ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 412 ได้รับเชิญ
โจวเสาจิ่นไม่รู้เลยว่าที่ซอยจิ่วหรูในเมืองจินหลิงเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ อาหารอันโอชา ถ้วยชามลายวิจิตร ทัศนียภาพแสนงดงาม ดนตรีไพเราะเสนาะหู บทสนทนาที่เป็นกันเอง และความสนใจที่จริงใจ ทำให้วันนั้นฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่มาเป็นแขกที่ซอยอวี๋เฉียนรู้สึกได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมือนอยู่ในบ้านของตนเอง นางเอ่ยชมการตระเตรียมของหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นไม่หยุด อีกทั้งเหตุเพราะมีเรื่องของโจวชูจิ่น ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงตั้งใจยกย่องหลี่ซื่อ นับแต่นั้นมาก็ไปมาหาสู่กับหลี่ซื่ออย่างสนิทสนม
หลี่ซื่อทั้งมีไหวพริบและใจกว้างขวาง เพียงไปเป็นแขกที่ซอยอวี๋ซู่ไม่กี่ครั้ง บรรดาญาติเหล่านั้นของฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่มาเยี่ยมเรือนตระกูลเลี่ยวเมื่อเห็นหลี่ซื่อต่างก็เรียกนางว่า ‘ฮูหยินบ้านหลานสะใภ้’ อย่างกระตือรือร้นแล้ว หลี่ซื่ออดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวกับโจวเสาจิ่นเป็นการส่วนตัวว่า “สินเดิมของบุตรสาวยามออกเรือนนี่มีน้อยไม่ได้จริงๆ เครื่องประดับเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้เจ้าเจ้าเก็บเอาไว้ดีกว่า อย่าตกเป็นรางวัลให้ผู้อื่นตามอำเภอใจอีกเลย อีกสองวันข้าจะไปเดินดูร้านเครื่องประดับกับเจ้า ทำเครื่องประดับทองแท้กับเงินแท้ให้เจ้าสักหน่อย หากเจ้าต้องการตกรางวัลให้ผู้อื่น ก็ใช้เครื่องประดับพวกนั้นมอบให้แทนแล้วกัน”
หลายวันก่อนนางเห็นชุนหว่านหยิบกำไลข้อมือหยกสีเขียวแวววาวมาวงหนึ่ง ทว่าหยกเนื้อใสนั้นกลับมิได้ด้อยไปกว่าจี้หยกที่นางมักจะสวมใส่ยามปกติ นางยังคิดว่าเป็นของโจวเสาจิ่น ปรากฏว่าชุนหว่านบอกว่าเป็นของที่โจวเสาจิ่นตกรางวัลให้นาง นางกลัวจะทำตกแตก แล้วรู้สึกเสียดาย ยามว่างจึงหยิบออกมาเชยชม นอกจากนี้โจวเสาจิ่นยังไม่หยุดแค่ตกรางวัลให้นางเป็นกำไลข้อมือหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น ยังมอบเครื่องประดับศีรษะรูปใบแปะก๊วยให้นางทั้งชุด ปิ่นปักผมฝังอัญมณีสองสามอัน และเครื่องประดับไข่มุกทะเลใต้สองคู่อีกด้วย… เกรงว่าแม้แต่คุณหนูตระกูลร่ำรวยทั่วไปก็ไม่มีเครื่องประดับที่มีค่าเท่าของนาง
ด้วยรายได้ของโจวเจิ้นนั้น แม้ว่าหลายปีมานี้จะพยายามเตรียมสินเจ้าสาวให้บุตรสาวทั้งสองคน แต่สุดท้ายกำลังทรัพย์ก็มีจำกัด เป็นไปได้ว่าของเหล่านี้คงจะเป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่าตกรางวัลให้ แล้วโจวเสาจิ่นก็มอบให้ชุนหว่านอีกที
หลี่ซื่อครุ่นคิดแล้วรู้สึกเป็นกังวล
โจวเสาจิ่นก้มหน้าหลุบตาขานรับอย่างเชื่อฟัง ทว่ามิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
มีชีวิตอยู่มาสองชาติภพ สิ่งใดสำคัญที่สุด นางย่อมรู้ดีแก่ใจเป็นธรรมดา การที่ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อดีกับนาง ใช่ว่าจะวัดกันได้ด้วยเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น เพียงแค่มอบของดีมีค่าให้พวกนาง และทำให้พวกนางมีความสุขเหมือนกันเท่านั้นเอง
แต่กระนั้น ตอนที่ไปเดินดูร้านเครื่องประดับกับหลี่ซื่อ นางยังเลือกเครื่องประดับเงินและทองหลายชิ้นอยู่ดี ของพวกนี้ไว้ใช้ตกรางวัลให้แก่พวกชุนหว่าน พวกนางจะได้ทำเป็นมรดกตกทอดของตระกูลต่อไป ถือเป็นของดูต่างหน้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ชุนหว่านมอบแก่บุตรหลานรุ่นหลังต่อไป
นึกถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยขึ้นมา
อีกไม่กี่ปีชุนหว่านก็ต้องออกเรือนแล้ว ชาติก่อนมิได้สนใจไยดีนางแม้แต่น้อย เรื่องแต่งงานของนางเป็นอย่างไรบ้างนะ
ระหว่างที่ใจลอยอยู่นั้น ก็มีคนวิ่งมาเรียกนางว่า “คุณหนูรอง”
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง ดึงสติกลับมาแล้วหันไปดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฟางเซวียนที่พบกันเมื่อหลายวันก่อน
นางสวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีชมพูลายดอกสายน้ำผึ้งตัวหนึ่ง ยิ้มให้นางพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าคลับคล้ายว่าเห็นเจ้าจากไกลๆ พี่สาวเจียยังไม่เชื่อ เป็นเจ้าจริงด้วย! ช่างบังเอิญจริงๆ! จิงเฉิงใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบกันโดยบังเอิญ เจ้าก็มาซื้อเครื่องประดับหรือ เครื่องประดับร้านนี้ไม่เลวทีเดียว! คนต่างถิ่นรู้จักแต่ร้านหย่งฝูเซิ่ง ความจริงเครื่องประดับของร้านไป๋เป่าไจนี้ขายได้ดีกว่าร้านหย่งฝูเซิ่งเลยด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็รู้จักร้านแห่งนี้” ขณะที่นางกล่าวก็ชี้ไปที่ชั้นสอง แล้วกดเสียงลงกระซิบยิ้มๆ ว่า “พี่สาวเจียใกล้จะออกเรือนแล้ว ท่านแม่ของข้าได้รับไหว้วานมาจากมารดาของนาง ออกมาซื้อของจุกจิกเป็นเพื่อนนาง ข้าเลยตามมาด้วย” แล้วกล่าวอีกว่า “ท่านปู่ของข้ากับท่านปู่ของพี่สาวเจียเคยเป็นสหายร่วมราชสำนักกัน ท่านแม่ของข้ากับมารดาของพี่สาวเจียโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างออกเรือนไปถึงได้แยกจากกัน แต่ก็ยังติดต่อพบปะกันเสมอ”
มิน่าตระกูลฟางกับตระกูลหมิ่นถึงได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนี้!
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งหยุดค้างบนตัวนางจากชั้นสอง
นางไม่อยากจะรู้ว่าผู้นั้นเป็นผู้ใด ยิ้มพลางทักทายปราศรัยกับฟางเซวี่ยนสองสามประโยคโดยไม่เงยหน้าขึ้นไปมอง “ข้าก็ได้ยินพี่สาวของข้าบอกมาเหมือนกันว่าร้านนี้ทำเครื่องประดับได้ดียิ่ง…”
หากรู้แต่แรกว่าจะพบกับฟางเซวี่ยนและหมิ่นเจียที่นี่ นางก็คงไปร้านหย่งฝูเจี้ยนแล้ว
ชาติที่แล้วนางไม่ติดนิสัยชอบเที่ยวเล่นข้างนอก แต่หลังจากเลี่ยวเฉิงฟางหลานชายกำเนิด นางเคยสอบถามทั่วทุกแห่งว่าสร้อยแม่กุญแจอายุยืนที่ใดทำได้ดี หลินซื่อเซิ่งเป็นคนท้องถิ่นจิงเฉิง จึงแนะนำร้านไป๋เป่าไจร้านนี้แก่นาง
ตอนนั้นนางก็คิดเหมือนกันว่าของจากร้านไป๋เป่าไจดียิ่งนัก
ของจากร้านหย่งฝูเซิ่งนั้นแม้ว่ามิได้ประณีตวิจิตรเท่าที่นี่ แต่มีน้ำหนักมาก
นางซื้อไปเพื่อตกเป็นรางวัลให้ผู้อื่น ย่อมต้องการของมีน้ำหนักมากกว่าถึงจะถูก
ฟางเซวียนเบิกตากว้างอย่างตกใจ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ต้าไหน่ไนเลี่ยวเพิ่งจะมาจิงเฉิงปีที่แล้วเองนี่นา!”
ความหมายของคำพูดดังกล่าวคือไฉนเพียงเวลาสั้นๆ โจวชูจิ่นถึงได้รู้จักแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยของจิงเฉิงหมดแล้วเล่า
โจวเสาจิ่นไม่ปรารถนาจะสนทนากับนาง จึงอ้างว่าใกล้จะสายแล้ว และแยกจากฟางเซวียน
ฟางเซวียนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร พวกนางก็นับเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน ในเมื่อรู้ว่ามารดาของนางอยู่ชั้นบน ด้วยหลักและเหตุผลแล้วโจวเสาจิ่นก็ควรจะไปทำความเคารพสักหน่อยถึงจะถูก ทว่าโจวเสาจิ่นกลับออกไปโดยไม่ทักทายเลยสักคำ ไม่มีเจตนาจะนับพวกนางเป็นญาติเลยสักนิด
ฟางเซวียนก็เป็นเด็กสาวที่เติบโตมาในโถน้ำผึ้งอย่างประคบประหงมตามใจคนหนึ่งเหมือนกัน โจวเสาจิ่นเย็นชากับนาง นางเลยไม่ปรารถนาจะผูกมิตรกับโจวเสาจิ่นมากนัก หมุนกายกลับไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
หมิ่นเจียเองก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับความเสียมารยาทของโจวเสาจิ่น ย่นหัวคิ้วน้อยๆ ขณะกล่าวว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นอะไรไปหรือ ต้าไหน่ไนตระกูลกู้พูดชมนางถึงเพียงนั้น แต่นางกลับทำตัวเสมือนไม่รู้จักมารยาททางสังคมอย่างไรอย่างนั้น…”
หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นกันนะ!
นางยังจำความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดนั้นยามที่ตนพบโจวเสาจิ่นเป็นครั้งแรก
ว่ากันว่านางกับพี่สาวของนางเติบโตมาในซอยจิ่วหรู ไม่รู้ว่าเคยพบเจอเฉิงเจียซ่านบ้างหรือไม่… หากว่านางเป็นเฉิงเจียซ่าน กลัวว่าคงลืม ‘น้องสาว’ คนนี้ไม่ลงเป็นแน่… อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่าทีของนางเสมือนไม่รู้จักมารยาทอันดีเฉกเช่นวันนี้ ก็เป็นที่เข้าใจได้!
แววตาของหมิ่นเจียวูบไหวเล็กน้อย
ทว่าฟางเซวียนมิได้คิดมากถึงเพียงนั้น นางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “บางทีนางคงจะเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ปกติไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอกมากนัก จึงขลาดกลัว ไม่คุ้นเคยกับการผูกสัมพันธ์กับพวกเรา… ช่างนางเถอะ ต่อไปถ้าพบกันอีกก็ทักทายตามมารยาทไปก็พอแล้ว!”
แต่หมิ่นเจียไม่ได้คิดง่ายๆ เท่ากับนาง กล่าวว่า “นางเติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชียวนะ ถึงเจ้าไม่พบนางก็ไม่เป็นไร แต่ข้าไม่พบนางไม่ได้!”
ฟางเซวียนคิดว่าหมิ่นเจียคิดมากเกินไป จึงกล่าวว่า “ว่ากันว่านางก็ใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้วเช่นกัน อีกสองปีก็ต้องแต่งงานแล้ว ต่อให้เติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วอย่างไรหรือ”
นางเติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็หมายความว่าขอเพียงโจวเสาจิ่นต้องการ ก็กลับไปตระกูลเฉิงได้ ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้นั่นเอง…
ถ้อยคำเหล่านี้ถึงกล่าวกับฟางเซวียนที่เติบโตมาอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลไปนางก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หมิ่นเจียจึงยกยิ้มแต่ไม่ตอบคำใด
โจวเสาจิ่นกลับถึงบ้านแล้วก็มอบเครื่องประดับเงินกับทองที่ซื้อกลับมาแก่ชุนหว่าน ให้นางบันทึกลงใบรายการ ส่วนตนก็ไปเปิดหน้าต่าง แล้วนั่งบนเตียงเตาหลังใหญ่ข้างหน้าต่างเร่งเย็บปักถุงเท้าให้เฉิงฉือ
หลี่ซื่อยกน้ำแกงถั่วเขียวเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าระวังสายตาจะเสียเอานะ มิได้รีบใส่สักหน่อย จะเร่งเย็บขนาดนี้ไปเพื่ออันใดเล่า”
ขอเพียงโจวเสาจิ่นนึกถึงว่าเสื้อผ้าเหล่านี้จะสวมอยู่บนตัวของเฉิงฉือ ก็รู้สึกราวกับมีแรงฮึดไม่รู้จบขึ้นมา อยากจะเย็บปักเสื้อผ้าให้เฉิงฉือเสร็จเร็วขึ้นสักหน่อยถึงจะถูก
นางวางเสื้อผ้าลงข้างหนึ่ง คลี่ยิ้มพลางรับน้ำแกงถั่วเขียวของหลี่ซื่อ แล้วเชิญนางนั่งบนเตียงเตาตรงกันข้าม
หลี่ซื่อยิ้มพลางดูนางดื่มน้ำแกงถั่วเขียว แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวส่งคนมาแจ้งว่า ปีนี้มีงานแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบสือช่าไห่ ถึงเวลานั้นพี่เขยของเจ้าก็มีวันหยุดวันหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงเชิญพวกเราไปด้วยกัน”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “แล้วจะทำอย่างไรกับกวนเกอเจ้าคะ โย่วจิ่นก็ยังเล็กอยู่ด้วย”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าคราวก่อนวิธีการของนายท่านสี่ก็ดีใช้ได้ ก่อนที่ข้าจะมาก็ไปสอบถามพ่อบ้านเซี่ยงมา พ่อบ้านเซี่ยงบอกว่าผู้คุ้มกันเหล่านั้นล้วนเป็นคนจากเรือนที่ประตูเฉาหยางของนายท่านสี่ หากพวกเราตัดสินใจได้แล้ว เขาเพียงไปแจ้งทางโน้นก็ได้แล้ว”
อิสตรีในเรือนชั้นใน ในหนึ่งปีสี่ฤดูหายากที่จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกสักสองสามครั้ง ยิ่งกว่านั้นก็อยู่ในจิงเฉิงพอดี ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสเช่นนี้อีกหรือไม่
ชาติก่อน ทะเลสาบสือช่าไห่ก็เคยจัดงานแข่งขันเรือมังกรเช่นกัน แต่นางไม่เคยชมมาก่อน
โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจความคิดของหลี่ซื่อได้ แต่หากไม่มีเฉิงฉือไปด้วย นางคิดว่าต่อให้เป็นเมืองใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ ต่อให้เป็นงานแข่งขันเรือมังกรที่จัดขึ้นที่ทะเลสาบสือช่าไห่ นางก็ไม่รู้สึกสนใจอะไร
“เช่นนั้นฮูหยินก็บอกพ่อบ้านเซี่ยงสักหน่อย ถึงเวลานั้นก็พาโย่วจิ่นไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าขออยู่บ้านแล้วกัน อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าไม่อยากออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
เป็นไปได้อย่างไรกัน
มีเหตุผลที่ไหนที่ตนผู้เป็นมารดาออกไปเที่ยวข้างนอกแล้วทิ้งบุตรไว้ที่บ้านกันเล่า!
หลี่ซื่อไม่ยินยอม
โจวเสาจิ่นโน้มน้าวนานครึ่งค่อนวันหลี่ซื่อถึงได้ยอม
ไม่คาดคิดว่าวันรุ่งขึ้นเฉิงเจิงจะส่งคนมามอบเทียบเชิญแก่นาง บอกว่าจองห้องส่วนตัวในเหลาสุราใกล้ๆ กับทะเลสาบสือช่าไห่เอาไว้แล้ว และเชิญนางไปชมการแข่งขันเรือมังกรด้วยกัน
โจวเสาจิ่นพลันลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงเจิงเป็นหลานสาวของเฉิงฉือ นอกจากนี้จะว่าไปแล้วเฉิงฉือก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับนาง นางเองก็ค่อนข้างเป็นมิตรกับตน นางจะไปดีหรือไม่ไปดีนะ
โจวเสาจิ่นชั่งใจชั่วครู่หนึ่ง
สุดท้ายเฉิงเจิงกับโจวเสาจิ่นก็มีอายุห่างกันสิบกว่าปี หากเฉิงเจิงแต่งงานเร็วขึ้นสักหน่อย ก็พอจะกล่าวได้ว่า คงมีบุตรสาวที่โตเท่าโจวเสาจิ่นแล้ว บวกกับเฉิงเจิงจัดการเรื่องภายในบ้านได้อย่างเข้มงวดและยุติธรรมแต่มิได้ตระหนี่ถี่เหนียว ตระกูลกู้ทั้งนายและบ่าวต่างเคารพนางเป็นอย่างมาก ต่อไปนางคงจะมีชื่อเสียงอำนาจมากยิ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ป้ารับใช้ผู้นั้นยังคิดว่าโจวเสาจิ่นไม่อยากถูกบังคับต่อหน้าเฉิงเจิง จึงรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “กูไหน่ไนรองกับกูไหน่ไนสามก็ไปด้วยเจ้าค่ะ กูไหน่ไนรองยังเชิญคุณหนูหกตระกูลฟางด้วยนะเจ้าคะ!”
เรื่องเช่นนี้ก็เป็นดังนี้ เจ้าเชิญสหายคนสนิทในห้องหอมา สหายคนสนิทของผู้นั้นยังเป็นสหายคนสนิทของตนเอง ไปๆ มาๆ จากเดิมมีเพียงสามสี่คน สุดท้ายกลับกลายเป็นมีคนเต็มทั้งห้อง อีกทั้งเป็นไปได้ว่าส่วนมากก็ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
ในเมื่อฟางเซวียนไปด้วย ใครจะรู้ว่าหมิ่นเจียผู้นั้นจะไปด้วยหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นตอบปฏิเสธอย่างสุภาพไปในทันที
ป้ารับใช้ผู้นั้นกลับตระกูลกู้ไปอย่างแปลกใจระคนผิดหวัง
เฉิงเจิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก แล้วเอ่ยถามป้ารับใช้ผู้นั้นอย่างเหลือเชื่ออีกครั้งว่า “เจ้าบอกว่าพอคุณหนูรองตระกูลโจวได้ยินว่าคุณหนูหกตระกูลฟางก็จะไปด้วยเหมือนกันถึงได้ปฏิเสธคำเชิญของข้าอย่างสุภาพอย่างนั้นหรือ”
ป้ารับใช้ผู้นั้นระลึกอย่างใคร่ครวญอีกครั้งอยู่นาน แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจ
หรือว่าเป็นเพราะหมิ่นเจียกันนะ
เฉิงเจิงส่งป้ารับใช้ผู้นั้นออกไป แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
ถ้าหากซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกัน แล้วจวนหลักย้ายมาอยู่ที่จิงเฉิง ท่านย่าจะต้องย้ายมาจิงเฉิงเป็นแน่ ท่านย่าโปรดปรานโจวเสาจิ่นมากถึงเพียงนั้น เด็กสาวคนนี้จะต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านย่าอย่างมากมายแน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะไปทำความเคารพท่านย่าบ่อยๆ ส่วนหมิ่นเจียก็ต้องแต่งงานกับตระกูลเฉิงในเดือนสองปีหน้าแล้ว…
นางขบคิดจนรู้สึกปวดศีรษะ
คิดว่าเฉิงสวี่ช่าง…โง่งมเหลือเกิน!
***
พอโจวชูจิ่นทราบว่าโจวเสาจิ่นจะไม่ไปทะเลสาบสือช่าไห่ก็มาถามนางด้วยตนเอง เมื่อเห็นน้องสาวไม่อยากออกไปตากแดดอยู่ข้างนอกจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดที่จะโน้มน้าวนาง แต่กระนั้นก็อดบ่นนางไม่ได้ว่า “เจ้านี่ก็จริงๆ โอกาสหายากขนาดนี้ เจ้าลองไปถามคนอื่นดูสิ มีใครเหมือนเจ้าบ้าง เพราะกลัวตากแดด เนื่องจากอากาศร้อนเกินไปจึงไม่ยอมออกไปข้างนอก ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”
“ข้าไม่เสียใจหรอกๆ!” โจวเสาจิ่นปักลายดอกไม้บนถุงเท้าให้เฉิงฉือ ในใจอาบเอิบด้วยความยินดี เรือมังกรมีอะไรให้ดูหรือ แต่ก่อนตอนที่นางอยู่จินหลิงมิใช่ว่าไม่เคยชมสักหน่อย
นางอยากจะอยู่บ้านทำถุงเท้าให้ท่านน้าฉือ!
…………………………………………………………………………..