ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 446 ชิงลงมือก่อน
ส่วนเฉิงฉือที่อยู่ไกลถึงเมืองเป่าติ้งในเวลานี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูที่ว่าการเมืองเป่าติ้ง
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าตัวเองประหม่าถึงเพียงนี้
โจวเจิ้นเป็นคนสุขุมมีมารยาท ใจกว้างมีการศึกษา แต่หลังจากเกิดเรื่องของเฉิงสวี่แล้ว เขาจะอนุญาตให้ตนแต่งกับโจวเสาจิ่นหรือไม่นั้น เฉิงฉือไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ไหวซานก้าวออกไปยื่นป้ายชื่อ
หลี่ซื่อรีบให้คนไปแจ้งโจวเจิ้นที่กำลังทำงานอยู่ที่ที่ทำการส่วนหน้า
โจวเจิ้นประหลาดใจเล็กน้อย ถามบ่าวชายที่นำป้ายชื่อเข้ามาให้ว่า “ฮูหยินได้บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร”
บ่าวชายรีบตอบว่า “ฮูหยินบอกเพียงว่าให้ท่านเร่งกลับไป นายท่านสี่ตระกูลเฉิงส่งเทียบมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเข้ามาทางประตูข้างเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเรื่องด่วนอะไรขอรับ”
โจวเจิ้นวางงานในมือลง รีบสาวเท้ากลับไปที่ด้านหลังของที่ว่าการ
เขาเป็นหัวหน้าของที่ว่าการนี้ หากไม่พักอยู่ในที่ว่าการแต่ไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแทน อีกทั้งตระกูลโจวก็มิใช่ตระกูลใหญ่โตอะไร จะต้องทำให้คนเกิดความสงสัยว่าเขาฉ้อฉลเป็นแน่ แต่พอพักอยู่ในที่ว่าการ เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นก็ถูกผู้อื่นสนใจใคร่รู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นตอนที่ชูจิ่นเสนอขึ้นมาว่าอยากให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเพื่อหาตระกูลที่เหมาะสมให้เสาจิ่นสักตระกูลหนึ่งนั้น เขาจึงเสนอเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวว่าไม่ให้เสาจิ่นแต่งไปอยู่ที่ไกลๆ เท่านั้น กระทั่งซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกัน สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างจวนสี่และจวนรองนับวันยิ่งจืดจางลงด้วยสาเหตุมาจากเสาจิ่น วันนี้จวนหลักตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิง จวนสี่ไร้ซึ่งการสนับสนุนของจวนหลักแล้ว จะทำให้ลำบากไปด้วยหรือไม่
โจวเจิ้นเขียนจดหมายไปสอบถามจวนสี่หลายฉบับ
ไม่กี่วัน เขาก็ได้รับจดหมายจากเฉิงหยวนนายท่านรองที่รับราชการอยู่นอกเมืองของจวนสี่ บอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาอาจจะได้โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตุลาการเมืองหลิ่วโจวที่ก่วงซี ยังลอบบอกโจวเจิ้นเป็นนัยด้วยว่าตำแหน่งนี้เฉิงจิงเป็นคนแนะนำให้
แม้นก่วงซีจะมิใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก แต่หลิ่วโจวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ที่มากไปกว่านั้นก็คือได้เลื่อนขั้นจากนายอำเภอยศผิ่นขั้นเจ็ดล่างไปเป็นเจ้าหน้าที่ตุลาการยศผิ่นขั้นหกบนอีกด้วย
ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาอยู่เมืองหลวง ก็เรียกเสาจิ่นไปอยู่เป็นเพื่อน
เขาคิดว่าเฉิงสวี่มิได้อยู่จิงเฉิง อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กำลังเผชิญกับความยากลำบากอันใหญ่หลวงขนาดนี้ คาดว่าสภาพจิตใจคงไม่สู้ดีนัก จึงเรียกเสาจิ่นไปอยู่เป็นเพื่อน เขาก็เลยทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่พูดถึงอะไรทั้งนั้น
เวลานี้เฉิงฉือกลับมาเยี่ยมเขาอย่างกะทันหัน…ไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเสาจิ่น หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฉิงหรือไม่
เฉิงฉือนั่งรออยู่ในโถงรับรองเพียงครู่เดียว เมื่อเห็นโจวเจิ้นก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
โจวเจิ้นยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
เฉิงฉือประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากเฉิงซวินมากกว่าพี่ชายทั้งสอง แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าหยิ่งทะนง ทว่าก็มิใช่คนที่เข้าหาได้ง่ายอะไรขนาดนั้น เหตุใดจู่ๆ ถึงทำตัวนอบน้อมต่อเขาถึงเพียงนี้เล่า
หรือว่าเรื่องที่เฉิงฉือจะขอร้องอาจทำให้เขารู้สึกลำบากใจ?
โจวเจิ้นครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงออกมาบนใบหน้า กล่าวเชิญให้เฉิงฉือนั่งลงยิ้มๆ สั่งให้สาวใช้เด็กไปขอชาต้าหงเผาที่เขาเก็บสะสมเอาไว้กับหลี่ซื่อเพื่อเอามารับรองแขก จากนั้นสนทนาพาทีกับเฉิงฉือว่า “น้องจื่อชวนมาถึงเมืองเป่าติ้งตั้งแต่เมื่อใด รับประทานอาหารเช้ามาแล้วหรือยัง พักอยู่ที่ไหน” กล่าวถึงตรงนี้ เขาเกือบจะหลุดปากบอกให้เฉิงฉือไม่ต้องทำตัวเป็นคนอื่นไกล ให้มาพักกับเขาที่นี่ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตระกูลเฉิงและตระกูลโจวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งเขากับเฉิงฉือก็ไม่ได้สนิทสนมกัน การกล่าวคำพูดเช่นนั้นออกจะทำตัวสนิทสนมเกินไปสักหน่อย เสียงพูดจึงหยุดลงครู่หนึ่ง เก็บคำพูดประโยคเมื่อครู่กลับมา กล่าวต่อว่า “ไม่รู้ว่าน้องจื่อชวนมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ หากไม่มีธุระเร่งด่วนอะไร มิสู้รั้งอยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันดีหรือไม่ เมืองเป่าติ้งสู้จินหลิงไม่ได้ ยิ่งเทียบไม่ได้กับจิงเฉิง ไม่มีของอร่อยอะไรมากนัก โชคดีที่คนครัวของจวนข้าติดตามมาจากเจียงซีด้วย ทำอาหารเจียงซีหลายรายการได้รสชาติดั้งเดิมยิ่งนัก ที่นี่ข้ายังมีสุราดอกหลีไหเล็กๆ ไหหนึ่ง ได้เอามาดื่มแกล้มกับข้าวด้วยพอดี”
น้องจื่อชวน...
เมื่อก่อนก็รับได้ แต่ว่าตอนนี้…
เฉิงฉือรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้ก็อยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะสู่ขอเสาจิ่นแล้ว ในอนาคตยังต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอีกมากมาย
คำเรียกขานก็เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนั้นเท่านั้น!
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าโจวไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาด้วยเรื่องส่วนตัว”
‘ใต้เท้าโจว’ อีกแล้วหรือ
โจวเจิ้นลอบขมวดคิ้ว
ในเมื่อเฉิงฉือต้องการขีดเส้นแบ่งกับเขา เขาเองก็มิใช่ว่าต้องการจะนับญาติกับตระกูลเฉิงจวนหลักเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าหลังกลับมาจากจิงเฉิงหลี่ซื่อชื่นชมเฉิงฉือเป็นอย่างมาก บอกว่าได้รับการดูแลจากเฉิงฉือมาไม่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมอบบ้านที่เดิมทีเตรียมเอาไว้ให้เฉิงฉือให้เสาจิ่นด้วยหนึ่งหลัง ให้พวกนางได้มีหน้ามีตาต่อหน้าตระกูลเลี่ยว ยังช่วยนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ให้ได้พบปะกับขันทีใหญ่ของสำนักอาหารและเครื่องดื่มของสำนักพระราชวัง ตอนนี้ได้ทำการค้ากับสำนักพระราชวังขึ้นมา บอกให้เขาเวลาเจอคนของจวนหลัก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกล่าวขอบคุณสักครั้ง…เขาถึงได้ให้เกียรติเฉิงฉือมากขนาดนี้
ถ้าหากนับสถานะกันแล้ว เขาเป็นจิ้นซื่อประจำปีการสอบปิ่งซวี ส่วนเฉิงฉือเป็นจิ้นซื่อประจำปีการสอบเหรินเฉิน เขาสูงกว่าเฉิงฉืออยู่ถึงสองรอบการสอบด้วยซ้ำ!
เขายกจอกชาขึ้นจิบเงียบๆ ไปคำหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้คนต่างพูดกันว่าดอกกล้วยไม้นั้นเลี้ยงยาก เมื่อก่อนข้ามักจะรู้สึกว่าครอบครัวอยุติธรรมกับข้า เหตุใดพี่ใหญ่และพี่รองเรียนหนังสือแล้วได้รับราชการ ความสามารถในการเรียนของข้าก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเขา กลับถูกกักขังให้อยู่บ้านดูแลกิจการของตระกูล จึงมักจะอารมณ์ร้าย เห็นอะไรก็รู้สึกไม่เข้าตาไปเสียหมด มารดาจึงมอบกล้วยไม้เจี้ยนหลานให้ข้ากระถางหนึ่ง ให้ข้าวางมันไว้บนโต๊ะหนังสือและเลี้ยงมันให้ดี…
…ข้าไม่ใส่ใจ…
…ยามอารมณ์ดีก็รดน้ำให้มัน ยามอารมณ์ไม่ดีแค่เห็นกล้วยไม้เจี้ยนหลานกระถางนั้นก็รู้สึกอารมณ์เสียแล้ว…
…รู้สึกว่านั่นเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าตัวเองยังประสบความสำเร็จไม่มากพอ...
…มีหลายครั้งที่ให้คนเอามันไปทิ้งที่สวนดอกไม้แล้วก็ให้คนไปตามหากลับมาอีก...
…อย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นจนชินแล้ว หรือเป็นเพราะข้าทำกับกล้วยไม้เจี้ยนหลานเช่นนี้สุดท้ายมันก็ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจึงอดไม่ได้เริ่มที่จะเอาใจใส่มัน ยังเอามันไปวางบนหน้าต่างเพื่อรับลมเป็นครั้งคราวอีกด้วย…
…ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน กล้วยไม้เจี้ยนหลานกระถางนั้นก็เติบโตสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านและงดงาม…
…ข้าจึงตัดกิ่งและรดน้ำให้มันบ่อยๆ…
…อย่างค่อยเป็นค่อยไป ข้าค้นพบว่าการเลี้ยงดอกไม้ก็เป็นเรื่องน่าสำราญใจไม่น้อย…
…มันจะงอกใบอ่อนๆ ออกมา ยามอากาศดีก็เหยียดกิ่งก้านออก ทุกครั้งที่ข้ามองสำรวจมันอย่างละเอียดมันมักจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยอยู่เสมอ บางทีสองสามวันก่อนยังเหยียดกิ่งก้านไปทางตะวันออก ทว่าสองวันนี้กลับเริ่มเจริญเติบโตไปทางตะวันตก บางทีใบของกิ่งที่ถูกกดเอาไว้ก็พยายามหาทางโผล่ออกมาโดยที่ไม่ได้สังเกต เผยใบสีเขียวอ่อนออกมา…มันก็เหมือนกับเด็กขี้อายผู้หนึ่ง ตอนที่ข้าไม่ได้จับตาดูมันก็จะเล่นสนุกอย่างซุกซน…
…ข้าพลันค้นพบว่า ความจริงแล้วการเลี้ยงดอกไม้ก็เป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนึ่ง…
…ขอเพียงเจ้าสงบใจลงมาได้ ก็จะค้นพบความแตกต่างมากมาย…
…ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าในตอนนี้ก็คือการได้เลี้ยงดูดอกไม้…
…นอกจากนี้ยิ่งได้เลี้ยงดูดอกไม้นานมากขึ้น ก็ยิ่งมีความรู้สึกผูกพันกับดอกไม้นั่นมากขึ้น”
เสียงของเฉิงฉือค่อยๆ ต่ำลงทีละน้อยๆ “เห็นข้าหัวใจแตกสลาย เห็นข้าเจ็บปวดหัวใจ เห็นข้าเสียใจ ทว่ากลับอยู่เป็นเพื่อนข้าเงียบๆ…”
โจวเจิ้นไม่รู้ว่าเฉิงฉือกำลังพูดอะไรอยู่
เขากะพริบตาปริบๆ รำพึงในใจว่า หรือว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงของจวนหลักผู้นี้จะมีอะไรผิดปกติ ไม่อย่างนั้นคนเป็นจิ้นซื่อดีๆ ผู้หนึ่ง แต่ไม่ให้ออกไปรับราชการกลับกักขังเขาไว้ในบ้านแทนไปทำไม…
เขาได้แต่จิบน้ำชาเงียบๆ ไปอีกคำหนึ่ง
เฉิงฉือลุกขึ้นมา สีหน้าดูจริงจังและจริงใจ กล่าวเสียงเคร่งว่า “ใต้เท้าโจว ข้าอยากสู่ขอคุณหนูรองของท่านไปเป็นภรรยา ขอท่านได้โปรดอนุญาตด้วยขอรับ!”
โจวเจิ้นอ้าปากค้าง กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ดอกไม้กับ…เสาจิ่นอย่างนั้นหรือ
หมายความว่าอย่างไร
สู่ขอเสาจิ่นไปเป็นภรรยา?
หมายถึงต้องการสู่ขอเสาจิ่นไปเป็นภรรยาอย่างนั้นหรือ!
โจวเจิ้นดีดตัวลุกขึ้นยืนในทันใด กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ!”
เสียงนั่นสูงและแหลม อีกทั้งยังเจืออาการตื่นตระหนกและสติหลุดอยู่ด้วยหลายส่วน
เขาถามอีกครั้งหนึ่งว่า “เจ้าอยากสู่ขอเสาจิ่นอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือพยักหน้า กล่าวอย่างจริงจังว่า “ขอรับ! ข้าอยากสู่ขอเสาจิ่น ขอท่านได้โปรดสนับสนุนด้วยขอรับ!”
บุตรสาวของเขา บุตรสาวที่น่ารักและอ่อนโยนประหนึ่งดอกไม้ กลับถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้าอย่างเฉิงฉือคิดไม่ซื่อด้วย…ตกลงว่าจวนหลักทำอะไรกับเสาจิ่นกันแน่
โจวเจิ้นเลือดขึ้นหน้า
ดวงหน้าเขาแดงก่ำ “ไม่ได้! เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด! ข้าไม่มีทางให้บุตรสาวแต่งกับเจ้า…”
ชูจิ่นเล่า?
นางจะรู้หรือไม่ว่าเฉิงฉือคิดไม่ซื่อกับเสาจิ่น
ที่นางเขียนจดหมายมาบอกให้เขาอนุญาตให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่จิงเฉิงนั้น เป็นเรื่องบังเอิญหรือวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?
ยังมีหลี่ซื่ออีก
นางอยู่จิงเฉิงเป็นเวลานานขนาดนั้น กลับมายังชื่นชมเฉิงฉือเป็นอย่างมาก...เขานึกถึงการค้าของนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ขึ้นมา…นางจะไม่รู้จริงๆ หรือ หรือว่าเป็นเพราะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วทำการแลกเปลี่ยนกับเฉิงฉือ?
โจวเจิ้นโกรธจนนิ้วมือสั่นระริก ชี้หน้าเฉิงฉือพร้อมกับตะคอกเสียงดังว่า “ออกไป! เจ้าจงไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! อย่าทำให้บ้านของข้าต้องเปรอะเปื้อน!”
เฉิงฉือรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางได้กินผลไม้ง่ายๆ ได้ยินเช่นนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าโจว ข้ารักบุตรสาวอันเป็นที่รักของท่านด้วยความจริงใจ ล้วนเคารพทั้งนางและท่านเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูรองโจวเป็นคนอ่อนหวานบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนและใจกว้าง…”
“ออกไป! เจ้าจงไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” โจวเจิ้นได้ยินคำพูดของเฉิงฉือตอนนี้แล้วรู้สึกไฟโหมกระพือขึ้นในใจ เขาชี้ไปที่ประตูใหญ่ “เจ้าจงไสหัวออกไปบัดเดี๋ยวนี้! เพื่อเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัว” ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาจจะรู้เรื่องมาตั้งนานแล้วก็เป็นได้ เขารู้สึกเพียงว่าเพลิงความโกรธยิ่งขยายใหญ่ขึ้น กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าจะทำเสมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...ฉางกุ้ย ฉางกุ้ย” เขาตะโกนเรียกชื่อของคนสนิท “ข้าจะให้คนไปรับตัวเสาจิ่นกลับมา นับจากนี้ไปตระกูลโจวของพวกเราและตระกูลเฉิงของพวกเจ้าไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก...”
โจวเจิ้นโกรธเกรี้ยวกว่าที่เฉิงฉือจินตนาการเอาไว้เสียอีก
เวลานี้เขาควรจะถอยก่อนแล้วค่อยเข้าหาใหม่ ออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หากโจวชูจิ่นเห็นว่าจดหมายฉบับแรกของตนไม่มีการตอบกลับ จะต้องเขียนฉบับที่สองส่งมาให้เป็นแน่ ถ้าเขาจากไปแล้ว เมื่อโจวเจิ้นได้รับจดหมายของโจวชูจิ่น ไม่รู้ว่าจะลงโทษเสาจิ่นอย่างไรบ้าง
เวลานี้อารมณ์ของเขาอยู่เหนือเหตุผลไปแล้ว
เฉิงฉือก้าวออกไปสองสามก้าวแล้วหันไปโค้งต่ำให้โจวเจิ้น กล่าวเสียงจริงใจว่า “ใต้เท้าโจว ขอท่านได้โปรดสงบใจด้วย…”
โจวเจิ้นกลับคร้านจะฟังอีกต่อไปแล้ว สั่งการหลี่ฉางกุ้ยที่วิ่งเข้ามาอย่างลนลานด้วยท่าทางไร้เยื่อใยว่า “ไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้!” ส่วนตัวเองสะบัดแขนเสื้อจากไป ตรงไปที่เรือนชั้นในอย่างรีบร้อน
หลี่ซื่อกำลังร่างรายการอาหารสำหรับมื้อเที่ยงที่จะใช้รับรองเฉิงฉือในอีกประเดี๋ยวอย่างเบิกบานใจอยู่หลี่มามา “เนื้อนกกระทานี้เป็นของดีของเจียงซี พี่ชายของข้าส่งมาให้เป็นพิเศษ ดีกว่าเนื้อนกกระทาของที่อื่นมากนัก อย่างไรก็ต้องเอาเนื้อนกกระทานี้มาปรุงอาหารสักจานหนึ่ง ยังมีหัวปลาอ้วนพีจากทะเลสาบผัวหยาง หน่อไม้ และเนื้อรมควันก็ต้องทำด้วยอย่างละหน่อย…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงประตูและม่านดังปังเสียงหนึ่ง โจวเจิ้นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน
หลี่ซื่อไม่พอใจ รีบยืนขึ้นมาเรียกเสียงหนึ่งว่า “นายท่าน!”
โจวเจิ้นเอ่ยเสียงเคร่งว่า “ออกไปให้หมด!”
หลี่มามาแลกเปลี่ยนสายตาของหลี่ซื่อครั้งหนึ่งอย่างเป็นกังวล พาสาวใช้และป้ารับใช้ในห้องเดินออกจากเรือนหลักไปตามๆ กัน
โจวเจิ้นถึงได้คล้ายกับภูเขาไฟระเบิด “ตอนอยู่จิงเฉิงเจ้าทำอะไรไปบ้าง” เขาไม่อาจเล่าเรื่องของบุตรสาวให้หลี่ซื่อฟัง กลัวว่าเรื่องของเสาจิ่นจะถูกผู้อื่นเอาไปเผยแพร่ “เหตุใดเฉิงฉือต้องแนะนำการค้าให้นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ด้วย ยังมอบบ้านที่ซอยอวี๋เฉียนให้เสาจิ่นอีก เรื่องที่มอบบ้านให้เสาจิ่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบเรื่องหรือไม่ เจ้ามีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้ข้าฟังอีกหรือไม่”
ตอนนั้นเขาไม่ได้สงสัยอะไร
แต่ชูจิ่นและหลี่ซื่อต่างบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนมอบให้เสาจิ่นสำหรับเป็นสินเจ้าสาว เขายังคิดว่านี่เป็นของขวัญที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชดเชยให้เสาจิ่นเหตุจากเรื่องของเฉิงสวี่…ทว่าดูจากตอนนี้กลับมิใช่เสียแล้ว!