ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 442 เกิดเหตุ
ก่อนที่เฉิงฉือจะไปซอยอวี๋เฉียนนั้น ได้ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนเฮ่อโซ่วถังก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเขาจากไปแล้วก็กลับมาใหม่ เข้าใจว่าเขาจะมาอยู่พูดคุยด้วย จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบกระดานหมากมาอย่างอารมณ์ดี กล่าวกับเฉิงฉือว่า “พวกเรามาประมือกันสักสองสามกระดาน เจ้าไม่ได้มาเดินหมากกับข้าหลายวันแล้ว! ฝีมือการเดินหมากของเสาจิ่นคงก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง”
เสาจิ่นนั่น…นั่นก็เรียกว่าเดินหมากด้วยหรือ
ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพียงการเล่นซุกซนหยอกล้อกับเขาเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับสนุกกว่าตอนเดินหมากจริงๆ เสียอีก!
ขณะที่เฉิงฉือคิดอยู่นั้น ดวงตาก็เจือไปด้วยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ตอบคำถามว่า “ข้าคิดว่าท่านยังโมโหอยู่เสียอีก! แต่ดูแล้วท่านอารมณ์ดียิ่งนัก!”
“หากข้าไม่หาความสุขให้ตัวเอง ก็คงจะถูกลูกไม่รักดีอย่างพวกเจ้าทำให้โมโหตายไปตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้บอกให้สาวใช้เด็กนำกระดานหมากมาวางลงบนตั่ง พลางกล่าว “คนหนึ่งก็คิดถึงแต่ตัวเอง คนหนึ่งก็อะไรก็ได้ คนหนึ่งก็ต่อต้านกฎระเบียบ…ไม่มีคนที่รับมือง่ายเลยสักคน!”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าพวกข้าไม่ดี เป็นท่านต่างหากที่มาตรฐานสูง แม้พี่ใหญ่จะมีใจเห็นแก่ตัวบ้าง แต่เรื่องใหญ่ๆ กลับไม่เคยเหลวไหล ส่วนพี่รองนั้นก็เพราะถูกคั่นเอาไว้ตรงกลาง จะไม่ทำตัวเป็นตัวประสานความสงบก็ไม่ได้ ส่วนข้า…มีท่านแม่และพวกพี่ชายคอยยอมลงให้ หากไม่ต่อต้านกฎระเบียบก็เสียชื่อลูกหลานของตระกูลชั้นสูงหมด!”
“เจ้ายังจะหาความชอบธรรมให้ตัวเองอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวขึ้นว่า “หากพ่อของเจ้ายังอยู่และได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ คงจะเตรียมลงโทษเจ้าไปนานแล้ว!”
เฉิงฉือจึงใช้โอกาสนี้กุมมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจังว่า “ต่อไปท่านก็อย่าโกรธท่านพ่ออีกเลย เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ก็เหมือนกับเถียนจี้แข่งม้าและการทิ้งเบี้ยหมากเพื่อรักษารถม้าเอาไว้ มิใช่ว่าต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลยุทธ์ที่ดีในสถานการณ์ที่สิ้นหวังหรอกหรือ ไม่แน่ว่าหากข้ามิได้ประสบกับเรื่องเช่นนี้อาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จเลยก็เป็นได้! เวลานั้นท่านและท่านพ่อต่างก็ตามใจข้าเป็นอย่างมาก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้เอ่ยคำใด
เฉิงฉือจึงกุมมือของมารดาเอาไว้ตลอดไม่ปล่อย
เนิ่นนาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เล็กน้อยว่า “เจ้าเด็กคนนี้…ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนใจกว้างผู้หนึ่ง!”
เฉิงฉือหัวเราะร่า กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นทางด้านแม่นางตระกูลฟางก็อย่าถือโทษเลย ปล่อยนางไปเถิด! ไม่คุ้มค่าที่จะลากตระกูลฟางลงน้ำไปด้วยเพียงเพื่อเรื่องของข้า”
หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่ายิ่งนานไปความขัดแย้งที่มีกับหยวนซื่อจะยิ่งหยั่งลึกมากขึ้นด้วย
แน่นอนว่าเขาไม่อาจพูดคำพูดประโยคนี้ออกมาต่อหน้ามารดาได้ ไม่อย่างนั้นหากฮูหยินผู้เฒ่าเกิดต่อต้านและดื้อดึงขึ้นมา เช่นนั้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็กู่ไม่กลับแล้วเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชายตามองเขาครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้อีกแล้วหรือ”
เฉิงฉือจึงกล่าวขึ้นอย่างทะเล้นว่า “เดิมทีข้าอยากจะเป็นดั่งกระดุมเสื้อของมารดา[1] แต่เมื่อออกมาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง จึงได้แต่ต้องเป็นพยาธิในท้องของท่านเสียแล้ว…”
“เพ้ยๆๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะพลางกล่าว “พยาธิในท้องอะไรกัน นับถือเจ้าจริงๆ ที่พูดออกมาได้! เจ้านี่น้า เล่นงิ้วต่อหน้าข้าให้มันน้อยๆ หน่อย แม้นข้าจะแก่แล้ว แต่สายตายังดีอยู่ อย่าคิดว่ามาทำเป็นเล่นตลกโปกฮาแล้วข้าจะลืมมันไป ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ก็คงกังวลว่าหยวนซื่อจะเคียดแค้นข้ากระมัง แต่หากหยวนซื่อไม่ยุยง ตระกูลฟางไม่รนหาที่ตาย ต่อให้อยากจะลงมือก็ไม่มีโอกาสหรอกกระมัง ในเมื่อพวกนางวิ่งโร่เข้ามาหาประโยชน์จากเรื่องนี้เอง ข้าจะทำให้พวกนางผิดหวังได้อย่างไรกัน” จากนั้นกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือคนที่คิดจะใช้อุบายกับข้า!”
เฉิงฉือมิได้กล่าวสิ่งใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงนำชามดินเผาที่บรรจุหมากสีดำเอาไว้ไปวางลงตรงหน้าเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ เดิมทีคิดว่าจะให้พวกน้องสาวตระกูลกัวของเจ้ามารวมกลุ่มด้วย แล้วเลือกสักคนจากกลุ่มของพวกน้องสาวตระกูลกัวของเจ้าและเสาจิ่นมาเป็นภรรยาให้เจ้า จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าทางนี้พวกเราเพิ่งจะแยกตระกูลไปหมาดๆ ก็ไปเอ่ยเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจวทางโน้นแล้ว ทำให้คนเห็นความผิดปกติอะไรได้ เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของตระกูลกัวก็คงจะได้รับความเสียหายไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็รู้สึกคับอกคับใจหายใจไม่ออกเล็กน้อย ถึงได้ชะลอเรื่องนี้ไปเสีย ตอนนี้ได้โอกาสพอดี ได้ยกตระกูลกัวออกไป เรื่องแต่งงานของเจ้าก็ไม่ทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัย…เจ้าเร่งไปจัดการเรื่องหน้าที่การงานของเจ้าทางด้านโน้นให้เรียบร้อยเสีย ข้าคิดว่าเมื่อผ่านพ้นวันที่สิบห้าเดือนแปดก็ไปเกริ่นเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจวได้แล้ว!”
เฉิงฉือรู้อยู่แล้วว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บคุณหนูตระกูลฟางผู้นั้นเอาไว้ก็เพื่อจะสนับสนุนเสาจิ่น ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้แล้ว จึงรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีแผนการต่อเรื่องนี้แน่แล้ว จึงไม่อาจกล่าวอะไรมากอีก ได้แต่หวังว่าหยวนซื่อจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายแล้วลากคุณหนูตระกูลฟางผู้นั้นลงน้ำไปด้วย
เดินหมากกับมารดาไปสองกระดาน เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว เฉิงฉือจึงหาข้ออ้างหนึ่งกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วไปที่ซอยอวี๋เฉียน
วันที่สองหลังกลับจากไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลี่ซื่อก็เลือกวันดีได้วันหนึ่งและเดินทางกลับเมืองเป่าติ้งไปเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านซอยอวี๋เฉียนจึงมีโจวเสาจิ่นอยู่บ้านเพียงคนเดียว พ่อบ้านและบรรดาบ่าวชายที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูล้วนเป็นคนของเฉิงฉือทั้งสิ้น เมื่อเห็นเฉิงฉือมา ก็ย่อมไม่มีเหตุอันใดให้ต้องขวางเอาไว้ พวกบ่าวชายวิ่งไปแจ้งที่ประตูชั้นใน ส่วนพ่อบ้านก็เดินเข้าไปด้านในเป็นเพื่อนเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นคิดว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว จึงหมักสุราดอกกุ้ยฮวาด้วยตัวเองหลายไห กำลังชิมรสชาติของสุราอยู่ในห้องขนาบข้างที่เก็บสุรากุ้ยฮวาเอาไว้ พอได้ยินสาวใช้เด็กมารายงาน ยังไม่ทันได้วางจอกสุราในมือลง เฉิงฉือก็เดินเข้ามาก่อนแล้ว
“เหตุใดถึงนึกจะหมักสุราดอกกุ้ยฮวาได้เล่า” เขาเดินเข้ามาในเรือนหลักก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราดอกกุ้ยฮวาแล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรอกหรือ ของขวัญสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นคงไม่อาจหาซื้อมาจากตลาดทั้งหมดทุกอย่างหรอกกระมัง เมื่อก่อนข้าเคยหมักสุราดอกกุ้ยฮวามาก่อน ทุกคนต่างบอกว่ารสชาติดี ประจวบเหมาะกับที่ปีนี้ดอกกุ้ยฮวาบานสะพรั่ง ข้าก็เลยหมักสุราอีกสองสามไห มิใช่ของหายากอะไร เป็นการแสดงน้ำใจครั้งหนึ่งก็เท่านั้น”
เฉิงฉือฟังแล้วรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยน ทั้งยังเป็นคนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว เดิมทีเขาไม่ได้คาดหวังว่านางจะครองเรือนได้ แต่นางคิดเรื่องการเข้าสังคมกับผู้อื่นเช่นนี้ได้ รู้จักไปมาหาสู่กับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัวเป็นครั้งคราวเช่นนี้ได้ เขาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝั่งอีกสักหน่อย เรื่องต้องเข้าสังคมนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเป็นแน่
“เอ๋!” เขาทำท่าทางกึ่งไม่เชื่อพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าหมักสุราดอกกุ้ยฮวาเป็นด้วยหรือ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ
ท่านน้าฉือมักจะชอบเย้าแหย่ให้นางมีความสุข
แน่นอนว่าเขามิได้ไม่เชื่อว่านางหมักสุราเป็น ก็แค่อยากจะทำให้ตนดีใจเท่านั้น
นางจึงตักสุราจอกเล็กๆ ยื่นส่งให้เฉิงฉือ “ท่านน้าฉือ ท่านลองชิมดูว่ารสชาติดีหรือไม่”
เฉิงฉือจิบไปคำหนึ่ง
ใช้สุราของจินหวาหมักโดยเติมดอกกุ้ยฮวาสีทองและดอกกุ้ยฮวาสีเงินเข้าไป เมื่อจิบเข้าปากแล้วยังคงเป็นรสชาติที่ติดลิ้นนานของสุราจินหวา เพียงแต่ว่าจะได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาสีทองและดอกกุ้ยฮวาสีเงินอย่างชัดเจน
“ไม่เลว!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ชอบสุราจินหวา ก็น่าจะชอบสุราดอกกุ้ยฮวาเช่นกัน”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ยิ้มตาหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว ลากเฉิงฉือไปดูสุราดอกกุ้ยฮวาที่นางฝังเอาไว้หลังลานบ้าน “…เป็นสุราข้าวหมากที่ข้าหมักขึ้นมาเอง เติมน้ำตาลกรวด ลำไยและพุทราจีนไปด้วย เป็นสุราดอกกุ้ยฮวาสีทองสิบไห สุราดอกกุ้ยฮวาสีเงินสิบไห สุราดอกกุ้ยฮวาสีแดงสิบไห และยังมีอีกยี่สิบไหที่ใช้สุราเกาเหลียงหมัก สุราข้าวหมากเอาไว้ดื่มตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหน้า ส่วนสุราเกาเหลียงฝังเอาไว้ห้าถึงหกปีค่อยนำออกมา ถึงเวลานั้นข้าจะทำนกพิราบหมักสุราตากลมให้ท่านน้าฉือแกล้มสุรา”
สาวน้อยของเขาเป็นเสมือนกับเรือลำน้อยที่แล่นมาอย่างยาวนาน ที่สุดท้ายก็ได้หยุดอยู่ที่ท่าเรือของเขาแล้ว
ถึงกับฝังสุราไว้ใต้ดิน ยังบอกด้วยว่าห้าปีหลังจากนี้ค่อยนำออกมา…
เฉิงฉือมองนางยิ้มๆ
รู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาที่ดีไปกว่าเวลานี้อีกแล้ว
คนที่หัวใจของเขาปรารถนา กำลังพูดกับเขาเรื่องอนาคตของพวกเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!
แค่คิดเฉิงฉือก็รู้สึกเลือดลมเดือดพล่านไปหมด
สายตาของเขาค่อยๆ เลื่อนจากดวงตาของนางไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มอมชมพูดุจกลีบดอกไม้ของนาง ราวกับว่าสายตาร้อนแรงนั้นกำลังโลมเลียอย่างอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของนาง…คล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังลูบไล้ริมฝีปากของนางเบาๆ…ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น…ไม่เป็นตัวเองยิ่งนัก…
โจวเสาจิ่นพูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ายังทำเป็ดหมักสุราตากลม ห่านหมักสุราตากลม เป็ดแช่เหล้าและห่านแช่เหล้าก็ทำได้เช่นกัน ท่านน้าฉือชอบกินอะไรเจ้าคะ ถึงเวลาข้าจะทำให้ท่าน...”
“เสาจิ่นทำอะไรข้าล้วนชอบทุกอย่าง…” เฉิงฉือโน้มตัวลงมา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเข้าใกล้ริมฝีปากนุ่มอมชมพูนั่นเข้ามาเรื่อยๆ “ขอเพียงเสาจิ่นเป็นคนทำ ข้าล้วนชอบทั้งนั้น…” เขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
โจวเสาจิ่นถึงขั้นสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนและได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายของเขา
นี่ท่านน้าฉือจะจุมพิตนางหรือ
แต่นี่อยู่ข้างนอก อยู่ที่ลานบ้าน ข้างๆ ยังบ่าวไพร่อยู่ด้วย…
ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นไปที่ใบหน้าของโจวเสาจิ่น ราวกับถูกอบอยู่ในห้องอาบน้ำที่หนาแน่นไปด้วยไอน้ำ ทำให้นางหายใจไม่ออก หัวสมองมึนงง ทว่ายังคงครุ่นคิดไปด้วยอย่างไม่รู้ตัวว่า ท่านน้าฉือเปลี่ยนน้ำหอมใหม่หรือ…กลิ่นหอมนั่นเหมือนจะมิใช่กลิ่นของน้ำหอม ‘ดั่งที่ได้ยินมา’…กลิ่นแรงว่าน้ำหอม ‘ดั่งที่ได้ยินมา’ เล็กน้อย ทว่าก็หอมเหมือนกัน คล้ายกลิ่นอบเชย แต่กลิ่นก็อ่อนกว่าอบเชยมาก...เป็นเพราะท่านน้าฉือเปลี่ยนน้ำหอมใหม่นางถึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ…
ดวงหน้าก็ถูกมือที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนนุ่มคู่หนึ่งประคองเอาไว้
กระบอกตาร้อนของโจวเสาจิ่นล้วนรื้นชื้นขึ้นมา
หัวใจก็รู้สึกคล้ายกับถูกบีบรัดจนแน่น
รู้สึกหวาดกลัวนิด ตั้งตารอคอยหน่อย และยังมีความหลอกตัวเองอย่างไม่อยากยับยั้งชั่งใจอยู่เล็กน้อยอีกด้วย
ลมหายใจอุ่นร้อนนั่นเป่ารดลงที่แก้มของนาง
โจวเสาจิ่นหลับตาลง…
ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตระหนกของสตรีดังขึ้นที่ข้างหู “เสาจิ่น...เสาจิ่น...พวกเจ้า…พวกเจ้า…”
ความอบอุ่นพลันหลีกลี้ตีจากโจวเสาจิ่นไปไกล
นางรีบลืมตาขึ้น
เห็นโจวชูจิ่นยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาตรงด้านหลังของลานบ้าน
ดวงหน้าของโจวชูจิ่นเต็มไปด้วยความตกตะลึง สายตาจ้องมองตรงมาที่นาง บริเวณเท้ายังมีกล่องขนมตกเกลื่อนอยู่ด้วยหลายกล่อง
“ท่านพี่…” ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันซีดเผือด
พี่สาวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แล้วพวกบ่าวไพร่ที่รับใช้อยู่ข้างกายนางเมื่อครู่เล่า?
โจวเสาจิ่นจึงไปหลบอยู่เบื้องหลังเฉิงฉือโดยสัญชาตญาณ
เฉิงฉือรู้สึกเก้อกระดาก
ล้วนเป็นเขาที่ประมาทเลินเล่อเกินไป
เห็นว่าปกติไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเริ่มปล่อยตัวและตามใจตัวเอง…ปรากฏว่าทำให้พวกซางมามาเวลาเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันก็จะคิดหาวิธีพาบ่าวรับใช้ข้างกายหลบออกไป…ทว่าคิดไม่ถึงว่าโจวชูจิ่นจะพุ่งเข้ามาในเวลานี้ ทำให้เสาจิ่นตกใจกลัวแล้ว
เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ให้โจวเสาจิ่นหลบอยู่ข้างหลัง ดวงหน้าเคร่งขรึม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ชูจิ่น ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด…”
“ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น!” โจวชูจิ่นกล่าวเสียงเคร่ง ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด
ความจริงปรากฏประจักษ์ชัดอยู่ตรงนั้น นางเห็นด้วยตาตัวเอง ยังจะมีส่วนที่ไม่จริงอีกหรือ เขายังอยากจะเล่นลิ้นอะไรอีก
โจวชูจิ่นรู้สึกว่าตนใกล้จะเป็นลมล้มพับลงไปแล้ว
นางคว้ากิ่งของต้นกุ้ยฮวาเอาไว้แน่น ถึงไม่ล้มลงไป
ถึงว่า!
ถึงว่า!
ท่านน้าฉือดีกับเสาจิ่นเป็นพิเศษ สายตาที่มองเสาจิ่นก็แตกต่างเล็กน้อย
มอบบ้านให้นาง ซื้อเครื่องประดับมุกและอัญมณีให้นาง คิดเผื่อนางทุกเรื่อง กระทั่งยกเอาเรื่องแต่งงานของเสาจิ่นมาเป็นข้ออ้างโน้มน้าวให้ตนเขียนจดหมายไปให้บิดา ให้เสาจิ่นได้รั้งอยู่ที่จิงเฉิง ช่วยเป็นตัวกลางประสานให้นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ได้ทำการค้ากับสำนักพระราชวัง…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
น้องสาวที่จิตใจดีงามบริสุทธิ์ดุจกระดาษขาวของนาง น้องสาวที่แม้นร่างกายตนจะเต็มไปด้วยบาดแผลก็ต้องปกป้องนางเอาไว้ใต้ปีกนั้นสุดท้ายจะ…สุดท้ายจะถูกคนข้างกายที่นางเชื่อใจและเคารพเทิดทูนมากที่สุดอย่างท่านน้าล่อลวง…
ความกรุ่นโกรธ ผิดหวัง กล่าวโทษตัวเอง ต่างไหล่บ่ามาที่นางอย่างท่วมท้นประหนึ่งภูเขาถล่มผืนทะเลพลิกคว่ำ
นางก้าวออกไปสองสามก้าวยกมือขึ้นหมายจะฟาดไปที่เฉิงฉือ ทว่ากลับมีเสียงของฉือเซียงดังขึ้นจากด้านหลังว่า “ต้ากูไหน่ไน ย้ายของทั้งหมดไปไว้ที่เรือนของคุณหนูรองเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ…”
…………………………………………………………………
[1] กระดุมเสื้อของมารดา เปรียบเปรยถึงบุตรสาวที่มักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับมารดา