ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 437 อยู่เป็นเพื่อน
เจตนาที่ชัดแจ้งถึงเพียงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงกล่าวปฏิเสธยิ้มๆ อย่างสุภาพว่า “ข้าอายุมากแล้ว กำลังวังชาไม่ดี เรียนรู้อะไรได้ไม่เร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าได้ อยู่ที่บ้านก็เพียงให้คำแนะนำไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เด็กๆ ในบ้านเห็นว่าข้าอายุมากแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญูแล้วจึงไม่ถือสาเรื่องราวอะไร ถึงได้ไม่มีเรื่องน่าขบขันเกิดขึ้น เรื่องจะให้ชี้แนะอาเซวียนนั้นคงไม่กล้ารับไว้จริงๆ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงแลกเปลี่ยนสายตากับฮูหยินรองฟางครั้งหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ! ตอนที่ข้ามาถึงใหม่ๆ ยังเคยพูดกับพี่สะใภ้รองอยู่เลยว่าเด็กสาวสมัยนี้นั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปหมด ผู้ใหญ่พูดมาหนึ่งประโยคนางจะเถียงกลับสองประโยค หากยอมให้เวลากับเรียนพิณก็จะไม่ยินยอมเสียเวลากับการฝึกทำงานเย็บปักแล้ว ไหนเลยจะเหมือนกับสมัยของพวกเราที่ท้องฟ้ายังไม่สางก็ตื่นขึ้นมาทำความสะอาดแล้ว กลางคืนก็ยังจุดตะเกียงทำรองเท้าถุงเท้าให้ผู้ใหญ่อีกด้วย ผู้ที่ให้การอบรมสั่งสอนคนอย่างเจิงเจี่ยเอ๋อร์และเซียวเจี่ยเอ๋อร์ออกมาได้เช่นฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีไม่มากแล้วจริงๆ ก็ไม่แปลกที่พวกเราจะอิจฉา อยากให้อาเซวียนได้ติดตามอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง”
ฟางเซวียนนั้นไม่รู้ว่ามารดาและท่านอาหญิงตั้งใจทำอะไรกันแน่
นางเข้าใจว่ามารดาและท่านอาหญิงต้องการประจบประแจงตระกูลเฉิง ฉะนั้นจึงร่วมกล่าวเอาอกเอาใจด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านให้ข้ามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เถิดนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นท่านแม่และท่านอาหญิงของข้าจะต้องพูดจนหูของข้าชาไปหมดแน่ๆ ท่านสงสารข้าเถิดนะเจ้าคะ!” ขณะที่กล่าว ยังจับแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ด้วยท่าทางน่าสงสารอย่างออดอ้อนอีกด้วย
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ามีประกายสายหนึ่งวาบผ่าน นางหัวเราะร่า ปกปิดอารมณ์ความรู้สึกในดวงตานั่นไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้ารู้สึกเบื่อ ก็มาเยี่ยมที่นี่ได้ เสาจิ่นอยู่ที่นี่ พวกเซิงเจี่ยเอ๋อร์และอีกหลายคนกลัวว่าข้าจะเหงาก็มักจะกลับมาเยี่ยมข้าอยู่บ่อยๆ ในบ้านถือได้ว่าครึกครื้นนัก”
นี่หมายความว่าตอบตกลงแล้วกระมัง!
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางลอบดีใจ
ฟางเซวียนกลับมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อไปคงต้องรบกวนให้เสาจิ่นช่วยชี้แนะแล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้มให้อย่างอบอุ่นและใจกว้าง กล่าวขึ้นว่า “ที่ไหนกันเจ้าคะ! ข้าเองก็มาเป็นแขกเหมือนกัน คุณหนูหกฟางเกรงใจเกินไปแล้ว!”
ฟางเซวียนกลับไม่คิดอย่างนั้น
มีสาวใช้เด็กเข้ามาขอคำชี้แนะจากโจวเสาจิ่นว่า “คุณชายรองต้องการใช้รถม้าไปสำนักศึกษาซานหมิงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เอ่ยตอบเสียงหนึ่งว่า “เข้าใจแล้ว”
โจวเสาจิ่นจึงเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้เด็กผู้นั้น พูดคุยกันตรงเฉลียงทางเดิน “ฮูหยินรองทราบเรื่องหรือยัง”
เสียงของนางอบอุ่นและอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกราวกับได้รับลมโชยอ่อนๆ ของฤดูใบไม้ผลิ
เสียงของสาวใช้เด็กผู้นั้นก็เลยอบอุ่นตามขึ้นมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินรองทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ บอกให้ข้ามาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าและท่านสักคำหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านที่เรือนชั้นนอกสักคำว่าคุณชายรองอายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน กลัวว่าจะพบเห็นอะไรระหว่างทางแล้วจะลงมาจากรถ ให้หาคนขับรถม้าที่มีอายุให้สักคนหนึ่ง คนคุ้มกันก็ต้องหาคนที่มีความระมัดระวังรอบคอบและไม่ขาดไหวพริบประเภทนั้นติดตามไปด้วย เผื่อว่ามีเรื่องอะไรก็จะได้ช่วยตัดสินใจได้”
สาวใช้เด็กทวนคำพูดของโจวเสาจิ่นหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าไม่ตกหล่นอะไรแล้วถึงได้ถอยออกไปยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปดูในครัวสักหน่อย “ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้ฮูหยินทั้งสองท่านและคุณหนูหกฟางอยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วย เจ้าไปสอบถามบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยสักหน่อยว่า ฮูหยินทั้งสองท่านและคุณหนูหกฟางมีอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยงบ้างหรือไม่ จะได้ให้ในครัวจัดรายการอาหารมาให้”
ชุนหว่านรับคำแล้วจากไป
โจวเสาจิ่นสั่งให้เฉินเซียงไปดูที่ห้องน้ำชาด้วยสักหน่อย “ล้วนเป็นสาวใช้เด็กที่เข้ามาใหม่ทั้งสิ้น อย่าให้เล่นจนลืมต้มน้ำชงน้ำชา”
เฉินเซียงยิ้มพร้อมกับเดินไปที่ห้องน้ำชา
โจวเสาจิ่นถึงได้หมุนกายกลับเข้าไปในห้องรับแขก
ภายในห้องรับแขกเงียบเชียบ สายตาที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางมองนางนั้นดูซับซ้อนเล็กน้อย มีเพียงฟางเซวียนเท่านั้นที่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่หลังจากที่โจวเสาจิ่นเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้เด็กที่เข้ามาขอคำชี้แนะนั่นแล้ว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางต่างตัดจบบทสนทนาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย พลางเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวที่เฉลียงทางเดิน
ฟางเซวียนที่เจื้อยแจ้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปสองสามประโยคแล้ว เมื่อเห็นว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร จึงหยุดเสียงลงมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้
ภายในห้องพลันเงียบเชียบไร้สรรพเสียง ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
บทสนทนาระหว่างโจวเสาจิ่นและสาวใช้ก็เลยเข้าหูของพวกนางอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่นแม้สักคำ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางตกใจที่โจวเสาจิ่นถึงกับเป็นคนตัดสินใจเรื่องภายในเรือนของประตูเฉาหยาง ส่วนฟางเซวียนกลับรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นจองหองมากเกินไปแล้ว เนื่องจากมาเป็นแขก เห็นๆ อยู่ว่านี่มิใช่คำพูดที่คนเป็นแขกควรจะพูดหรือเรื่องที่แขกควรจะกระทำ!
โจวเสาจิ่นถูกพวกนางมองจนรู้สึกประหลาดใจ ก้มหน้าลงมองสำรวจการแต่งกายของตัวเองอย่างอดไม่ได้ เห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินรองฟางได้สติกลับมาก่อน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เปล่า ไม่มีอะไร! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองตระกูลโจวอายุยังน้อยอยู่เลยแต่ก็รับผิดชอบการงานเพียงลำพังได้แล้ว ไม่เหมือนอาเซวียนของพวกข้าที่อะไรก็ไม่เข้าใจ” น้ำเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวนึกถึงเวลาที่โจวชูจิ่นผู้เป็นบุตรสะใภ้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจวเสาจิ่นและจวนหลักขึ้นมานั้นมักจะพูดว่าโจวเสาจิ่นได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรบ้าง…ดูแล้วบุตรสะใภ้มิได้กล่าวเกินจริงเลย
แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ กันนะ
ต่อให้จะโปรดปรานโจวเสาจิ่นเสมือนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่การที่ให้นางเป็นคนตัดสินใจจัดการเรื่องภายในเรือนของประตูเฉาหยางข้ามหน้าฮูหยินรองเว่ยเช่นนี้…ย่อมทำให้คนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย!
เพียงแต่ว่าตอนนี้มิใช่เวลามาสืบสาวหาความกับเรื่องพวกนี้ นางกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นข้าถึงได้บอกว่าต้องให้อาเซวียนมาเรียนรู้กับฮูหยินผู้เฒ่า พวกท่านดูเสาจิ่น รับผิดชอบการงานเพียงลำพังได้แล้ว มิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนได้ดีหรอกหรือ!”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ่งนัก
นางเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้รับคำสั่งสอนจากฮูหยินผู้เฒ่ามามากมาย เป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวถือโอกาสชี้แนะฟางเซวียนว่า “…เจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้จากเสาจิ่นให้มาก”
ปากฟางเซวียนขานรับคำว่าเจ้าค่ะ ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วย
มาเป็นแขกก็คือเป็นแขก แต่กลับสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องในเรือนของผู้อื่น นางไม่มีทางทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้อย่างแน่นอน!
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางก็พาฟางเซวียนกล่าวขอตัวลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้โจวเสาจิ่นอยู่พูดคุยด้วย ยื่นเทียบของฮูหยินใหญ่เลี่ยวส่งให้โจวเสาจิ่น พร้อมกับเล่าเรื่องที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวกับนางก่อนหน้านี้ให้โจวเสาจิ่นฟังไปพร้อมๆ กัน
โจวเสาจิ่นตกตะลึงงัน
ไม่เข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมายความว่าอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโบกพัดกลมไปด้วย กล่าวไปด้วยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เจ้าคงนึกอะไรออกบ้างกระมัง”
วันนี้ตอนที่โจวเสาจิ่นได้ยินคำพูดของฮูหยินใหญ่เลี่ยวนั้นก็รู้สึกอะไรอยู่บ้าง เพียงแต่คิดว่าคุณหนูหกฟางผู้นั้นเป็นดั่งไข่มุกในอุ้งมือของคนในบ้าน ท่านน้าฉือก็อายุมากกว่านางเป็นสิบปี จึงคิดว่าเป็นตัวเองที่คิดมากไป…ตอนนี้พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกนั่นก็เด่นชัดขึ้นมา
สีหน้านางดูลังเล
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบพยักหน้า
แม้นเด็กผู้นี้จะมีนิสัยขลาดกลัวอยู่บ้าง ทว่าจะดีจะร้ายก็มิได้โง่เขลา
“ที่นี่ก็ไม่มีใครอื่น เจ้าเพียงพูดออกมาก็พอ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้กำลังใจโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นยังคงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้กล่าวเสียงค่อยว่า “หรือว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวคิดจะเป็นแม่สื่อให้ท่านน้าฉือ…ให้คุณหนูหกฟางแต่งเข้ามา…”
“ถูกต้อง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างสบายๆ “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้าหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยความประหลาดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยเสียงเคร่งว่า “ตอนนี้พวกเราแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูแล้ว ถ้าหากฝั่งบุตรสะใภ้มีญาติพี่น้องจำนวนมาก เช่นนั้นก็คงจะดีไม่น้อย คุณหนูหกฟางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว คาดว่าสินเจ้าสาวคงมีไม่น้อย อีกทั้งเป็นหญิงสาวจากตระกูลฟาง น่าจะเข้ากันได้ดีกับหยวนซื่อ…หรือถ้าไม่ได้ ก็ยังมีหญิงสาวของตระกูลหลี่ หรือไม่ก็หญิงสาวของตระกูลหวงอยู่…”
โจวเสาจิ่นถึงได้เข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางคงอยากจะบอกว่าท่านน้าฉือไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหาหญิงสาวดีๆ มาแต่งงานด้วยไม่ได้กระมัง
โจวเสาจิ่นรู้สึกอยากหัวเราะออกมาอย่างอธิบายไม่ได้
นี่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงอยากจะบอกว่าให้นางรักษาท่านน้าฉือเอาไว้ให้ดีกระมัง
นางพลันปัดกวาดความหดหู่ใจก่อนหน้านี้ทิ้งไปในทันที กล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าท่านมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า ‘สู่ขอสะใภ้เข้ามามิควรเห็นแก่สินเจ้าสาว แต่งบุตรสาวออกไปมิควรเห็นแก่ความร่ำรวยของบุตรเขย’ หรอกหรือ เหตุใดวันนี้กลับมานั่งคำนวณสินเจ้าสาวของคุณหนูหกฟางได้เจ้าคะ ถ้าต้องเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน เนื่องจากฮูหยินใหญ่เป็นหญิงสาวจากตระกูลหยวนและก็เป็นหลานสาวของตระกูลฟาง ตระกูลหยวนและตระกูลฟางทั้งสองตระกูลย่อมเข้ากันได้ดี แทนที่ท่านจะสู่ขอหญิงสาวของตระกูลฟางเข้ามาอีกผู้หนึ่ง มิสู้ไปมองหาหญิงสาวจากตระกูลหลี่ที่หลูเจียง หรือไม่ก็หญิงสาวจากตระกูลหวงที่ไซ่หยางมาผู้หนึ่งยังจะดีกว่า กล่าวคือขุนนางจากเจียงซีมักจะเกี่ยวดองกับตระกูลหวงที่ไซ่หยาง ส่วนตระกูลหลี่ที่หลูเจียงก็เป็นตระกูลใหญ่ของทางเหนือ เหตุใดท่านจะต้องทำอะไรที่ไม่จำเป็นด้วยเจ้าคะ” กล่าวถึงตรงนี้ ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าข่มขู่นางก่อนหน้านี้ขึ้นมา ด้วยฝีมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ถ้าหากคิดจะข่มขู่นางจริงๆ เกรงว่าคงไม่ทำแค่พูดกับนางไม่กี่ประโยคก็ถือว่าจบเรื่องแล้วเป็นแน่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เพียงอยากจะกล่าวเตือนนางสักคำรบหนึ่ง ให้นางได้รู้ว่าการอยู่กับท่านน้าฉือนั้นอาจจะต้องพานพบกับความยากลำบากในอนาคตอย่างไรบ้างก็เท่านั้น…ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันกระมัง ไม่อย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะเล่าสิ่งที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวพูดและเรื่องที่นางกระทำให้นางฟังไปทำไมกัน
ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยความกล้าหาญขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างทีเล่นทีจริงว่า “อีกอย่าง ข้าคิดว่าหากข้าคิดจะสู้กับพวกคุณหนูตระกูลฟางและคุณหนูตระกูลหยวนเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่าที่ตรงไหนเลยเจ้าค่ะ! ท่านสนใจเพียงให้คุณหนูฟางผู้นั้นมาเป็นแขกที่บ้านก็พอ ข้าจะต้องเอาชนะคุณหนูตระกูลฟางผู้นั้นได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “เอาชนะ? เอาชนะอย่างไร”
“ตั้งใจเรียนรู้การครองเรือนกับท่าน ตั้งใจดูแลท่านน้าฉือ และตั้งใจปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังนี้…” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะต้องทำได้ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงหัวเราะออกมา
นี่นับเป็นการหัวเราะจากใจจริงครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นางคุยกับโจวเสาจิ่นที่ห้องทางการเป็นต้นมา
“มานี่สิ!” นางหันไปกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกอยู่รางๆ ว่าดูเหมือนตนจะเอาชนะความเชื่อใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้แล้ว
นางใจเต้นตึกตักประหนึ่งรัวกลอง เดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของนางเอาไว้ มองสำรวจนางด้วยรอยยิ้มรักใคร่ ลูบไรผมของนางอย่างทะนุถนอม เอ่ยเสียงค่อยว่า “ต่อไปไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าต้องจำคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าให้ดี ผู้อื่นก็มีข้อได้เปรียบของผู้อื่น เจ้าเองก็มีดีของเจ้า ต้องทั้งไม่ดูถูกตัวเองและไม่ประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป เจ้าเข้าใจหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต น้ำตาร่วงหล่นลงมาโดยไม่บอกไม่กล่าว
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” นางคุกเข่าลง วางศีรษะลงบนหัวเข่าของฮูหยินผู้เฒ่ากัว “คำพูดของท่าน ข้าจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”
ถ้าหากพูดว่าครั้งแรกที่คุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นเป็นการกระทำที่ไร้ทางเลือก ทว่าการคุกเข่าเป็นครั้งที่สองในครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจ
บนโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดสักคนที่ทำให้คนรู้สึกเคารพและเทิดทูนได้เท่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกแล้ว
นางไม่เพียงสอนหลักในการเป็นคนและกระทำเรื่องต่างๆ ให้นางเท่านั้น ยังให้นางได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเอาชนะตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะกำหนดชะตาชีวิตและอนาคตของตัวเองได้
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” น้ำตาของนางพรั่งพรูลงมาประหนึ่งฝนโปรย
กระบอกตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รื้นชื้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบบ่าของนางเบาๆ พลางกล่าว “ไปเถิด! เส้นทางในอนาคตของเจ้ายังอีกยาวไกล รอให้เจ้าอายุเท่าข้าแล้วเจ้าจะรู้เองว่าถนนแห่งความสำเร็จนั้นล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งสิ้น”