ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 430 เย็นชา
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของโจวเสาจิ่นนั้นผู้อื่นไม่ได้สังเกตเห็น แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เฝ้าสังเกตนางอยู่ตลอดนั้นเห็นอย่างชัดเจน
นางถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ยังคงไม่สนใจโจวเสาจิ่นเช่นเดิม ยิ้มพลางสนทนากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวและคนอื่นๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนควรจะเป็นคนเริ่มกล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อนถึงจะถูก แต่เมื่อมองดวงตาแสนเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ความกล้าที่นางรวบรวมขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้นก็คล้ายกับลูกหนังที่ถูกกระทุ้งต่อยจนเป็นรู ค่อยๆ มลายเลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อยภายใต้สายตาเมินเฉยของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
จะทำอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ราวกับว่านางได้ย้อนกลับไปชาติก่อนในวันที่ถูกหยวนซื่อปลุกปั่นจนถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมินเฉยอย่างไม่ไยดีในวันนั้น
โจวเสาจิ่นตัวสั่นไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่ มือจึงยิ่งบิดเข้าหากันแน่น ทว่ากล่าวย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่า ชาติก่อนก็คือชาติก่อน ชาตินี้ก็คือชาตินี้ และท่านน้าฉือก็มิใช่เฉิงสวี่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางและท่านน้าฉืออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะโปรดปรานนางเหมือนเมื่อก่อน...
ผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ของนางถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา เมื่อรวบรวมความกล้าได้มากพอแล้ว ตอนที่สาวใช้เด็กเข้ามาเติมน้ำชาให้พวกนางนั้นจึงไปรับน้ำร้อนจากมือของสาวใช้เด็กมา รินน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใหม่แล้วยกไปวางข้างๆ มือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่มองโจวเสาจิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงสนทนากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวต่อ “…ตอนนั้นนางเกือบจะแต่งเข้าตระกูลเซินที่จินหลิงแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่ทั้งสองตระกูลยังไม่ทันได้พูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการนั้น คุณชายเซินผู้นั้นก็จมน้ำเสียชีวิตไปก่อน งานแต่งของน้าสิบสี่ของเจ้าก็เลยล่าช้าอยู่หลายปี ตอนนี้ได้ยินเจ้าบอกเช่นนี้ แม้นางจะแต่งไปอยู่ที่บ้านเกิด ทว่าสามีเคารพบุตรกตัญญู มีชีวิตเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ถือได้ว่าชีวิตของนางเป็นดั่งถนนแห่งความสำเร็จที่โรยด้วยขวากหนามแล้ว!”
คนที่พวกนางกำลังกล่าวถึงคือท่านน้าของฮูหยินใหญ่เลี่ยว
โจวเสาจิ่นฟังจากน้ำเสียงของพวกนางแล้ว ท่านน้าสิบสี่ของฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อนข้างสนิทสนมกันอยู่บ้าง
นางก้มหน้าก้มตาลง
เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงถ้อยคำที่บิดาเคยกล่าวแล้ว
ตระกูลโจวช่างเรียบง่ายและธรรมดาสามัญยิ่ง
แล้วก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความไร้ซึ่งทางเลือกของบิดาแล้ว
เดิมทีโจวเสาจิ่นก็มิใช่คนที่เก่งเรื่องใช้มารยาอยู่แล้ว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจตนาที่จะเมินเฉยเย็นชาใส่นาง นางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปทุบทำลายทางตันนั้นอย่างไร จึงเพียงถอยออกมา แล้วไปนั่งฟังพวกนางคุยกันอยู่ตรงมุมห้องต่อไป
ชิวซื่อผู้เป็นฮูหยินรองเว่ยกลับชื่นชอบเด็กสาวราวดอกไม้ที่เห็นแล้วทำให้คนรู้สึกสำราญใจยิ่งผู้นี้เป็นอย่างมาก
นางกระซิบบอกให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นำผลไม้เข้ามาเพิ่มอีกจานหนึ่ง จากนั้นวางลงบนโต๊ะน้ำชาข้างโจวเสาจิ่น ยิ้มพลางเอ่ยเสียงค่อยว่า “น่าเบื่อมากใช่หรือไม่ เวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันก็มักจะเป็นเช่นนี้ เจ้าอดทนอีกสักหน่อย กินผลไม้ไปก่อน ใกล้จะถึงเวลารับประทานมื้อเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายจะมีการแสดงด้วย”
ยังเตรียมการแสดงเอาไว้ด้วย!
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อตกอยู่ภายใต้ความเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ความเอื้ออารีนี้จึงยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น
นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินรองเว่ย
รอยยิ้มสงบดุจจันทราทำให้ฮูหยินรองเว่ยตาพร่า ชะงักไปชั่วขณะถึงได้หันไปยิ้มให้นาง แล้วกลับไปยังที่นั่งของตน
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มเบิกบานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินรองเจ้าคะ กูไหน่ไนใหญ่ กูไหน่ไนรองและกูไหน่ไนสามมาเจ้าค่ะ”
พวกเฉิงเจิงก็เลือกกลับมาวันนี้เช่นกันหรือ
ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชิญคนเข้ามาทำการแสดง
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ออกไปต้อนรับ
เฉิงเจิงสวมชุดสีน้ำเงินไพลินทั้งตัว ทำผมทรงดอกโบตั๋น ปักปิ่นปักผมทองคำแท้ฝังทับทิม ดูสง่าผ่าเผย เฉิงเซียวสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงเข้ม เกล้าผมเป็นมวยกลม ปักปิ่นมรกตดอกไม้ รอยยิ้มเป็นกันเอง ส่วนเฉิงเซิงสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวอ่อน เกล้าผมเป็นมวยเฉียงประดับด้วยดอกบัวบานดอกหนึ่ง ดูน่ารักซุกซน
ทั้งสามเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้มยินดี ดูคล้ายกับภาพวาดคนงามภาพหนึ่ง
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเอ่ยปากชมขึ้นมาเป็นคนแรก “บ้านของฮูหยินผู้เฒ่าช่างให้กำเนิดคนงามออกมาทั้งนั้นจริงๆ! ดูกูไหน่ไนทั้งสามท่านนี้สิเจ้าคะ ทำให้ผู้คนมองจนตาค้างไปหมดแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
เฉิงเจิงพาน้องสาวทั้งสองคนก้าวออกมาทำความเคารพทุกคน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านก็ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ! เมื่อสองวันก่อนข้าเจออาเซวียนที่บ้านของท่านรองหัวหน้าสำนักสารบรรณกลางเหอ ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาด นั่นต่างหากถึงจะเป็นคนงามที่แท้จริง!”
บิดาของฟางเซวียนเป็นน้องชายร่วมอุทรของฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ส่วนท่านรองหัวหน้าสำนักสารบรรณกลางเหอนั้นคือเหอเมี่ยนจือผู้เป็นพ่อภรรยาของเฉิงเก้านั่นเอง
หลังจากออกจากไว้ทุกข์ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเฉิงจิง หน้าที่การงานในราชสำนักดีขึ้นอีกหนึ่งขั้น ได้เป็นรองหัวหน้าของสำนักสารบรรณกลาง
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “นางซุกซนยิ่งนัก จะเทียบกับความสง่างามของพวกเจ้าได้อย่างไร”
ทุกคนสนทนาแลกเปลี่ยนกันสองสามประโยค
ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ตระกูลฟางพาคุณหนูหกตระกูลฟางมาหาเจ้าค่ะ”
ฟางเซวียนหรือ!
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ”
เฉิงเจิงไม่กล่าวอะไร
เมื่อครู่นางสังเกตเห็นความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
หรือว่าฮูหยินใหญ่ฟางจะมาเองโดยมิได้รับเชิญ?
เฉิงเจิงถอยหลังสองสามก้าว ทำตัวเป็นผู้น้อยยืนอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับรอครู่หนึ่งแล้วออกไปต้อนรับ
ไม่นาน ฮูหยินใหญ่ฟางที่แต่งตัวหรูหราเต็มไปด้วยมุกด้วยอัญมณีก็พาฟางเซวียนเดินเข้ามา
ฟางเซวียนสวมเพ่ยจื่อสีขาวขอบสีเหลืองอมเขียว กระโปรงแปดจีบสีเขียว เส้นผมสีดำเกล้าขึ้นเป็นมวย ปักปิ่นไข่มุกใต้ ดูสวยสง่า งดงามยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าโจวเสาจิ่นก็อยู่ด้วย นางดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวออกมาคารวะทักทายโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
โจวเสาจิ่นคารวะกลับอย่างสุภาพ เดินตามอยู่ด้านหลังของทุกคนเข้าไปในห้องรับแขก ก็ได้ยินฮูหยินใหญ่ฟางกล่าวยิ้มๆ ว่า “…มารดาของนางไปช่วยงานที่ตระกูลหมิ่น พอนางได้ยินว่าท่านมา อย่างไรก็อยากมาโขกศีรษะให้ท่านสักครั้งหนึ่งให้ได้ ข้าถูกนางรบเร้าจนไม่มีทางเลือก จำต้องพานางมาที่นี่ เพื่อเห็นแก่ข้าฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดอดทนกับเจ้าลิงซุกซนตัวนี้สักหน่อยเถิดนะเจ้าคะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ฟางเซวียนก็ก้าวออกมาโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสามครั้ง ลุกขึ้นมาจับแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยได้พบฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนตอนที่ติดตามบิดาไปเยือนเมืองจินหลิง ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ายังมอบกำไลข้อมือหินโมราสีแดงให้ข้าด้วยวงหนึ่ง ทุกวันนี้กำไลข้อมือวงนั้นยังเก็บไว้ในหีบสมบัติของข้าอยู่เลยเจ้าค่ะ! ข้ายังจำได้อย่างแม่นยำ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมา ดูดีใจเป็นอย่างมาก
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนเบาะเข็มอย่างอธิบายไม่ได้
หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการสนทนากัน กินข้าว หรือดูการแสดง ฟางเซวียนล้วนอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโดยตลอด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ให้นางอยู่เป็นเพื่อนโดยตลอดเช่นกัน
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ใจ
จึงอ้างว่าต้องการไปห้องทางการ ไปนั่งรับลมอยู่บนม้านั่งหินใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปรอบบริเวณและอยู่ไม่ไกลจากโถงรับรองแขกต้นนั้น เมื่อคิดได้ว่าตนออกมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากหลังต้นไม้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เดิมทีน่าจะนั่งชมการแสดงงิ้วอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในโถงรับรองแขกนั้นกลับยืนสนทนากับฮูหยินใหญ่ฟางอยู่ตรงระเบียงหน้าโถงรับรองแขก
สีหน้าของทั้งสองคนดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นลอบร้องอยู่ในใจว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังคิดจะหลบออกมานั้น สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินใหญ่ฟางก็มองตรงมาที่นางก่อนแล้ว
นางจำต้องทำใจดีเข้าสู้เดินเข้าไปหาพวกนาง ย่อกายทำความเคารพครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวกับฮูหยินใหญ่ฟางว่า “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ข้าจะไปพูดกับเจ้าสี่ดีๆ อีกครั้ง หากมีข่าวคราวอะไรแล้วค่อยบอกเจ้าอีกที”
ฮูหยินใหญ่ฟางเผยสีหน้าซาบซึ้งใจออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงยื่นมือออกมา เป็นสัญญาณบอกให้โจวเสาจิ่นจับมือของนางเอาไว้
โจวเสาจิ่นไม่กล้าชักช้า รีบไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากไปห้องทางการสักหน่อย เจ้ากลับไปชมงิ้วก่อนเถิด! ได้ยินว่าเป็นคณะฉางชิงอะไรสักอย่าง มีชื่อเสียงในจิงเฉิงเป็นอย่างยิ่ง นานๆ ทีกว่าเจ้าจะได้มาจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง ก็อยู่เที่ยวให้สบายใจสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยกลับไปเถิด”
ฮูหยินใหญ่ฟางขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” กำชับโจวเสาจิ่นว่าให้ดูแลฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ดี แล้วกลับไปที่โถงรับรอง
เฉลียงทางเดินไปห้องทางการนั้นคดเคี้ยวลดเลี้ยวไปมา ทั้งสี่ด้านต่างปลูกต้นหวงหยาง[1]ขนาดใหญ่เอาไว้ อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่กิ่งก้านใบเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์พอดี จึงบดบังแสงอาทิตย์ บังเกิดเป็นร่มเงากว้าง ทั้งสองคนเดินอยู่ในนั้น มีเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังให้ได้ยินเป็นครั้งคราวยิ่งทำให้ความเงียบเด่นชัดขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องที่มีโถสุขาวางอยู่
โจวเสาจิ่นจึงช่วยเตรียมสบู่ถั่วเอาไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใช้ล้างมือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนล้างมืออยู่ตรงหน้ากระจก พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นโจวเสาจิ่นที่สะท้อนอยู่ในกระจก
นางเอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เสาจิ่น เจ้าชอบเจ้าสี่ใช่หรือไม่!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง ดวงตาดอกท้อที่เบิกโพลงนั้นสะท้อนอยู่ในกระจก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหยิบผ้าที่วางอยู่ข้างๆ กระจกขึ้นมา เช็ดมือไปด้วยขณะหมุนกายกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งหลานสาว ข้าโปรดปรานที่เจ้าเป็นหลานสาวของข้า ย่อมจะให้เจ้าตบแต่งออกไปอย่างมีเกียรติ แต่ถ้าหากเจ้ามาเป็นบุตรสะใภ้ของข้า ทำให้บุตรชายของข้าต้องแบกรับข้อกล่าวหาที่ว่าล่อลวงหลานสาวผู้หนึ่งเอาไว้บนหลังตลอดชีวิต ข้าไม่อาจยอมรับได้”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลง ดูกระวนกระวาย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสยะยิ้มพลางกล่าว “เจ้าสี่ให้เจ้าแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ข้าเป็นคนเลี้ยงเขามา ข้าจะไม่รู้ว่าเขามีความสามารถเช่นไรอย่างนั้นหรือ ความสามารถของเขาเหล่านั้น ก็เอาไว้จัดการกับพวกพ่อบ้านและหลงจู๊ข้างนอกเหล่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเรียกขานเขาอย่างเคารพว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิง”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “มิใช่เจ้าค่ะ มิใช่…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รอให้นางพูดจบ ก็โยนผ้าทิ้งลงไปบนหน้ากระจก เอ่ยเสียงเคร่งว่า “เสาจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮูหยินใหญ่ฟางมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด เจ้าสี่อยากจะแต่งกับเจ้า จึงยุยงให้หยวนซื่อแยกตระกูล ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเสนอขึ้นมาว่าจวนหลักต้องจ่ายเงินให้จวนรองสามล้านเหลี่ยง จวนรองถึงจะบอกคนภายนอกว่านี่เป็นข้อสรุปที่ผ่านการหารือของหลายๆ จวนมาแล้ว ตอนนี้หยวนซื่อได้รับการสนับสนุนจากนายท่านใหญ่ตระกูลหยวนแล้ว ตัดสินใจจะขายสินเจ้าสาวที่ได้รับจากมารดาของตนทั้งหมด ในจำนวนนี้ยังมีของที่นายท่านหลายท่านของตระกูลหยวนมอบให้อีกด้วย มารดาของหยวนซื่อเป็นบุตรสาวของตระกูลฟาง ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของที่ตระกูลฟางให้มา นายท่านหลายท่านของตระกูลฟางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงมาหาข้าที่นี่…เสาจิ่น ภายใต้โลกหล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ซึ่งลมพัดผ่าน ถ้าหากในวันข้างหน้าหยวนซื่อรู้ว่าที่เจ้าสี่เห็นด้วยกับการแยกตระกูลก็เพื่อให้ได้แต่งงานกับเจ้า นางจะคิดอย่างไร ยังมีเจียซ่านอีก เจ้าแต่งเข้ามาแล้ว จะปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างไร บ้านหลังนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไร ยังมีบิดาของเจ้า ยามพบหน้ายายของเจ้าจะเรียกขานนางว่าอย่างไร พี่สาวของเจ้าจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนางให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวฟังว่าอย่างไร นางควรจะเรียกเจ้าสี่ว่า ‘ท่านน้า’ หรือควรจะเรียกว่า ‘น้องเขย’ ดี…”
ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวคล้ายกับเสียงต่อย ที่ต่อยเข้าที่หัวใจของโจวเสาจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่านั้นมิใช่ว่านางไม่กังวลใจ!
ยิ่งนางกับเฉิงฉือใกล้ชิดอ่อนหวานกันมากเท่าไร นางก็ยิ่งเป็นกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
แต่นางคิดอยู่เสมอว่า มีท่านน้าฉืออยู่ เขาจะต้องหาวิธีจัดการได้อย่างแน่นอน...นางลืมไปว่าเขาก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ก็มีช่วงเวลาที่เรื่องราวอยู่เหนือความสามารถของเขาเช่นกัน
โจวเสาจิ่นหน้าซีดเล็กน้อย
นางมองดวงหน้าดุดันของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยเสียงค่อยว่า “เช่น…เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ กล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องของเจ้ากับเจ้าสี่ ก็ทำเสมือนไม่ได้เกิดขึ้น ทางด้านของเจ้าสี่นั้นข้าจะออกหน้าเอง อีกสองสามวันเจ้าก็กลับเมืองเป่าติ้งไปเสีย ข้าจะหาสามีดีๆ อย่างตระกูลหลี่ที่หลูเจียงหรือตระกูลหยวนที่ถงเซียงให้เจ้าสักคนหนึ่ง สินเจ้าสาวก็จะออกให้เจ้าด้วย…”
หยดน้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลลงมาเป็นสายอย่างควบคุมไม่อยู่
นี่หมายความว่าฮูหยินผู้เฒ่า…ไม่เห็นด้วย…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกดน้ำเสียงลง เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าไปคิดให้ถี่ถ้วน คิดตกแล้วก็มาบอกข้า ส่วนทางด้านของเจ้าสี่นั้น ข้าจะออกหน้าเอง!”
โจวเสาจิ่นยืนบื้อใบ้อยู่ในห้องทางการเพียงลำพัง
มีเสียงงิ้วดังมาให้ได้ยินอย่างขาดๆ หายๆ อยู่ไกลๆ
หัวใจของนางราวกับถูกขุดออกไปแล้วก็ไม่ปาน
……………………………………………………………………….
[1] ต้นหวงหยาง ต้น Chinese boxwood