ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 406 พบโดยบังเอิญ
ตอนที่โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจิงมาถึงซอยอวี๋ซู่ เฉิงเซียวกับเฉิงเซิงก็รอพวกนางอยู่ที่นั่นแล้ว
พอเห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจิงลงจากรถม้าคันหน้าคนหนึ่งคันหลังคนหนึ่ง เฉิงเซิงก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ขณะเอ่ยถามว่า “พี่หญิงใหญ่ ไฉนพวกท่านถึงมาด้วยกันเจ้าคะ”
เฉิงเจิงมองดูบ่าวหญิงอุ้มบุตรชายสองคนลงจากรถม้าแล้วจึงตอบยิ้มๆ ว่า “พวกข้ามิได้พบกันโดยบังเอิญหรอก ข้าเห็นว่ายังมีเวลามาก จึงไปที่ซอยอวี๋เฉียน แล้วชวนเสาจิ่นมาด้วยกัน” จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “พวกเจ้ามาถึงเมื่อใด รอนานหรือไม่ รับมื้อเช้าแล้วหรือยัง”
ทว่าเฉิงเซียวกลับชำเลืองมองรถม้าคันที่โจวเสาจิ่นนั่งทีหนึ่ง
รถม้าสีดำหลังคาเรียบ ยกเว้นหน้าประตูรถม้าที่แขวนม่านไม้ไผ่เซียงเฟยติดพู่หลากสีแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีการประดับตกแต่งแต่อย่างใด ทว่าอาชาสีแดงกลับมีลักษณะสูงเพรียว ตัวใหญ่กำยำ ดวงตาสีดำขลับดูอ่อนโยนนุ่มนวล เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดีหายากตัวหนึ่ง สารถีที่ขับรถม้านั้นรูปร่างไม่สูงนัก แต่ทุกท่วงท่าอิริยาบถกลับคล่องแคล่วว่องไว แม้รถม้าดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ทว่าภายในรถกลับดูโอ่อ่าสูงส่ง ทำให้รถม้าของเฉิงเซียวที่อยู่ข้างๆ ดูด้อยกว่าเลยทีเดียว
รถม้าเช่นนี้ ทั่วทั้งจิงเฉิงมีไม่ถึงสิบคัน
นี่…คงจะเป็นรถม้าที่ท่านอาฉือจัดเตรียมไว้ให้นางกระมัง
หรือไม่ก็เป็นรถม้าของท่านอาฉือเอง?
เฉิงเซียวย่นหัวคิ้วน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น
ท่านอาฉือชักจะดีกับคุณหนูรองตระกูลโจวท่านนี้เกินไปแล้วหรือไม่
นางคิดมาตลอดว่าพี่สาวยังมีเรื่องบางอย่างปิดบังนางอยู่
เนื่องจากบุตรชายของโจวชูจิ่นยังเล็ก นางจึงไม่ไปเฟิงไถกับพวกนาง หลังจากพบบุตรชายสองคนของเฉิงเจิงและมอบของขวัญแรกพบให้แล้ว ก็ทักทายปราศรัยกันสองสามประโยค แล้วลุกขึ้นอำลากัน
โจวชูจิ่นส่งพวกนางถึงประตูใหญ่
ตระกูลเฝิงมิได้มีประวัติเก่าแก่เท่าตระกูลกู้กับตระกูลหยวน ส่วนมากเวลาที่เฉิงเซิงออกไปข้างนอกจะนั่งเกี้ยวไป เฉิงเซียวนึกไม่ถึงว่าซอยอวี๋เฉียนจะมีรถม้าเป็นของตนเอง และคิดถึงว่าพี่สาวจะพาหลานชายสองคนไปด้วย จึงใช้รถม้าไปรับเฉิงเซิงมาด้วยกัน ตั้งใจให้เฉิงเซิงนั่งรถม้าของเฉิงเจิงพี่สาวใหญ่ ส่วนตนพาสองพี่น้องตระกูลโจวนั่งไปด้วยกัน ตอนนี้โจวเสาจิ่นก็นำรถม้ามาเช่นกัน จู่ๆ ก็มีที่เหลือเฟือในทันใด เฉิงเซียวจึงปรึกษากับโจวเสาจิ่นว่า “หรือไม่เจ้าก็นั่งรถม้าของข้าแล้วกัน พวกเราจะได้พูดคุยกันระหว่างทางได้ด้วย”
รถม้าของโจวเสาจิ่นเป็นรถที่พ่อบ้านเซี่ยงจัดเตรียมไว้ให้
นางบอกพ่อบ้านเซี่ยงไว้ว่านางอยากจะไปเฟิงไถเพื่อซื้อดอกไม้กลับมาสักหน่อย ขอให้พ่อบ้านเซี่ยงช่วยเตรียมการให้ที
เดิมทีโจวเสาจิ่นคิดว่าพ่อบ้านเซี่ยงจะไปจ้างรถม้ามาสักคัน หารู้ไม่ว่าพอนางเดินออกจากประตูชั้นใน กลับเห็นรถม้าที่งดงามถึงเพียงนี้คันหนึ่ง
นางตกตะลึงยิ่งนัก
พ่อบ้านเซี่ยงอธิบายให้นางฟังยิ้มๆ ว่า นี่เป็นรถม้าที่นายท่านสี่กำชับเอาไว้ก่อนจะกลับจินหลิงขอรับ บอกว่าหากท่านต้องการใช้รถม้า ก็ให้แจ้งเรือนที่เฉาฝูหยางเหมิน ทางด้านโน้นมีพื้นที่กว้างขวาง เลี้ยงม้าไว้ห้าหกตัวขอรับ
โจวเสาจิ่นเห็นภายในรถม้าปูพื้นด้วยไม้เหอเถา ซึ่งแกะสลักเป็นภาพแปดเซียนข้ามสมุทร ภาพเทพยดาอวยชัยและอื่นๆ ทั้งยังปูพรมผืนหนาและวางหมอนอิงนุ่มนิ่มใบใหญ่เอาไว้ด้วย ชุดถ้วยชานั้นแม้ว่าเป็นชุดถ้วยชาจื่อซา แต่ยึดติดกับถาดวางชาได้ ยังมีเม็ดหมากล้อมที่ยึดติดกับกระดานหมากได้ด้วยเช่นกัน
นางเห็นแล้วก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
จึงไม่เกรงใจเฉิงฉือแล้ว
การนั่งรถม้าของตนเองย่อมมีอิสระมากกว่า
นอกจากนี้นางกับเฉิงเซียวก็ไม่มีเรื่องอะไรให้สนทนากันนักอีกด้วย!
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบว่า “ประเดี๋ยวกลัวว่าต้องขนดอกไม้อีก นำรถม้าไปสามคันดีกว่าเจ้าค่ะ!”
เฉิงเจิงได้ยินแล้วคิดว่าถ้อยคำนี้มีเหตุผล จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็นำรถม้าไปสามคันแล้วกัน! น้องสาม เจ้าอยากจะนั่งไปกับน้องรองหรือกับข้า หรือว่าจะนั่งไปกับเสาจิ่นก็ได้”
เฉิงเซิงตอบยิ้มๆ ว่า “ข้านั่งไปกับพี่รองเหมือนเดิมดีกว่าเจ้าค่ะ”
คนทั้งกลุ่มขึ้นรถม้ามุ่งไปยังเฟิงไถ
โจวเสาจิ่นอารมณ์เบิกบานคล้ายกับกำลังห้อม้ากลางสายลมวสันต์ก็ไม่ปาน ระหว่างทางก็เลิกผ้าม่านขึ้นชมทิวทัศน์ตลอดทาง
ชุนหว่านที่ติดตามนางออกมาด้วยอดกล่าวอย่างตื้นตันใจไม่ได้ว่า “คุณหนู ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าข้าติดตามท่านแล้วนอกจากจะได้ไปเขาผู่ขัว ยังได้ไปเป่าติ้งจนกระทั่งเมืองหลวงเลยเจ้าค่ะ…” มีความรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปชีวิตก็จะดียิ่งขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วคุยเล่นกับชุนหว่าน ไม่นานก็มาถึงเฟิงไถ
ทั่วทุกแห่งหนของเฟิงไถเต็มไปด้วยต้นหลิวเขียวชอุ่มกับดอกไม้สีแดงจ้า หมู่ภมรโบยบินหมู่ผีเสื้อร่ายระบำ ทั่วทั้งสวนแต้มแต่งไปด้วยสีสันฤดูใบไม้ผลิ พาให้คนเห็นแล้วอารมณ์สดใสเช่นเดียวกับอากาศในฤดูนี้
ชุนหว่านเห็นว่าบนถนนมีรถม้าเคลื่อนไปมา ข้างทางมีพ่อค้าต่อรองราคาดอกไม้และกลุ่มคนซื้อดอกไม้กันอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างกังวลว่า “หรือว่าพวกเราก็ต้องไปสอบถามทีละร้านอย่างนี้เจ้าคะ”
ชาติก่อน โจวเสาจิ่นเคยมาเฟิงไถแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนนั่งบนรถม้าขณะชมดอกไม้อย่างช้าๆ หากเห็นต้นไม้ดอกไม้ที่สนใจก็ให้คนหยุดรถม้า แล้วลงไปดู…
“ถ้าไม่ไปสอบถามทีละร้าน จะให้ยืนอยู่กลางถนนแล้วตะโกนถามว่าข้าต้องการดอกไม้อะไรอย่างนั้นหรือ” ขณะที่โจวเสาจิ่นยิ้มอยู่นั้น ก็เห็นรถม้าหยุดอยู่หน้ารั้วดอกจื่อเถิง[1] ที่เบ่งบานหน้าเรือนหลังหนึ่งแล้ว
สาวใช้ใหญ่ของเฉิงเจิงวิ่งมา แล้วเชิญโจวเสาจิ่นลงจากรถม้าอย่างนอบน้อมว่า “นี่คือสวนดอกไม้ของตระกูลวัง ต้นไม้ดอกไม้ในจวนพวกข้ามักจะเป็นของที่นางส่งมาให้เจ้าค่ะ สองวันก่อนต้าไหน่ไนได้ส่งคนมาแจ้งเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวคุณหนูรองเพียงตามต้าไหน่ไนเข้าไปก็พอเจ้าค่ะ”
เหตุเพราะสภาพอากาศ ในช่วงปีใหม่คนจากทางตอนใต้หากไม่วางดอกดารารัตน์หรือดอกล่าเหมย[2] เอาไว้ในบ้าน ก็จะวางต้นไม้ดอกไม้เช่นต้นส้มหรือต้นเหมยจำพวกนั้นที่มีความหมายเป็นศิริมงคลแทน บ้านเกิดนั้นยากจะลืมกันได้ พวกขุนนางจากเจียงหนานเหล่านั้นยังคงชื่นชอบปฏิบัติตามธรรมเนียมจากบ้านเดิมในช่วงปีใหม่จึงจัดวางต้นไม้ดอกไม้เอาไว้ในเรือน ด้วยเหตุนี้นักเพาะพันธุ์ดอกไม้หัวใสเหล่านี้จึงตั้งเรือนเพาะชำเพื่อเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกไม้จากทางตอนใต้ ตระกูลเฉกเช่นตระกูลเฉิงกับตระกูลกู้จึงกลายเป็นลูกค้าคนสำคัญของพวกเขา
โจวเสาจิ่นยังไม่ทันลงจากรถม้า ก็เห็นสตรีที่ออกเรือนแล้วคนหนึ่งพาเด็กสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งกับสตรีสาวสะพรั่งคนหนึ่งกระวีกระวาดเดินออกมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไปมาหาสู่กับตระกูลวังอยู่บ่อยๆ หรือไม่ สาวใช้ผู้นั้นเห็นคนมาแล้วก็ยิ้มพลางแนะนำโจวเสาจิ่นว่า “ผู้ที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีม่วงดอกติงเซียงที่เดินนำอยู่นั้นคือวังต้าเหนียง ส่วนอีกสองท่านคนหนึ่งคือบุตรสะใภ้คนโตของนาง อีกคนคือบุตรสาวของนางเจ้าค่ะ บางครั้งก็มักจะติดตามวังต้าเหนียงมาส่งดอกไม้ที่จวนของพวกข้า”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เห็นเฉิงเจิงลงจากรถม้าโดยมีบ่าวหญิงช่วยประคองแล้ว ถึงได้ลงมาจากรถม้าตาม
วังต้าเหนียงก้าวมาทำความเคารพเฉิงเจิงอย่างกระตือรือร้น กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่ได้รับแจ้งจากพ่อบ้านของจวนเมื่อสองวันก่อนข้าก็รอคอยต้าไหน่ไนมาตลอดเลยเจ้าค่ะ! ต้าไหน่ไนสบายดีหรือไม่ นายท่านใหญ่กับทุกคนในบ้านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” จากนั้นก็ทำความเคารพกู้หนิงกับกู้จง “ไม่เจอคุณชายน้อยทั้งสองท่านเพียงไม่กี่เดือน ก็ดูสุขุมเรียบร้อยยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ”
เฉิงเจิงยิ้มพลางพยักหน้า แล้วทักทายวังต้าเหนียง จากนั้นก็แนะนำคนข้างๆ ให้วังต้าเหนียงรู้จัก
ตอนที่วังต้าเหนียงเห็นโจวเสาจิ่นก็อดตะลึงงันไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “มิน่าคนถึงได้กล่าวว่าสาวงามล้วนมาจากเจียงหนาน คุณหนูท่านนี้ของพวกท่านหน้าตางดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวถ้อยคำถ่อมตนสองสามประโยค
วังต้าเหนียงค้อมศีรษะพลางนำพวกนางไปยังเรือนเพาะชำของตนเอง
ทว่าสายตาของแม่นางวังกลับชำเลืองมองมาเป็นพักๆ
โจวเสาจิ่นได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เฉิงเจิงก็แนะนำเรือนเพาะชำของตระกูลวังให้พวกนางฟังว่า “…ไม่ต้องพูดถึงดอกไม้นอกฤดูกาลเหล่านี้ นายท่านผู้เฒ่าวังเคยเพาะพันธุ์โบตั๋นสองสีในฤดูหนาวและเพาะพันธุ์บัวดำในฤดูร้อนมาก่อน! หากพวกเจ้าต้องการดอกไม้อะไรก็บอกวังต้าเหนียงโดยตรงได้เลย”
โจวเสาจิ่นเคยได้ยินแค่ดอกเบญจมาศดำกับดอกกล้วยไม้ดำมาก่อน นางเองก็เคยเพาะพันธุ์เช่นกัน แต่ไม่เคยได้ยินผู้ใดที่เพาะพันธุ์บัวดำมาก่อนเลย
นอกจากนี้ทางตอนเหนืออากาศแห้งแล้งและขาดแคลนน้ำ ตระกูลวังเพาะพันธุ์บัวดำได้ ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายและใจไปไม่น้อยทีเดียว
นางรู้สึกอัศจรรย์ใจแล้วอดเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อสวนดอกไม้ของตระกูลวังไม่ได้
เฉิงเจิงเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ
เด็กสาวผู้นี้ช่างใสซื่อเหลือเกิน เพียงดอกไม้ไม่กี่ดอกต้นหญ้าไม่กี่ต้นก็ตื่นเต้นดีใจแล้ว มิน่าท่านอาฉือถึงได้โปรดปรานนางเป็นพิเศษ
พวกนางเข้าไปในเรือนเพาะชำ แล้วถูกภาพดอกไม้หลากหลายสีสันภายในเรือนเหล่านั้นดึงความสนใจไปในทันที
เฉิงเซิงจึงถามวังต้าเหนียงขึ้นว่า “บัวดำของพวกเจ้าอยู่ที่ใด พวกข้าก็อยากจะเปิดโลกทัศน์เหมือนกัน!”
“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” วังต้าเหนียงกล่าวยิ้มๆ อย่างถ่อมตน “เพียงดอกไม้ต้นหญ้าเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ! สะพานที่ท่านเคยข้ามยังมีมากกว่าถนนที่ข้าเคยเดิน ไหนเลยจะกล่าวว่าเปิดโลกทัศน์ได้ ท่านก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” ขณะที่กล่าวก็ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ นำพวกนางไปกลางเรือนเพาะชำ
กลางโอ่งเครื่องลายครามใบใหญ่มีใบสีเขียวชอุ่มคล้ายกับถาดทรงกลมลอยอยู่ และดอกบัวที่เรียกว่าบัวดำแต่ความจริงมีสีแดงอมน้ำตาลขนาดเท่าปากชามสองสามดอกประดับอยู่ในนั้น
“สวยงามจริงๆ!” เฉิงเซิงล้อมดูดอกบัวดอกนั้น พลางเอ่ยถามว่า “ดอกบัวนี้ขายอย่างไร”
วังต้าเหนียงตอบอย่างลุแก่โทษว่า “ดอกบัวเหล่านี้เลี้ยงไม่ง่ายเลยเจ้าค่ะ เคยมีคนซื้อกลับไป ผ่านไปได้เพียงสามถึงห้าวันก็เหี่ยวเฉาตาย หลังจากนั้นก็ไม่ขายอีกเลยเจ้าค่ะ”
เกรงว่านี่คงจะเป็นสมบัติล้ำค่าของร้านที่ตระกูลวังใช้ดึงดูดลูกค้าเป็นแน่
เฉิงเซิงคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ไม่ซักไซ้อีก
โจวเสาจิ่นคิดว่าบัวดำนี้ไม่ได้ดูสวยสดงดงามเท่าบัวขาวหรือบัวแดง แต่เพาะพันธุ์สายพันธุ์เช่นนี้ได้ ก็ยังทำให้คนอัศจรรย์ใจได้ไม่น้อย
นางเอ่ยถามว่า “ดอกนี้ใช้ดอกบัวแดงเพาะพันธุ์หรือ ไม่รู้ว่าใช้ดอกบัวแดงสายพันธุ์อะไรเพาะออกมา?”
โจวเสาจิ่นไม่เคยเพาะพันธุ์ดอกบัวมาก่อนแต่นางเคยเพาะพันธุ์ดอกเบญจมาศ
ดอกเบญจมาศดำก็คือดอกเบญจมาศเขียวทั่วไปที่พัฒนาสายพันธุ์ในแต่ละรุ่นจนเป็นดอกเบญจมาศดำ
แม่นางวังผู้นั้นพอเห็นว่าคำถามที่โจวเสาจิ่นถามเป็นถ้อยคำที่รู้ลึก สีหน้าก็อดเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้
วังต้าเหนียงก็สงวนท่าทีขึ้นมาเล็กน้อย ตอบว่า “เรื่องสายพันธุ์ดอกไม้นี้ ต้องสอบถามนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้า ข้าก็เพียงปากไวพูดส่งเดชออกไปเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าตระกูลวังหวงวิชา คิดถึงว่าตระกูลวังอาศัยเรื่องนี้ในการทำมาหากิน จึงไม่อยากสร้างความลำบากใจแก่ผู้อื่น ยิ้มพลางเปลี่ยนบทสนทนาว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังมีต้นไม้ดอกไม้ที่แปลกใหม่หายากอีกหรือไม่”
วังต้าเหนียงกำลังจะเอ่ยปากตอบ ก็มีเด็กสาวท่าทางคล้ายสาวใช้วิ่งมาแจ้งว่า “ต้าเหนียง คุณหนูหกตระกูลฟางพาญาติผู้หนึ่งมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการซื้อต้นไม้ดอกไม้หายากสองสามต้นกลับไปปลูก…”
“คุณหนูหกตระกูลฟาง?” ไม่รอให้วังต้าเหนียงเอ่ยตอบ เฉิงเซิงก็กล่าวขึ้นแล้วว่า “เป็นคุณหนูหกตระกูลฟางจากซูเฉิงใช่หรือไม่”
สาวใช้เด็กคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “คราวก่อนนางเคยซื้อดอกซานฉากลีบสิบแปดชั้นสองต้นกลับไปเจ้าค่ะ”
“ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอญาติที่นี่เลย!” เฉิงเซิงยิ้มพลางกล่าวกับสาวใช้เด็กคนนั้นว่า “เจ้าไปบอกว่าข้าอยู่ที่นี่ ให้พวกนางรอไปก่อน!”
สาวใช้เด็กผู้นั้นมองวังต้าเหนียงอย่างพรั่นกลัวเล็กน้อย
วังต้าเหนียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร เผิงไท่ไทกับคุณหนูตระกูลฟางเป็นญาติกัน เจ้านำความไปแจ้งตามนั้นก็พอ”
เฉิงเจิงก็ยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นบุตรสาวตระกูลฟางจากซูเฉิง เจ้าควรจะรู้จักคนของตระกูลฟางบ้างถึงจะถูก ล้วนมิใช่คนนอกอะไร!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงพบเจอคนจากตระกูลฟางสองสามคนตอนที่ทำพิธีอาบน้ำครบสามวันของกวนเกอคราวก่อนเท่านั้น คุณหนูหกตระกูลฟางท่านนี้ข้าอาจจะไม่รู้จักเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำของนางยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงใสกังวานเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ว่าใครช่างอาจหาญต้องการให้ข้ารอ ในที่สุดก็ได้พบตัวการแล้ว!”
โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับไป ก็เห็นหญิงสาวสองคน
คนที่อายุมากกว่ามีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี ส่วนคนที่อายุน้อยกว่าท่าทางเหมือนอายุสิบห้าสิบหกปี คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงดอกกุหลาบ ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าราวดวงจันทร์กระจ่าง อากัปกิริยาสง่าผ่าเผย อีกคนสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงสด คิ้วโก่งโค้งประดุจขุนเขาที่มองเห็นไกลๆ นัยน์ตาเปล่งประกาย ดูน่ารักซุกซน
………………………………………………………………….
[1] ดอกจื่อเถิง คือ ดอกวิสทีเรีย
[2] ดอกล่าเหมย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chimonanthus praecox เป็นไม้พุ่มผลัดใบ ออกดอกในช่วงเดือนสิบสอง ดอกมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม