ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 436 รั้งอยู่ที่เมืองหลวง
เฉิงฉือกลับมาถึงบ้านที่ประตูเฉาหยาง ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังมีแขกมาเยี่ยมพอดี หลี่ว์มามาอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลฟาง วันมะรืนก็จะกลับซูเฉิงแล้ว วันนี้จึงตั้งใจมากล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็คงต้องรออีกสักประเดี๋ยวแล้วค่อยมาคารวะมารดาแล้ว
เฉิงฉือพยักหน้า กลับไปยังที่พักของตน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงถามขึ้นว่า “เป็นผู้ใดมาหรือ”
หลี่ว์มามาขานตอบอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ พอได้ยินว่าท่านมีแขก ก็เลยกลับไปก่อนเจ้าค่ะ!”
คงกลับมาจากซอยอวี๋เฉียนกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดอยู่ในใจ ฮูหยินใหญ่ฟางได้ยินแล้วกลับกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “น้องสี่ฉือหรือ ข้าไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาสบายดีหรือไม่เจ้าคะ!”
“สบายดีๆๆ!” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงคนที่กลับมาถึงผู้นี้ขึ้นมารอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น
ฮูหยินใหญ่ฟางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ภรรยาของน้องสี่ฉือเป็นสตรีจากตระกูลใดหรือเจ้าคะ ตอนเขาแต่งงานเหตุใดท่านถึงไม่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกข้าบ้างเลย”
แม้นจะอยู่ห่างไกลกัน แต่อย่างไรก็ต้องให้ใครสักคนนำของขวัญไปมอบให้
กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เขายังไม่ได้แต่งงาน...”
อายุอานามขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังมียศตำแหน่งแล้วแต่กลับยังไม่แต่งงาน เกรงว่าภายในเรื่องนี้คงจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่สมควรเอ่ยออกมา ฮูหยินใหญ่ฟางจึงไม่กล้าถามให้มากความอีก กล่าวขึ้นว่า “รักแท้มักจะมีอุปสรรคขวางกั้น ท่านก็อย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว! หากท่านมีเรื่องอะไร เพียงเขียนจดหมายไปให้ที่ซูเฉิงก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขอบคุณ สั่งการให้ฮูหยินรองเว่ยช่วยไปส่งแขก
ฮูหยินใหญ่ฟางเกรงใจอยู่คำรบหนึ่ง ให้ฮูหยินรองเว่ยเดินนำออกมาจากเรือนหลัก
นางเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เหตุใดน้องสี่ฉือถึงยังไม่แต่งงานหรือ”
ฮูหยินรองเว่ยจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องภรรยาของน้องชายคนเล็กของสามีได้อย่างไร ได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “น้องสี่นั้นไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ความรู้หรือความสามารถล้วนสูงส่ง เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่อย่างเรื่องแต่งงานนี้กลับดื้อดึงไม่ยอมลงให้ฮูหยินผู้เฒ่า กล่าวคือ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าดี น้องสี่ก็รู้สึกว่าไม่ดี พอน้องสี่รู้สึกว่าดี ฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นว่าไม่ดี ไปๆ มาๆ อยู่เช่นนี้ เรื่องแต่งงานจึงล่าช้ามาเรื่อยๆ”
ฮูหยินใหญ่ฟางฟังแล้วก็จมอยู่กับความคิดตัวเอง
ผ่านไปไม่กี่วัน ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยถึงฟางเซวียนขึ้นมาอย่างมีนัยแฝงว่า “…พ่อแม่กลัวว่านางจะได้รับความลำบาก อยากจะหาคนที่สุขุมรอบคอบสักคน ถ้าหากเป็นคนที่อายุมากกว่า อีกทั้งผู้ใหญ่ในบ้านยังเป็นคนที่มีเหตุผลได้สักคนก็คงจะดีไม่น้อย มาฝากฝังกับข้าหลายครั้งแล้ว ท่านเองก็ทราบดี ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ อย่างเจิ้นเจียง ไหนเลยจะรู้จักใครมาก หลายวันก่อนพี่สะใภ้ของข้าเดินทางกลับซูเฉิง ก็เอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าขึ้นมาอีกว่าให้ข้าช่วยดูให้สักหน่อย ข้าคิดไปคิดมาแล้ว เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเคยอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงหลายปี คนที่ท่านรู้จักมีมากกว่าเกลือที่ข้าเคยกินเสียอีก ถือโอกาสที่วันนี้อากาศดียิ่งนักมาขอความเมตตาจากท่านสักครั้งหนึ่ง หากท่านมีคนที่เห็นว่าเหมาะสม ขอให้ท่านช่วยดูให้สักหน่อยเจ้าค่ะ”
ความนัยที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังไม่ออกมิเท่ากับว่าความเฉลียวฉลาดและหลักแหลมที่นางมีจะเป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ
นางเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่ฟางจะสนใจเฉิงฉือเท่านั้น
ฟางเซวียนผู้นั้นอายุน้อยกว่าเฉิงฉือเป็นสิบปี
แต่ว่าโจวเสาจิ่นเองก็อายุน้อยกว่าเฉิงฉือเป็นสิบปีเหมือนกัน…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างไร้ทางเลือกเล็กน้อย
วันนั้นพอส่งฮูหยินใหญ่ฟางออกไปแล้วเฉิงฉือก็มาคารวะนาง พูดถึงเรื่องที่จะให้โจวเสาจิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนนางขึ้นมา
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เจ้าเด็กโง่เฉิงเซิงผู้นั้นกลับปรบมือเห็นด้วย ยังกล่าวด้วยว่า “…เสาจิ่นเป็นคนอ่อนโยนและว่าง่ายเป็นที่สุด ตอนนี้พวกเราพี่สาวน้องสาวทั้งสามคนต่างก็ออกออกเรือนกันหมดแล้ว ไม่อาจมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าเหมือนเมื่อก่อน ได้เสาจิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าพอดี” จากนั้นยังกล่าวยิ้มๆ อย่างยินดีว่า “ถ้าหากปักภาพเด็กเล่นกันจำพวกนั้นให้ข้าได้สักผืนหนึ่งก็คงจะยิ่งดีเจ้าค่ะ”
แล้วเด็กผู้นั้นก็มีจิตใจที่ซื่อตรงมากเกินไป ถึงกับเตรียมจะปักภาพเด็กเล่นกันให้เฉิงเซิงสักผืนจริงๆ อีกด้วย
คิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเจินจูที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า “คุณหนูรองกำลังทำอะไรอยู่ ยังคัดพระธรรมไม่เสร็จอีกหรือ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาหา ให้นางมาคารวะฮูหยินใหญ่เลี่ยวสักครั้งหนึ่ง!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าวันนี้คุณหนูรองของบ้านสะใภ้ใหญ่จะอยู่ที่นี่ด้วย!”
นางได้ยินโจวชูจิ่นบอกว่าช่วงนี้โจวเสาจิ่นมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ประตูเฉาหยางบ่อยๆ นางคิดว่าเป็นเพียงการมาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังต้องคัดพระธรรมด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวว่า “เมื่อก่อนนางเคยติดตามข้าไปสักการะพระพุทธองค์ที่เขาผู่ถัว เชี่ยวชาญในพระธรรม ข้ามักจะให้นางช่วยคัดพระธรรมให้ข้าบ่อยๆ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองของบ้านสะใภ้ใหญ่จะเชี่ยวชาญการคัดพระธรรมด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “อักษรของนางก็คัดได้ดียิ่ง ตัวบรรจงงดงาม ฝีแปรงเบาสบายเป็นธรรมชาติ ค่อนข้างมีพื้นฐานที่ดี”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวฟังน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นแล้วคล้ายกับว่านางชื่นชอบโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน จึงกล่าวยิ้มๆ อย่างประจบประแจงว่า “เนื่องจากเป็นคนที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถูกใจได้ คาดว่าคงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากผู้หนึ่ง” นางเอ่ยถึงฟางเซวียนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “…อักษรของนางก็คัดได้ดีมากเช่นกัน มิสู้ให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนเสาจิ่นสักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธอย่างสุภาพไปว่า “เกรงว่าฮูหยินรองฟางจะสงสารนาง ทนเห็นนางรับความยากลำบากเหล่านี้มิได้”
บิดาของฟางเซวียนเป็นบุตรชายลำดับที่สองของตระกูลฟาง
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับตั้งใจว่าจะทำให้เรื่องนี้สำเร็จให้ได้
ผู้อื่นอาจไม่รู้ ทว่าคนตระกูลฟางกลับทราบดีว่าที่จวนหลักและจวนรองแยกตระกูลกันนั้น ต้องนำเงินออกมาชดใช้ถึงหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยง
เงินจำนวนนี้ล้วนเป็นผลกำไรที่เฉิงฉือหามาได้
บุรุษที่มีความสามารถเช่นนี้ ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงจิ้นซื่อขั้นสอง เมื่อกวาดตาสำรวจทั้งในและนอกราชสำนักแล้ว คาดว่านอกจากจี้เซียงซ่งจิ่งหรานแล้วก็ไม่น่าจะหาคนที่สองได้อีกแล้ว
นางรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลฟางก็นับได้ว่าจัดการเรือนอย่างเข็มงวดเช่นกัน หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนนั้นมิต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องคัดพระธรรมให้บรรดาผู้อาวุโส แม้แต่การทำรองเท้าและถุงเท้าก็มักจะต้องเข้านอนตอนยามสามและตื่นนอนตอนยามห้าอยู่เสมอเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงปฏิเสธไปอย่างสุภาพว่า “…พระธรรมของช่วงกลางเดือนเจ็ดนั้นเสาจิ่นคัดใกล้จะเสร็จแล้ว คงไม่อาจคัดพระธรรมสองเล่มถวายให้พระพุทธองค์พร้อมกันในคราวเดียว รอให้ต่อไปมีโอกาสแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจำต้องยกธงยอมแพ้ชั่วคราวก่อน ออกจากตระกูลเฉิงแล้วก็ไปที่ตระกูลฟาง
ฮูหยินรองฟางได้ยินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถิด อาเซวียนก็เติบโตขึ้นมาดั่งดวงใจในอุ้งมือของข้าเช่นกัน จะให้นางไปรับความลำบากเช่นนั้นได้อย่างไร หากมิใช่เพราะฮูหยินใหญ่เป็นคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองล่ะก็ ข้าก็คงไม่ตอบตกลงเป็นแน่ อายุของทั้งสองก็แตกต่างกันมากเกินไปด้วย”
“เจ้าช่างเลอะเลือนเสียจริงๆ!” ฮูหยินใหญ่เลี่ยวสนิทสนมกับฮูหยินรองฟางตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือนแล้ว คำพูดคำจาจึงไม่ได้อ้อมค้อมสักเท่าไรนัก “มีบุตรสาวของตระกูลใดที่ยามอยู่กับบิดามารดาแล้วไม่เป็นดั่งไข่มุกดุจหยกบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่จะเป็นได้ดั่งไข่มุกดุจหยกยามอยู่ต่อหน้าแม่สามี ตอนนี้เจ้าสงสารที่อาเซวียนต้องทนมองสีหน้าของผู้อื่น การประคบประหงมเช่นนี้จนเคยชิน ต่อไปแต่งงานออกเรือนไปแล้วจะทำอย่างไร เกรงว่ายังมีเวลาให้เจ้าต้องเจ็บปวดใจมากยิ่งขึ้นไปอีก! เรื่องนี้เจ้าต้องคิดให้ดี หากว่าแม้แต่คนอย่างตระกูลเฉิงเช่นนี้เจ้ายังไม่ถูกใจ ตระกูลเขยอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช่นนี้เจ้าก็ยังไม่พอใจ ข้าจะดูว่าเจ้ายังจะหาตระกูลแบบไหนได้อีกบ้าง อย่าให้ถึงเวลาแล้วจะมาเสียใจภายหลัง!”
ฮูหยินรองฟางลังเลใจ
แม้นคำพูดของฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะไม่น่าฟังทว่าก็มีเหตุผลยิ่งนัก
ที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติต่อบุตรสะใภ้อย่างใจกว้างมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นตระกูลเก่าแก่กว่าร้อยปีของเจียงหนานและเป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น ต่อหลายต่อตระกูลที่นางดูให้ฟางเซวียนนั้นล้วนแตกต่างจากตระกูลเฉิงลิบลับ นอกจากนี้นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าเมื่อบุตรสาวแต่งเข้าไปแล้วจะไม่ได้รับความลำบากจากแม่สามี และจะไม่ต้องชิงดีชิงเด่นระหว่างบุตรสะใภ้ด้วยกัน
เฉิงฉือผู้นั้นเป็นบุตรชายคนเล็กสุด ด้วยอายุของเฉิงจิงแล้ว ให้กำเนิดบุตรชายที่มีอายุขนาดนี้ได้ผู้หนึ่งด้วยซ้ำไป สะใภ้ใหญ่อย่างหยวนซื่อผู้นี้ก็ย่อมไม่ลดตัวลงมาโต้คารมกับเด็กสาวที่อายุน้อยยิ่งกว่าบุตรสาวของตัวเองอยู่แล้ว…เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นอกจากอายุแล้ว ถ้าหากประสบความสำเร็จก็ถือว่าเป็นการเกี่ยวดองที่ดีมากครั้งหนึ่ง บวกกับที่มีฮูหยินใหญ่เลี่ยวคอยโน้มน้าวอยู่ข้างๆ ว่า “อย่างไรก็เพียงลองไปเยี่ยมเยียนที่ประตูเฉาหยางดูสักครั้ง จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ยังต้องดูวาสนาของอาเซวียนด้วย” สุดท้ายนางจึงตอบตกลงไป
วันต่อมาจึงให้คนนำเทียบไปส่งให้ที่ประตูเฉาหยาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือเทียบเอาไว้แล้วเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ประจวบเหมาะกับที่โจวเสาจิ่นเข้ามาพอดี นางเห็นโจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายวันก่อนที่เวลาเจอนางมักจะกระวนกระวายนั้นแล้ว ตรงมุมก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายมีคล้ายไม่มี อดคาดเดาไม่ได้ไม่รู้ว่าเฉิงฉือไปพูดอะไรกับนางมาอีก
ไม่รอให้นางถาม โจวเสาจิ่นก็เอ่ยขึ้นมาเองเสียก่อนว่า “ท่านพ่อของข้าส่งจดหมายมาบอกว่าให้ข้ารั้งอยู่เป็นเพื่อนท่านที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
มีเรื่องอย่างเรื่องของเฉิงสวี่เกิดขึ้นมาแล้ว โจวเจิ้นก็ยังคงยินยอมให้บุตรสาวอยู่เป็นเพื่อนนางดังเก่า…เห็นได้ชัดว่านิสัยใจคอของโจวต้าเฉิงผู้นี้ไม่เลวเลย ครอบครัวที่จะมาเกี่ยวดองด้วยแข็งแกร่งหรือไม่นั้นจะยังไม่พูดถึง แต่อย่างน้อยก็คงไม่สร้างเรื่องหรือก่อความผิด นำความวุ่นวายมาให้ตระกูลเฉิงอย่างแน่นอน
นางจึงกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินกำหนดวันเดินทางกลับหรือยัง”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินออกเดินทางวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ เนื่องจากไปไม่ทันวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อ ฮูหยินจึงบอกว่ากลับไปให้เร็วสักหน่อยเพื่อจัดงานชดเชยเนื่องในวันคล้ายวันเกิดให้ท่านพ่อได้สักครั้งถึงจะดีเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า ยื่นเทียบของตระกูลฟางให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินรองสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง นางคอยอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยยกน้ำชาหรืออยู่เป็นเพื่อนพูดคุยเป็นครั้งคราวยังพอได้ แต่ให้นางดูแลแขกเหรื่อนั้นคงไม่ไหว ข้าก็อายุมาก กำลังวังชาก็ไม่ไหวแล้ว เรื่องนี้เจ้าก็ช่วยจัดการไปพร้อมกับฮูหยินรองด้วยก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นอยากจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อคิดได้ว่าตนตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโปรดปรานให้ได้ จึงขานรับคำอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เรียกฮูหยินรองเว่ยเข้ามาย้ำกำชับอีกคำรบหนึ่ง
ระยะนี้ฮูหยินรองเว่ยก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาตั้งนานแล้ว หากมิใช่ว่าเฉิงเซิงสงสารนาง หาข้ออ้างมาอยู่ที่ประตูเฉาหยางสักสองสามวันล่ะก็ เกรงว่าร่างกายนางคงทนไม่ไหวไปแล้ว พอได้ยินว่าช่วงนี้โจวเสาจิ่นจะมาช่วยนางดูแลจัดการเรื่องภายในเรือนได้ระยะหนึ่ง นางจึงดีใจอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อออกมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วจึงจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วการดูแลเรื่องภายในเรือนนั้นเรียบง่ายยิ่ง เรื่องต่างๆ ภายในเรือนล้วนมีกฎระเบียบอยู่แล้ว เพียงทำตามกฎระเบียบที่มีก็ได้แล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในใจจึงยังคงรู้สึกตื่นเต้นระคนกังวลเล็กน้อย
กระทั่งถึงวันที่ฮูหยินรองฟางและฮูหยินใหญ่เลี่ยวพาฟางเซวียนเข้ามาในวันนั้น นางรวบรวมความกล้าไปยืนต้อนรับทั้งสามคนที่ประตูชั้นในพร้อมกับฮูหยินรองเว่ย
เมื่อคนทั้งสามเห็นโจวเสาจิ่นก็ตะลึงงันกันหมด
ฮูหยินรองเว่ยจึงกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ข้าสุขภาพไม่แข็งแรง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้เสาจิ่นมาช่วยอยู่ข้างๆ ข้า”
ฮูหยินรองฟางและคนอื่นๆ ยิ้มออกมา ก้าวออกไปคารวะทักทายโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นคารวะกลับไปอย่างไม่วางท่าหยิ่งทะนงและไม่ถ่อมตัวจนเกินไป แล้วพาแขกไปที่ห้องรับแขกพร้อมกับฮูหยินรองเว่ย
ฮูหยินรองฟางกลับจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ปล่อย กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มๆ ว่า “ดูคุณหนูรองแล้ว ช่างรู้ความยิ่งนัก ไม่เหมือนอาเซวียนของพวกข้าที่รู้จักแต่เล่นสนุก หากว่าอาเซวียนของพวกข้ามีโอกาสได้รับการชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่าและนิ่งสงบเหมือนคุณหนูรองเช่นนี้ได้ ข้าก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ!”
เอาตนไปเปรียบเทียบกับโจวเสาจิ่น...
ฟางเซวียนกอดแขนของฮูหยินรองฟางเอาไว้กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ท่านดูถูกข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
คนในห้องต่างหัวเราะขึ้นมา
ฮูหยินรองฟางจึงฉวยโอกาสนี้เอ่ยขึ้นว่า “คราวก่อนอาเซวียนของพวกข้ากลับบ้านไปก็พูดกับข้าไม่หยุดว่าฮูหยินผู้เฒ่าดีกับนางอย่างไรบ้าง หากว่านางมีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากท่าน เติบโตไปได้แต่งงานกับคนดีๆ สักคนหนึ่งได้ ชีวิตนี้ข้าและบิดาของนางก็คงจะไม่ขออะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ”