ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 410 ยืนยันความจริง
บ่าวจากบ้านเดิมที่เฉิงเจิงส่งกลับไปจินหลิงเพื่อสืบข่าวเขียนจดหมายมาแจ้งนางว่า ฮูหยินกับคนของจวนรองและจวนสามทะเลาะกันขึ้นมา นอกจากจะเลื่อนงานแต่งงานกับตระกูลหมิ่นที่เดิมกำหนดไว้ช่วงเดือนเก้าออกไปเป็นเดือนสองปีหน้าแล้ว ยังป่าวประกาศว่าต้องการจะแยกตระกูลจากซอยจิ่วหรู
ตระกูลเฉิงทั้งนายและบ่าวประท้วงกันส่วนหนึ่ง
ทว่าท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว
ซอยจิ่วหรูกลับลอบลือกันว่า นายท่านใหญ่จากจวนหลักเข้าสู่ราชสำนักแล้วก็ทำตัวไร้สาระขึ้นมา ถ้อยคำอะไรล้วนกล้าพูด เรื่องอะไรล้วนกล้าทำ ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองก็เคยอยู่ในราชสำนักมาก่อนมิใช่หรือ แต่เขาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ นอกจากจะไม่ได้พูดอะไรเลย ยังดูแลคนในตระกูลโดยไม่พูดบ่นคำใด เมื่อนึกถึงตอนเริ่มแรก จวนหลักเองก็ได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านผู้นำตระกูลของจวนรองมาไม่น้อยมิใช่หรือ บัดนี้ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองชราวัยแล้ว คุณชายใหญ่ของจวนรองแม้อายุยังน้อยก็สอบได้ยศจวี่เหรินแล้ว ทว่าแม้นประสบความสำเร็จแล้วแต่ยังคงต้องไต่เต้าต่อไป แม้ยามที่ต้องการให้จวนหลักค้ำจุนอุปถัมภ์ จวนหลักกลับประกาศว่าอยากจะแยกตระกูล… ฮูหยินหยวนผู้นี้เป็นเพียงสตรีในห้องหอผู้หนึ่ง หากว่าไม่มีการพยักหน้าอนุญาตจากนายท่านใหญ่จิง จะกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร เห็นได้ว่าการแบ่งแยกตระกูลนั้นเป็นเรื่องเล็ก เกรงว่านายท่านใหญ่ของจวนหลักประสบความสำเร็จแล้วบีบคั้นคนของจวนรองถึงจะเป็นเรื่องจริง…
เฉิงเจิงหยุดหายใจ เบื้องหน้านางดับวูบ เป็นลมล้มพับลงไป
แม่นมผู้นั้นตกใจจนดวงหน้าเผือดสี ด้านหนึ่งก็ขยำจดหมายนั้นเป็นก้อนกลมแล้วยัดใส่ในเอี๊ยมบังทรงที่แนบติดตัว อีกด้านก็ตะโกนเรียกคนเสียงดัง ทั้งหยิกทั้งนวด นานครู่ใหญ่กว่าเฉิงเจิงจะค่อยๆ หายใจได้อีกที
โชคดีที่กู้ซวี่ไปสำนักว่าการ ส่วนบุตรชายทั้งสองกำลังเรียนตำรากับอาจารย์ในห้องหนังสือที่เรือนชั้นนอก
ส่วนบรรดาญาติตระกูลกู้คนอื่นๆ ต่างอาศัยที่เรือนฝั่งถนนตะวันออก จึงไม่ได้ทำให้ผู้อื่นแตกตื่นกันนัก
เฉิงเจิงส่งบ่าวที่รับใช้ข้างกายออกไป แล้วถามแม่นมว่าจดหมายอยู่ที่ใด
แม่นมล้วงจดหมายออกมาจากอก
เฉิงเจิงอ่านจดหมายฉบับนั้นใหม่อีกรอบอย่างละเอียด
นางยิ่งอ่านยิ่งหวาดกลัว ยิ่งอ่านยิ่งสับสน แล้วบอกให้แม่นมเผาจดหมายทิ้ง
แม่นมไม่รีรอชักช้า จุดเทียนแล้วเผาจดหมายต่อหน้าเฉิงเจิง
เฉิงเจิงถึงค่อยรู้สึกโล่งใจ เอนอิงหัวเตียงขณะครุ่นคิดนานครึ่งค่อนวัน แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านที่เรือนชั้นนอกว่าให้จัดเตรียมรถม้าให้ข้าที ข้าจะรีบไปซอยซิ่งหลิน หากว่าเรื่องนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ละก็ เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสบริภาษท่านพ่อ ต้องรีบขบคิดแผนการรับมือสักแผนหนึ่งให้ได้”
เพียงแต่พวกนางไม่มีอำนาจจัดการได้ ไม่เข้าใจสถานการณ์ในจินหลิงอย่างถ่องแท้ มิอาจโต้ตอบกลับไปอย่างทันท่วงที
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ยังคงต้องให้บิดาออกหน้าให้
แม่นมผ่านเรื่องต่างๆ กับเฉิงเจิงมาไม่น้อย เป็นผู้ที่จิตใจประหนึ่งกระจกผู้หนึ่ง พอได้ยินแล้วก็พยักหน้าทันที เรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติเฉิงเจิงล้างหน้าแต่งตัว ส่วนตนเองรีบสาวเท้าออกไปเรือนชั้นนอก
เฉิงเจิงให้สาวใช้ปรนนิบัติตนเองด้วยใจเหม่อลอย ทว่าในใจกลับใคร่ครวญครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอด
ถ้าหากข่าวที่บ่าวรับใช้จากบ้านเดิมได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ประการแรกการที่ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองกับท่านย่านิ่งเงียบก็ชวนให้ผู้คนต้องขบคิดด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ประการที่สองคือมารดา นางมิใช่เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เช่นนั้น เรื่องแบ่งแยกตระกูลประเภทนี้ หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องเล็กก็คือเห็นแก่ตัว หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือประสบความสำเร็จแล้วลืมรากเหง้าตระกูลตนเอง ดังนั้นผู้ใดที่เอ่ยถึงการแยกตระกูลผู้นั้นก็ต้องถูกคนตราหน้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลใหญ่โตที่ไม่รู้ว่าคนในตระกูลมากน้อยเพียงใดใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขทว่าต่างทำได้แต่อดทนอดกลั้นเอาไว้นั่นเอง ตระกูลหยวนซึ่งเป็นตระกูลเดิมกับตระกูลฟางซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของมารดาต่างเป็นตระกูลใหญ่โตเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นบิดาเพิ่งจะเข้าสู่ราชสำนักได้ไม่นาน ยังไม่มีที่ยืนที่มั่นคง มิอาจต้านทานกระแสทิศทางลมที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยได้เลย ถ้าหากชื่อเสียงว่าเป็นคนอกตัญญูลืมคุณคนถูกแพร่ออกไป เส้นทางขุนนางนี้คงจะถึงจุดจบ มารดาควรจะรู้ดีถึงจะถูก เหตุใดมารดาถึงต้องประกาศจะแยกตระกูลในเวลานี้ด้วยเล่า
บวกกับข่าวลือเหล่านั้นในซอยจิ่วหรู คล้ายกับขุ่นเคืองแทนจวนรอง เสมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้า ทุกด้านล้วนหันเข็มเข้าหาจวนหลัก ทุกถ้อยคำล้วนตำหนิจวนหลัก นางไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ!
แม่นมจัดการทุกอย่างได้อย่างรอบคอบยิ่ง ไม่รอให้เฉิงเจิงผัดหน้าแต่งตัวเสร็จ นางก็เข้ามาแจ้งแล้วว่า “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ข้ายังให้พ่อบ้านส่งคนล่วงหน้านำความไปแจ้งซอยซิ่งหลินด้วยเจ้าค่ะ”
หากทำเช่นนี้ ถ้าเกิดเฉิงจิงไม่อยู่บ้าน คนของซอยซิ่งหลินก็ไปเรียกเฉิงจิงกลับมาได้
เฉิงเจิงพยักหน้าด้วยใบหน้าดำดิ่งดั่งน้ำลึก เรียกสาวใช้ใหญ่เข้ามากำชับในทำนองว่า ต้องดูแลคุณชายใหญ่กับคุณชายรองให้ดี หากนายท่านกลับมาแล้วก็ปรนนิบัติท่านรับประทานอาหารก่อนเลย ไม่ต้องรอข้ากลับมา จากนั้นจึงพาแม่นมไปซอยซิ่งหลิน
เฉิงจิงไม่อยู่ตามคาด
มีบ่าวเด็กนำความไปแจ้งที่สำนักว่าการ
ผ่านไปเพียงสองก้านธูป เฉิงจิงก็เดินทางกลับจวนแล้ว
เฉิงเจิงก้าวไปทำความเคารพบิดา แล้วอดสำรวจบิดาอย่างละเอียดไม่ได้
ปีนี้เฉิงจิงอายุห้าสิบสามปี รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย ใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม เนื่องจากดูแลรักษาสุขภาพร่างกายดี จึงดูเหมือนเพียงอายุสี่สิบกว่าปีเท่านั้น ทุกท่วงท่าอิริยาบถเป็นสง่ายิ่ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาเช่นนี้ เฉิงเจิงพูดอะไรไม่ออก
บิดาอนุญาตให้มารดาประกาศจะแยกตระกูลได้อย่างไร
แต่หากไม่มีคำอนุญาตของบิดา มารดาจะกล้าประกาศกร้าวว่าจะแยกตระกูลได้อย่างไร
เฉิงจิงมองดูบุตรสาวที่เรียกตนเองกลับมาอย่างร้อนรนแต่พอเขายืนอยู่ต่อหน้านางกลับทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยคำใด จึงอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ หรือว่าทะเลาะกับต้าหลุนมา เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไปช่วยจัดการต้าหลุนให้เจ้าเอง เขากินดีหมีหัวใจเสือแล้ว แม้แต่บุตรสาวของข้าก็กล้ากลั่นแกล้ง ข้าจะให้เขาขอโทษเจ้า…”
สมัยเป็นเด็ก ถ้าหากนางก่อเรื่องอะไรขึ้นมา บิดาก็จะยืนข้างนางอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้เหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ออกเรือนห่างจากบ้านสิบกว่าปีนั้นก็ชดเชยคืนให้ในชั่วเสี้ยวนี้หมดแล้ว
เฉิงเจิงกล่าวถ้อยคำในใจออกมาโดยไม่ลังเลขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าส่งคนกลับไปทำธุระที่จินหลิง ปรากฏว่าพ่อบ้านบอกข้าว่า ท่านแม่ทะเลาะกับจวนรองและจวนสาม…”
นางเล่าเรื่องทั้งหมดที่นางรู้ให้บิดาฟัง
เฉิงจิงฟังเงียบๆ พยายามสะกดกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้า
เฉิงเจิงรู้สึกเย็นเยือกในใจ ตะโกนขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ท่านพ่อ”
เฉิงจิงเม้มปากกลั้นยิ้ม ความสุภาพอ่อนโยนบนดวงหน้ามลายหายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยความสุขุมเยือกเย็น
“เรื่องของเจียซ่าน ก็ไม่เคยเล่าอะไรให้เจ้าฟังนักมาก่อน” เขาเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า “เป็นเพราะว่าเรื่องนั้นมิใช่เรื่องดีอะไร เป็นเรื่องที่เจียซ่านทำผิด ดังนั้นพวกเราจึงมิได้สืบสาวราวเรื่องสาวใช้คนนั้นของอาสี่ของเจ้า ถือเป็นบทเรียนบทหนึ่งให้แก่น้องชายของเจ้า แต่สิ่งที่ทำให้ข้ากับแม่ของเจ้าไม่คาดคิดมาก่อนคือ เรื่องนี้เป็นแผนที่จวนรองกับจวนสามร่วมมือกันทำร้ายน้องชายของเจ้า…” เขาเล่าเรื่องที่เฉิงเจิ้งส่งความแจ้งให้เฉิงสือแล้วลวงโจวเสาจิ่นไปสวนดอกไม้อย่างไร และเฉิงสือวางยาในสุราของเฉิงสวี่อย่างไร หลังจากนั้นเฉิงอี๋ประณามความผิดของเฉิงสวี่อย่างไร แต่ละเรื่องล้วนเล่าให้เฉิงเจิงฟังทั้งหมด
เฉิงเจิงได้ยินแล้วเบิกตาอ้าปากกว้าง นานครู่ใหญ่ไม่ได้เอ่ยปากกล่าวคำใด
“เจิงเอ๋อร์” ดวงหน้าของเฉิงจิงเต็มไปด้วยรอยเหนื่อยล้า สีหน้าซับซ้อน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำและแหบพร่า “เดิมทีก็กำเนิดมาจากรากเดียวกัน ไฉนต้องเร่งเคี่ยวเข็ญจนวางวายด้วยเล่า ข้าไม่กลัวที่จะแย่งชิงมรดกของบุตรหลานในอนาคตอยู่ข้างนอก พวกเราจวนหลักมีวันนี้ได้ ก็เคยได้รับการเกื้อหนุนเจือจุนจากท่านผู้นำตระกูลจากจวนรอง ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนตั้งอยู่เพื่อผู้มีคุณธรรม แต่ข้าไม่มีทางยอมทนให้พวกเขามาวางแผนทำร้ายน้องชายของเจ้าเช่นนี้ได้ ต่อให้เขามีความผิดนับพันนับหมื่น นั่นก็เป็นความผิดต่อเจ้าเด็กรองตระกูลโจว แต่ไม่เคยทำผิดต่อพวกเขาพี่น้องเหล่านี้เลย ความคิดของพวกเขาชั่วร้ายเกินไป เจ้าคิดดูสิ หากมิใช่เพราะความโชคดี ตอนที่เจ้าเด็กรองตระกูลโจวไปสวนดอกไม้แล้วสาวใช้คนนั้นของอาสี่ของเจ้าก็ติดตามไปด้วยตลอดทาง เรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไร พวกเราจะอธิบายให้ตระกูลหมิ่นกับตระกูลโจวอย่างไร ความบริสุทธิ์ทั้งชีวิตของน้องชายของเจ้ายังจะเหลืออยู่หรือไม่ เขายังจะรับราชการได้อยู่หรือ เป็นผู้นำตระกูลได้อยู่หรือ แม่ของเจ้าร้องไห้โอดครวญกับข้า ข้ามิอาจปฏิเสธนางได้…”
เฉิงเจิงเพียงรู้สึกขมฝาดไปทั้งปาก
นางกล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ย่าของเจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าตื่นตูมเกินไป” เฉิงจิงนวดหัวคิ้ว พลางกล่าวว่า “แต่หลักฐานวางอยู่ตรงนั้น ย่าของเจ้าจึงพูดอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“หลักฐาน?” เฉิงเจิงได้ยินแล้วลอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ท่านแม่จับหลักฐานของพวกเขาได้หรือ ก่อนหน้านี้ท่านอาสี่ก็อยู่บ้าน มิได้ช่วยไกล่เกลี่ยสักหน่อยเลยหรือเจ้าคะ”
ไม่ว่าจะเป็นสายตา กลยุทธ์เล่ห์เหลี่ยมหรือการมองการณ์ไกลท่านอาสี่ล้วนนำหน้าท่านแม่ไกลโข ในเมื่อท่านอาสี่ช่วยไกล่เกลี่ยให้แล้ว ท่านแม่จะเปิดบัญชีเก่า ซ้ำยังสืบหาจนพบหลักฐานได้อย่างไร
หากทำเช่นนี้จะไม่เป็นผลเสียต่อจวนหลักหรือ
เฉิงเจิงกถามอีกว่า “ท่านอาสี่อยู่ที่ใด ยังอยู่ที่จินหลิงหรือเปล่า เขาว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“เขายังอยู่ที่จินหลิง” เฉิงจิงตอบ “เจ้าก็รู้นิสัยของเขาคนนี้ เรื่องหยุมหยิมในบ้านเหล่านี้เขาไม่สนใจเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้จวนรองกับจวนสามจึงกล้าพูดจาเลื่อนเปื้อนต่อหน้าเขา สำหรับเรื่องแยกตระกูลเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องออกหน้ามาทัดทานแม่ของเจ้าแล้ว พูดถึงหลักฐาน เป็นแม่ของเจ้าที่ค้นพบโดยบังเอิญว่ามีบ่าวไพร่ขโมยของในบ้าน ซึ่งเกี่ยวพันกับเรื่องวางยาในสุรา… ด้วยเหตุนี้ แม่ของเจ้ายังเขียนจดหมายมาบ่นอาสี่ของเจ้ากับข้าอีกด้วย” เขากล่าวยิ้มๆ อย่างขมขื่นว่า “ข้าบอกแม่ของเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าแม่ของเจ้าจะฟังเข้าหูมากน้อยเพียงใด ไว้ตอนที่เจ้าพบแม่ของเจ้า จะต้องเกลี้ยกล่อมนางให้ได้ วันหลังมีเรื่องอะไรก็พูดกับอาสี่ของเจ้าให้น้อยลงสักหน่อย หลายปีมานี้เขาเสียสละเพื่อตระกูลนี้มามากแล้ว ข้ากับอารองและปู่รองของเจ้ารับราชการอย่างสบายใจได้ ล้วนแล้วแต่อาศัยทรัพย์สินจากกองกลาง นางทำตัวเช่นนี้ ไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ของพวกข้าพี่น้อง ยังจะทำให้ย่าของเจ้าไม่พอใจ นางจะทำตัวเป็นคนชั่วคนหนึ่งไปทำไมเล่า!”
เฉิงเจิงก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน
นางคิดมาตลอดว่าปมในใจที่มารดามีต่อท่านอาสี่มีสาเหตุจากความอิจฉาและริษยา
อิจฉาที่ท่านอาสี่ไม่ต้องเหนื่อยยากตรากตรำแม้นิดเดียวก็สอบได้ยศจิ้นซื่อแล้ว และริษยาที่ท่านอาสี่ดูแลจัดการกิจการของตระกูล จวนต่างๆ ในซอยจิ่วหรูล้วนต้องคอยดูสีหน้าของเขา
อย่างไรก็ตาม ท่านอาสี่เห็นด้วยได้อย่างไรกันนะ
เฉิงเจิงคิดไม่ตก
คิดว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง!
การกระทำของมารดาหุนหันเกินไปแล้ว
นางตอบรับอย่างส่งๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเอ่ยถึงเรื่องแยกตระกูลขึ้นว่า “…ท่านตัดสินใจแล้วหรือ ทางการว่าอย่างไร แล้วจวนรองกับจวนสามจะย้ายออกไปอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
เฉิงจิงไม่ได้ตอบคำถามที่สอง แต่หลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้ากับแม่ของเจ้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้ครั้งนี้แยกตระกูลไม่สำเร็จ ก็ต้องทำให้จวนรองกับจวนสามไม่สามารถแทรกแซงเรื่องของพวกเราจวนหลักได้อีก หาไม่แล้วหากครั้งนี้พวกเขาทำไม่สำเร็จ จะต้องมีครั้งต่อไปอีกเป็นแน่ มีแต่คำกล่าวที่ว่ารอจับขโมยพันวัน ไม่มีคำกล่าวที่ว่ารอกันขโมยพันวัน พวกเรามิอาจใช้ชีวิตโดยระมัดระวังจวนรองกับจวนสามอย่างนี้ตลอดไป สำหรับเรื่องย้ายบ้าน ความคิดของข้ากับแม่ของเจ้าคือ พวกเราย้ายออกมา พวกเราย้ายมาอยู่ที่จิงเฉิง ยกซอยจิ่วหรูให้จวนรองไป ส่วนเรื่องจวนสาม จวนสี่กับจวนห้าจะทำอย่างไร พวกเรามิอาจเข้าไปยุ่งด้วยได้หรอก”
เฉิงเจิงดวงหน้าเปลี่ยนสี กล่าวว่า “แต่พวกเราเป็นจวนหลักนะเจ้าคะ! ยามที่แยกตระกูลมีเหตุผลที่ไหนที่จวนหลักต้องย้ายออกไปด้วยเล่า หากเป็นเช่นนี้คนในเมืองจินหลิงจะยิ่งคิดว่าพวกเราเป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลมิใช่หรือเจ้าคะ”
เฉิงจิงยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ระเบียนประวัติตระกูลของซอยจิ่วหรูยังอยู่ในมือของจวนรอง! มิใช่ว่าเขาไม่ยอมปล่อยมือมาโดยตลอดหรอกหรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปเลยแล้วกัน พวกเราหาทางย้ายเข้าสำมะโนครัวของจิงเฉิง ที่ดินแถวต้าซิ่งหรือหว่านผิงก็ซื้อไว้เป็นสุสานของตระกูล สร้างหอบรรพชนใหม่ แล้วย้ายหลุมฝังศพของทวดกับปู่ของเจ้ามาที่นี่”
………………………………………………………………….