ตรงหน้าปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ หากมิใช่เพราะใกล้ถึงวันมงคล คนในตระกูลจะอนุญาตให้พวกเขาเดินเที่ยวงานวัดด้วยกันในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าได้หรือ
บุรุษผู้นั้นแม้ไม่ได้คิดว่ามีอายุมากนัก แต่สุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนเด็กหนุ่มสักเท่าใด ส่วนเด็กสาวผู้นั้นทั้งดูอ่อนเยาว์และน่ารักอ่อนหวาน เห็นชัดว่ายังเด็กอยู่ ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับยินยอมปรนนิบัตินาง เห็นแล้วไม่เหมือนคนธรรมดาสามัญเลยสักนิด เขาจึงมองผิดพลาดไปเอง
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเย็นลงมาได้กลับแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้งในทันที นางอดลอบมองเฉิงฉือทีหนึ่งไม่ได้
เดิมทีเฉิงฉือรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพ่อค้าเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ผู้ใดไม่อยากฟังถ้อยคำป้อยอบ้างเล่า
เขาสบถเย็นในใจ
หากเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ตั้งแต่แรกพวกเขาอาจจะอุดหนุนร้านค้าของพ่อค้าผู้นี้อยู่ แต่มาพูดเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว!
เขาไม่ปรายตามองพ่อค้าผู้นั้นเลยสักนิด เพียงถามโจวเสาจิ่นด้วยเสียงอบอุ่นว่า “มีของที่ชอบหรือไม่”
ทันทีที่เฉิงฉือเข้ามาใกล้ ในใจของโจวเสาจิ่นก็ยุ่งเหยิงไปหมด ไหนเลยจะยังมีอารมณ์ไปเลือกธูปอีกเล่า
ส่วนเฉิงฉือพอเห็นท่าทางตัดสินใจไม่ได้ของนาง รู้ว่านางไม่คุ้นเคยกับการมาตลาดนัดเช่นนี้ หนำซ้ำยิ่งไม่ชินกับการปฏิเสธผู้อื่น จึงดึงมือของนาง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราเดินต่อกันเถอะ บางทีอาจจะเจอของที่เจ้าชอบอีกก็ได้”
โจวเสาจิ่นย่อมพยักหน้าเป็นธรรมดา
เฉิงฉือถือกล่องธูปใบนั้นพร้อมกับจับจูงมือของนางเดินต่อไป
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ว่าเฉิงฉือไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อครู่แล้ว
เป็นเพราะคำพูดของพ่อค้าคนนั้นหรือ
นางนึกไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะใส่ใจมากถึงเพียงนี้
เขา… ต้องเคยกลัดกลุ้มเรื่องฐานะลำดับศักดิ์ของทั้งคู่เช่นเดียวกับนางเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้ ดวงใจของนางก็พลันอ่อนระทวย ราวกับสายน้ำยามวสันต์ที่กระเพื่อมเป็นวงก็ไม่ปาน รู้สึกอ่อนนุ่มและอาวรณ์
นางอยากให้เฉิงฉือมีความสุข!
อยากให้เฉิงฉือมีความสุขยามที่อยู่กับนาง!
เช่นเดียวกับยามที่นางอยู่กับเฉิงฉือแล้วรู้สึกยินดีปรีดาละม้ายในใจมีนกตัวน้อยซ่อนอยู่ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็ชักมือของนางที่เฉิงฉือกุมอยู่ออกมา พลางกล่าวเสียงอ่อนละมุนขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ข้า… ข้าเหนื่อยเล็กน้อยเจ้าค่ะ…”
นางไม่อยากเดินเที่ยวงานวัดแล้ว
กลัวจะพบพ่อค้าเหมือนเมื่อครู่อีก แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ท่านน้าฉือไม่ชอบฟัง
เฉิงฉือเห็นนางสวมรองเท้าสีเขียวอ่อนลายเมฆมงคลแล้วลอบตำหนิตนเอง
เสาจิ่นเติบโตในห้องหอ เกรงว่าทั้งชีวิตคงไม่เคยเดินบนถนนนานถึงเพียงนี้มาก่อน
ตนก็ไม่ขบคิดให้รอบคอบเช่นกัน
“เช่นนั้นพวกเราไปนั่งพักที่โรงน้ำชาข้างต้นไหวสักหน่อยดีหรือไม่” เฉิงฉือเอ่ยถามโจวเสาจิ่น
โรงน้ำชาก็มีคนมากมายเหมือนกัน!
โจวเสาจิ่นรวบรวมความกล้าแล้วถามว่า “ไปวัดต้าเซียงกั๋วสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือค่อนข้างประหลาดใจ
ส่วนใหญ่โจวเสาจิ่นมักจะรับความหวังดีของเขาอย่างว่าง่าย น้อยครั้งนักที่จะเสนอเองว่าอยากจะทำอะไรขึ้นมาก่อนอย่างนี้
นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนมิได้ร้องรำทำเพลงแต่ฝ่ายเดียว
มีความปลาบปลื้มใจบางอย่างที่ถูกคนที่รักเฝ้ารอคอยเอ่อท้นอยู่
“ดี!” เขาตอบยิ้มๆ หางตาเหลือบมองชายกระโปรงของนางอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าจะไปเรียกเกี้ยวมาให้”
นางมิได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ! พวกเราเดินไปด้วยกันก็พอ”
อยากจะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าเซียงกั๋วกับเขาอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือใจเต้นตึกตักระรัว
ที่แท้การได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่รักก็ดีเช่นนี้นี่เอง ต่อให้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปก็ทำให้คนใจเต้นเหมือนรัวกลองได้
เขาคลี่ยิ้มพลางจับจูงมือของโจวเสาจิ่นไปยังวัดต้าเซียงกั๋ว
หรือเป็นเพราะว่าพระอาจารย์ใหญ่แสดงธรรมในช่วงเช้าไปแล้ว ตอนบ่ายทุกคนเลยไปเดินเที่ยวงานวัดกันหมด ผู้ที่มาสักการะในวัดต้าเซียงกั๋วจึงมีน้อยกว่าปกติ
เฉิงฉือพาโจวเสาจิ่นไปจุดธูปในวิหาร แล้วถามว่าอยากไปเสี่ยงเซียมซีหรือไม่
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
ยามโหย่วชู[1] พวกเขาก็ต้องไปพบหลี่ซื่อแล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่อยากฟังเจ้าอาวาสเหล่านั้นอ่านใบเซียมซีเลย แค่อยากอยู่กับเฉิงฉือให้นานขึ้นอีกนิด
เฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นคิดเหมือนกัน
เมื่อเห็นท้องฟ้ายังสว่างอยู่ เขาจึงกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราไปนั่งบริเวณหลังเขาสักหน่อยดีหรือไม่”
…………………………………………………………………………..
[1] ยามโหย่วชู คือ เวลา 17.00 น.