ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 440 บุตรชายคนเล็ก
ทางด้านประตูเฉาหยางนั้นเฉิงฉือกลับกำลังคุยธุระกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ “…ใต้เท้าซ่งอยากให้ข้าไปช่วยข้าหลวงหยางโซ่วซานจัดการดูแลทางน้ำที่ฝ่ายจัดการน้ำ เริ่มงานตำแหน่งที่ปรึกษาขั้นหกผิ่นของกรมโยธา ถือได้ว่าทำงานอยู่ที่ที่ว่าการของข้าหลวงเป็นการชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งหรือโยกย้ายล้วนอยู่กับกรมโยธาทั้งหมด ข้าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แทนที่จะยื่นประวัติส่วนตัวไปที่กรมขุนนางอย่างถ่อมตัวเพื่อขอร้องให้พวกเขามอบงานให้ข้าสักตำแหน่งหนึ่ง มิสู้ตอบรับคำเชิญของใต้เท้าซ่งไปทำงานที่ฝ่ายจัดการน้ำ ณ ที่ว่าการข้าหลวง จะดีร้ายก็เป็นพวกเขาที่เชิญข้าไป นอกจากนี้พอเข้าไปก็ได้รับตำแหน่งขั้นหกผิ่นอีกด้วย รองเจ้ากรมโยธาจางฮุ่ยเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าซ่ง การที่ใต้เท้าซ่งจัดเตรียมเช่นนี้ ก็ถือว่าใช้ความพยายามลงไปไม่น้อย”
แรกเริ่มก่อตั้งประเทศใหม่ๆ นั้น ยังไม่มีปัญหาจากแม่น้ำเหลืองมากนัก ราชสำนักจึงให้ฝ่ายจัดการการขนส่งทางน้ำเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับทางน้ำ กระทั่งประสบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงจัดส่งหัวหน้าฝ่ายจัดการน้ำในกรมไปดูแลเป็นการชั่วคราว สุดท้ายจึงขจัดปัดเป่าปัญหาออกไปได้ แต่นับตั้งแต่รัชศกหย่งชังปีที่สิบเป็นต้นมา นับวันปัญหาอุทกภัยของแม่น้ำเหลืองก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรัชศกจื้อเต๋อปีที่สาม ฝ่ายจัดการน้ำและฝ่ายจัดการการขนส่งทางน้ำแยกตัวออกจากกัน ราชสำนักจึงแต่งตั้งตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำขึ้นมาเป็นพิเศษ ให้รับผิดชอบดูแลแม่น้ำเหลือง ทางน้ำสายใหญ่ระหว่างจิงเฉิงและหังโจวรวมถึงเขื่อนแม่น้ำหย่งติ้ง และการขุดลอกคูคลอง ซึ่งหยางโซ่วซานผู้นั้นก็คือข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำคนปัจจุบันนั่นเอง
เป็นสหายร่วมสอบปีเดียวกันกับซ่งจิ่งหราน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ จอกน้ำชาที่ถืออยู่ในมือยังคงรั้งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเข้าใกล้ริมฝีปากเลยสักนิด พลางกล่าวขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนกับว่าที่ว่าการของข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำผู้นั้นจะมิได้อยู่ที่จิงเฉิงกระมัง”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “อยู่ที่เมืองจี่หนิงของซานตงขอรับ”
คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดเป็นปมมุ่นขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เรื่องอย่างการจัดการน้ำนี้ ทำงานอย่างยากลำบากแต่ก็เป็นงานที่มองไม่ออกว่าทำอะไรบ้าง หากไม่เกิดเรื่องก็ถือว่าสุขสงบและสำราญดี แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องถูกกุดศีรษะ…เจ้าลองไตร่ตรองดูอีกสักหน่อยดีหรือไม่ คราวก่อนเจิงเจี่ยเอ๋อร์มาที่นี่ บอกว่าทางด้านกรมอาญามีตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายพลเรือนว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง แม้นจะเป็นเพียงตำแหน่งขั้นเจ็ดผิ่น แต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตา ต่อไปย้ายไปอยู่ที่ทำการหกกรมก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับราชการด้วยการไปจัดการดูแลน้ำเพียงอย่างเดียวก็ได้ ต่อไปหากมีตำแหน่งนี้ติดตัวเจ้าไปแล้ว ผู้คนก็จะมองว่าเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ของกรมโยธา เมื่อจัดการเรื่องน้ำเสร็จก็ไปดูแลเรื่องการขนส่งทางน้ำอีก ชีวิตนี้ของเจ้าคงต้องวนเวียนอยู่แต่ในนี้แล้ว ตามความเห็นของข้าแล้ว ได้ไม่คุ้มเสีย”
เฉิงฉือกล่าวอย่างสงวนท่าทีว่า “ข้ามิได้ทำเพื่อตำแหน่งในราชสำนัก นับตั้งแต่ที่เสาจิ่นปฏิเสธเรื่องงานแต่งของตระกูลซ่งเป็นต้นมา ข้าก็รู้สึกกระดากที่จะพบหน้าคนตระกูลซ่งอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อพบข้าใต้เท้าซ่งยังคงรู้สึกผิด เอาแต่กล่าวขอโทษข้าไม่หยุด นายท่านผู้เฒ่าซ่งเองก็มาหาข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ชวนไปร่ำสุราก็ชวนไปกินข้าวด้วย…ตอนนี้หยางโซ่วซานอยู่ในตำแหน่งไม่ราบรื่นนัก แล้วเขาก็เป็นคนที่ใต้เท้าซ่งแนะนำมาด้วย ทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนาน คนหนึ่งรุ่งโรจน์อีกคนก็รุ่งโรจน์ด้วย คนหนึ่งสูญเสียอีกคนหนึ่งก็สูญเสียไปด้วย ในเมื่อใต้เท้าซ่งเอ่ยปากมาแล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือหยางโซ่วซานให้พ้นจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ถึงจะถูก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เคยรู้เรื่องที่โจวเสาจิ่นปฏิเสธซ่งมู่มาก่อน จึงรีบสอบถามว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
เฉิงฉือเลือกเล่าเฉพาะส่วนที่สำคัญให้ฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่
นางยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเงียบขรึมและใช้เหตุผล ส่วนคู่ชีวิตที่จากไปแล้วเป็นคนเด็ดเดี่ยวมีแบบแผน ไม่รู้ว่าบุตรชายที่ตนคลอดออกมาทั้งสามคนนี้ได้นิสัยจากผู้ใดมา แต่ละคนช่างมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อคนรักได้ไม่น้อยหน้ากันเลย
เจ้าใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนเจ้ารองสะใภ้รองเจ็บป่วยมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่เห็นเขามีคนอุ่นเตียงหรือไปเที่ยวหอเริงรมย์จำพวกนั้นเลย เจ้าสี่ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากต้องการจะแต่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานสาวแล้ว ยังยอมเป็นหนี้ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเด็กสาวที่ไม่มีวี่แววจะประสบความสำเร็จนี้อีกด้วย!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่าเจ้าเป็นคนที่กำลังแต่งงานแล้ว เจ้าทำใจทิ้งนางเอาไว้ที่จิงเฉิงเพียงลำพังได้หรือ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนไร้ระเบียบแบบแผน พี่ชายใหญ่ของเจ้าก็เป็นคนไร้ระเบียบแบบแผนด้วยหรืออย่างไร รอให้เรื่องแต่งงานของเจ้ากับเสาจิ่นถูกเปิดเผยออกมาก่อน พี่ชายใหญ่ของเจ้าจะไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมที่อยู่ในท้องของเจ้าเหล่านั้นหรือ ถึงเวลานั้นเสาจิ่นจะยังอยู่ดีได้อยู่หรือ”
เฉิงฉือหัวเราะคิกออกมา
เนื่องจากมารดากลัวว่าเมื่อเขาไปดูแลฝ่ายจัดการน้ำแล้ว จะกลายเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายช่าง ต่อไปจะโยกย้ายลำบาก กระทั่งหยิบยกเอาเสาจิ่นออกมาหว่านล้อมเขา
กล่าวได้ว่านางเป็นเสมือนกับคนป่วยหนักที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาหมอทุกคนแล้ว
เฉิงฉือขยิบตาให้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าท่านไม่เห็นด้วยมาโดยตลอดหรอกหรือ ข้าก็จะได้มีที่ให้หลบออกไปพักใจด้วยพอดี!”
“เจ้าคนร้ายกาจผู้นี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางจอกชาลงพลางกวาดมือหาของสักอย่างไปทั่วหมายจะเอามาตีเฉิงฉือ “หากมิใช่เพื่อเจ้า ข้ายังจะเสียเวลาคิดเรื่องนี้อีกหรือ เพียงข้านึกถึงวันที่ต้องไปเอ่ยเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจว หน้าข้าก็แห้งเหือดด้วยความกังวลแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกตระกูลโจวไล่ออกจากประตูบ้านหรือไม่ ที่ผ่านมาข้ามีชีวิตอย่างสูงส่งและสง่างามมาโดยตลอด ไม่คาดคิดว่าเมื่อแก่ชราลงแล้ว กลับยังต้องลดตัวลงก้มหน้าให้ผู้อื่นเพื่อบุตรชายคนเล็กที่ไม่เอาไหนผู้หนึ่งอยู่อีก…”
“ท่านแม่ ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกันขอรับ!” หนังหน้าของเฉิงฉือหนาดั่งกำแพงบ้าน แสร้งทำท่าหวาดกลัวรีบหลบไปอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องสู่ขอให้บุตรชายหญิงได้เป็นฝั่งเป็นฝานี้มิใช่ว่าเป็นหน้าที่ของบิดามารดาหรอกหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีน้ำโห กล่าวขึ้นว่า “ข้าดูแล้วคุณหนูหกตระกูลฟางของพวกเราก็ไม่เลว ในเมื่อเรื่องแต่งงานของเจ้าขึ้นอยู่กับข้า เช่นนั้นก็แต่งกับคุณหกตระกูลฟางก็แล้วกัน…”
เฉิงฉือหัวเราะร่า จงใจกล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านแม่ให้ข้าแต่งกับผู้ใด ข้าก็จะแต่งกับผู้นั้น!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธจัด ลุกขึ้นก้าวออกไปตีเฉิงฉือสองสามฝ่ามืออย่างอดไม่ได้ พลางกล่าว “ยังกล้ามาเถียงกับข้าอีก!”
เฉิงฉือจึงหลอกล่อมารดาว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะเห็นว่าท่านสงสารเห็นใจข้าหรอกหรือ ท่านรีบหายโกรธเถิด ท่านจะไปเอ่ยเรื่องสู่ขอกับตระกูลโจว อย่างไรข้าก็ต้องมีตำแหน่งอะไรสักตำแหน่งหนึ่ง ตระกูลโจวจะได้ปฏิเสธท่านไม่ได้! อีกอย่าง ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ท่านจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ ที่บอกว่าจะไปดูแลฝ่ายจัดการน้ำนั้น ก็เพราะว่าข้าเก่งเรื่องคำนวณ เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวมาเหล่านั้นถึงได้เข้าใจได้โดยง่าย ครั้งนี้ที่บอกว่าให้ข้าไปเป็นผู้ช่วยของหยางโซ่วซานจัดการน้ำนั้น ความจริงแล้วนายท่านผู้เฒ่าซ่งก็ร่วมเดินทางไปด้วย การจัดการแก้ไขปัญหาแม่น้ำเหลืองให้สำเร็จนั้นเป็นความปรารถนาของเขามาทั้งชีวิต ก็เพียงอ้างชื่อของข้าก็เท่านั้น จุดแข็งของข้ายังคงอยู่ที่การคำนวณ เมื่อก่อนไม่ได้ติดต่อกับใต้เท้าซ่ง ใต้เท้าซ่งจึงไม่รู้ ต่อมาได้ไปมาหาสู่กับใต้เท้าซ่ง ข้าเองก็มิได้ปิดบังแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นใต้เท้าซ่งก็คงไม่ให้ข้าไปรับตำแหน่งในกรมโยธา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้เข้าสู่หกกรมในอนาคต”
กล่าวไปกล่าวมาก็ยังคงทำเพื่อโจวเสาจิ่นอยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าคิดมาดีแล้ว ยังจะมาถามข้าอีกทำไม”
เฉิงฉือจึงดันมารดาให้นั่งลงบนตั่งใหม่อีกครั้ง ช่วยนวดหัวไหล่ให้มารดาอย่างเอาใจไปด้วย กล่าวเสียงอบอุ่นเจือรอยยิ้มไปด้วยว่า “ท่านแม่เป็นดั่งกระดูกสันหลังของครอบครัวพวกเรา เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่นั้นมิใช่ว่ามีเรื่องอะไรก็เอาปรึกษาท่านทุกเรื่องหรอกหรือ ข้าประสบกับเรื่องใหญ่เพียงนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องเอามาหารือกับท่านแม่ก่อนหัวใจดวงนี้ถึงจะรู้สึกมั่นใจขึ้นมาได้!”
กระบอกตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันรื้นชื้นขึ้นมา
นางเฉลียวฉลาดและมากความสามารถมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อแก่ตัวลงแล้วกลับถูกสามีลวงหลอก เอาบุตรชายคนเล็กที่นางอุ้มท้องมากว่าสิบเดือนและคลอดออกมาอย่างยากลำบากนั้นไปให้เฉิงซวี่คนหยาบช้าผู้นั้นเลี้ยงดูจนกลายเป็นหัวหน้าพรรคอะไรนั่นไปเสีย หากมิใช่เพราะบุตรชายของนางเป็นคนฉลาดและเชื่อฟังแล้วละก็ คงกลายเป็นจอมยุทธ์ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ วันที่พวกเขาสองแม่ลูกได้มาปรึกษาหารือเรื่องรับราชการอยู่ตรงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็อ่อนยวบลงมา
อยากจะไปอยู่ฝ่ายจัดการน้ำก็ไปเถิด!
ผู้สูงส่งไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกอับอาย
ในเมื่อเป็นพวกเขาที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษคนตระกูลซ่ง เช่นนั้นก็ตั้งใจตอบแทนน้ำใจพวกเขาสักครั้งก็แล้วกัน
ส่วนเสาจิ่นนั้น คิดไม่ถึงว่าด้วยอายุที่ยังน้อยอยู่นั้น นางจะเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองผู้หนึ่ง
ไม่แปลกที่คราวก่อนตอนที่นางทดสอบนางนั้นนางจะตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่เช่นนั้น ที่แท้ก็เพราะตัดสินใจเลือกเอาไว้ตั้งนานแล้วนี่เอง
เด็กผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน…
ก็เท่ากับว่านางหนุนหลังคนสองคนนี้แล้ว
รอให้หน้าที่การงานของเจ้าสี่กำหนดออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งคนไปพูดเรื่องงานแต่งที่ตระกูลโจว
ที่เจ้าสี่กล่าวมาก็ถูก เมื่อเขามีตำแหน่งเป็นขุนนางแล้ว ตระกูลโจวก็จะให้เกียรติเขามากยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่างานแต่งในครั้งนี้อาจจะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่นก็เป็นได้!
จัดพิธีมงคลช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ปีถัดไปก็มีหลานชายตัวอ้วนจ้ำม่ำมาให้อุ้มผู้หนึ่งแล้ว…ไม่ได้ เจียซ่านจะแต่งงานช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า…เช่นนั้นก็กำหนดให้เป็นช่วงสิ้นปีของปีนี้ก็แล้วกัน…เนื่องจากเจ้าสี่เป็นอา อีกทั้งยังอายุมากกว่าเจียซ่าน ไม่มีเหตุอันสมควรใดให้คนเป็นอายังอยู่ตัวคนเดียวขณะที่หลานชายแต่งงานไปก่อนแล้ว…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดอยู่ในใจ สีหน้าจึงยิ่งดูอบอุ่นมากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “ทางด้านของพี่ชายใหญ่ของเจ้านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจ ข้าจะพูดกับเขาเอง เขาไม่กล้าคัดค้านอย่างแน่นอน ทางด้านของใต้เท้าซ่ง ก็จะให้เขาไปทักทายสักครั้ง ไปกล่าวขอบคุณใต้เท้าซ่งสักคำหนึ่งด้วยเช่นกัน ให้เขายอมรับน้ำใจในครั้งนี้ของใต้เท้าซ่ง”
เฉิงฉือมักจะรู้สึกมาตลอดว่าเฉิงจิงผู้เป็นพี่ชายใหญ่นั้นเป็นคนหูเบา โอนเอนเข้าหาตระกูลหยวนมากเกินไป มีบางเรื่องที่ไม่อยากไปปรึกษาเขา เรื่องที่ซ่งจิ่งหรานชวนเขาไปรับราชการนั้น เขาก็ไม่บอกเฉิงจิง
ปัญหาเรื่องการจะนำเกียรติมาสู่ตระกูลเฉิงอย่างไรนั้นเขาและเฉิงจิงมีความเห็นที่แตกต่างกันมาโดยตลอด
ในความเห็นของเฉิงจิงแล้ว ตระกูลเฉิงและตระกูลหยวนเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน ย่อมเป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งหยวนเหวยชางยังเป็นหัวหน้าสภาขุนนาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือผลตระกูลเฉิงก็ควรเดินตามการนำของตระกูลหยวน
แต่ในมุมของเฉิงฉือ ด้วยเหตุเพราะตระกูลเฉิงและตระกูลหยวนเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน เป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว บางครั้งจึงไม่จำเป็นต้องตึงหรือเคร่งเครียดไปเสียทุกอย่าง ควรจะลองไปหยั่งเชิงสร้างความสัมพันธ์กับขุนนางท่านอื่นในสภาดูบ้าง หาโอกาสไปแสดงจุดยืนของตัวเอง แสดงความคิดเห็นด้านการเมืองการปกครองของตัวเอง ถือโอกาสสลัดสถานะพันธมิตรเช่นนั้นกับตระกูลหยวนออกไป ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างขุนนางแต่ละท่านในสภา
แต่เฉิงจิงไม่เห็นด้วย
รู้สึกว่าเฉิงฉือนั้นไร้เดียงสาและบ้าบิ่นประหนึ่งม้าจากสรวงสวรรค์ที่ทะยานผ่านฟากฟ้า ไม่ได้เป็นคนดูแลบ้านย่อมไม่รู้ว่าฟืนไฟข้าวสารน้ำมันและเกลือนั้นแพงเพียงใด
เฉิงฉือรู้สึกว่าเฉิงจิงนั้นกลัวที่จะเสียชื่อเสียง จนไม่คิดที่จะพยายามก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ
แม้นระหว่างพี่น้องจะไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็เผยออกมาให้เห็นเป็นนัยผ่านการกระทำ เพียงแต่ว่ายังปิดบังฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ และยังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยเรื่องนี้ก็เท่านั้น
ถ้าเฉิงจิงรู้ว่าเฉิงฉือรับความช่วยเหลือของซ่งจิ่งหรานล่ะก็ ไม่ต้องคิดเฉิงฉือก็รู้แล้วว่า เฉิงจิงไม่เพียงคัดค้านอย่างแข็งขัน ยังจะทำเป็นหูหนวกไม่รับรู้สิ่งที่เขาจะอธิบาย ทั้งให้คำแนะนำและวางแผนการให้เขาอย่างที่ตัวเองต้องการ จัดเตรียมตำแหน่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของตัวเองที่สุดให้เขาตำแหน่งหนึ่ง และอาจจะเรียกเขาไปสั่งสอนด้วยอีกคำรบหนึ่ง ให้เขาอย่าติดต่อกับซ่งจิ่งหรานอีก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างซ่งจิ่งหรานและหยวนเหวยชางนั้นค่อนข้างตึงเครียดเล็กน้อย หากเขาใกล้ชิดกับซ่งจิ่งหรานมากเกินไป อาจทำให้คนคิดว่าพวกเขาสองพี่น้องกำลังเล่นละคร ประจบสอพลอทั้งสองฝั่ง ไม่มีจุดยืนของตัวเอง…ในท้องพระโรงแห่งนี้ นอกจากกลัวว่าจะยืนผิดฝั่งแล้ว ยังกลัวว่าคนที่เป็นนักฉวยโอกาสลู่ไหวไปตามลมนั้นจะล้มทั้งสองฝ่ายด้วย…
คราวก่อนตอนที่ซ่งจิ่งหรานเสนอให้เขารับราชการนั้น เฉิงจิงก็เรียกเขาไปสั่งสอนแล้วคำรบหนึ่ง
เฉิงฉือนึกถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็เบะปากอย่างไม่เห็นด้วย
ความบาดหมางระหว่างซ่งจิ่งหรานและหยวนเหวยชางนั้นเฉิงฉือทราบดี
หยวนเหวยชางเป็นหัวหน้าสภาขุนนาง ได้ชื่อว่าเป็นคนไหลลื่นเข้าสังคมเก่ง มีความสัมพันธ์จำนวนมากที่ต้องรักษาให้อยู่ในสมดุล ส่วนซ่งจิ่งหรานดูแลกรมการคลัง มีชื่อเสียงเป็นเลิศด้านการคำนวณว่าจี้เซียง หยวนเหวยชางต้องการขอให้ซ่งจิ่งหรานให้อภิสิทธิ์แก่เขา มาขอให้จัดสรรเงินให้เหล่าเสนาอำมาตย์ ลูกศิษย์ลูกหา เจ้าเมืองและข้าหลวงทั้งหลายของเขาให้เร็วขึ้นสักหน่อยหรือไม่ก็จัดสรรให้มากสักหน่อย เนื่องจากซ่งจิ่งหรานเป็นขุนน้ำขุนนางคนหนึ่ง ก็มีนิสัยและอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าหยวนเหวยชางทุกครั้งไป เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า หยวนเหวยชางก็บังเกิดความคิดอยากจะต่อต้านซ่งจิ่งหราน แต่ไม่อาจทัดทานที่ซ่งจิ่งหรานเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ เป็นคนที่หยั่งถึงความคิดขององค์เหนือหัวได้ บวกกับที่หยวนเหวยชางกระทำเรื่องนี้ได้ไม่รัดกุมพอ ถูกซ่งจิ่งหรานจับได้เสียก่อน
จึงถือได้ว่าทั้งสองคนเป็นอริกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ได้ยินมารดาบอกว่าจะให้พี่ใหญ่ยอมรับน้ำใจของซ่งจิ่งหรานแล้ว เฉิงฉือก็หัวเราะร่า รู้สึกเบิกบานที่จะได้เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
พี่ใหญ่ใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลหยวนมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาสร้างความร้าวฉานสักเล็กน้อยเพื่อให้เขากลับมาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหยวนใหม่แล้ว!
ดังนั้นตอนที่เฉิงจิงและหยวนซื่อมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตอนที่เฉิงจิงมองเฉิงฉือด้วยความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิดนั้น เฉิงฉือยกจอกน้ำชาขึ้นมาแล้วค่อยๆ จิบชาไปคำหนึ่ง