ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 449 วันคล้ายวันเกิด
โจวเจิ้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก ความจริงใจที่เผยออกมาผ่านคำพูดของเฉิงฉือยิ่งทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกดีๆ มากขึ้น
สีหน้าของเขาอ่อนโยนลงมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้หรือไม่”
เฉิงฉือพลันรู้ว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว
เวลานี้ทุกประโยคที่เขากล่าวล้วนกลายเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นมาทั้งสิ้น กระทั่งว่าประโยคไหนรอด ประโยคไหนตาย ล้วนขึ้นอยู่กับว่าเขาจะตอบอย่างไรแล้ว
“ข้าได้บอกกล่าวมารดาของข้าอย่างชัดเจนตั้งแต่นางมาถึงจิงเฉิงแล้วขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “เพียงแต่เวลานั้นในบ้านกำลังวุ่นเรื่องแยกตระกูลกันอยู่ ตามความคิดของมารดาก็คือ ไม่อาจให้คุณหนูรองกลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนในเวลานี้ได้ ฉะนั้นจึงยังมิได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ ข้ามาเมืองเป่าติ้งในครั้งนี้ ก่อนมาได้แจ้งมารดาของข้าเอาไว้แล้ว นางจึงทราบเรื่องแล้วขอรับ!”
โจวเจิ้นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้
บางทีจากมุมมองของเขาแล้ว การแต่งงานของบุตรชายหญิงที่ไม่ได้รับการอำนวยพรจากบิดามารดาก็เท่ากับการลักลอบหนีตามกัน และเรื่องของตระกูลเฉิงที่ไม่ได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็มักจะไม่มีผลลัพธ์ที่ดีอะไรนัก
โจวเจิ้นยกจอกชาขึ้นมาค่อยๆ จิบไปคำหนึ่ง อดมองสำรวจเฉิงฉือขึ้นมาไม่ได้
กิริยามารยาทสง่างาม สุขุมใจเย็น มีความรู้และความมั่นใจอย่างเป็นธรรมชาติสมเป็นสายเลือดตระกูลชั้นสูง….ไม่ว่าจะมองอย่างไร เฉิงฉือก็ถือเป็นบุรุษรูปงามที่พบเพียงหนึ่งในหมื่นจริงๆ
บางทีบนโลกใบนี้อาจไม่มีเรื่องที่สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด!
โจวเจิ้นรู้สึกจิตใจสงบขึ้นเล็กน้อย
เขาถามเฉิงฉือว่า “แล้วทางด้านของเฉิงเจียซ่าน พวกเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไร”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มารดาของข้าซื้อบ้านที่ประตูเฉาหยางให้ข้าหลังหนึ่งเอาไว้ตั้งนานแล้ว ต่อไปข้าจะพักอาศัยอยู่ที่นั่น”
บ้านที่ซอยซิ่งหลินเป็นบ้านหลักของตระกูลเฉิง แน่นอนว่าย่อมตกเป็นของบุตรชายคนโตอย่างเฉิงจิง
เฉิงฉือกล่าว “ดังนั้นรอให้ข้ากลับมาจากจี่หนิงแล้ว อาจจะได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่อื่นอีก ถึงเวลานั้นก็จะพาเสาจิ่นไปด้วยก็ได้แล้วขอรับ”
เช่นนี้สามีภรรยาก็ไม่ต้องแยกจากกัน
บุตรชายคนเล็กก็มีข้อดีของบุตรชายคนเล็กเช่นกัน
ตอนนี้เองโจวเจิ้นถึงได้เริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของงานแต่งงานในครั้งนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง
เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางถามขึ้นว่า “เจ้านึกถึงเรื่องช่วยหยางโซ่วซานจัดการแม่น้ำเหลืองได้อย่างไร”
เฉิงฉือจึงเล่าเรื่องที่ตนมีความเชี่ยวชาญด้านการคำนวณมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพบเจอเรื่องอุทกวิทยาก็อยากจะลองดู จากนั้นได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าซ่งได้อย่างไร คำนวณระดับน้ำอย่างไร เอาน้ำออกจากกลางแม่น้ำอย่างไร…เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้โจวเจิ้นฟัง
โจวเจิ้นรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง สอบถามเรื่องการคำนวณระดับน้ำอย่างละเอียด
เมืองเป่าติ้งเองก็แห้งแล้งมีฝนน้อย หากทำการชลประทานได้ เกษตรกรก็มิต้องมีชีวิตอย่างลำเค็ญเช่นนี้แล้ว
มีคำถามอะไรเฉิงฉือก็ตอบได้ทั้งหมด
อย่างค่อยเป็นค่อยไป สีหน้าของทั้งสองคนก็เคร่งขึ้นเล็กน้อย ถกเรื่องการทำชลประทานขึ้นมา
ด้านนอกห้องโถง หลี่ซื่อถามหลี่มามาที่กำลังเงี่ยหูฟังอย่างละเอียดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินนายท่านสี่คุยอะไรกับนายท่านบ้างหรือไม่ นายท่านและนายท่านสี่ทะเลาะกันอีกหรือไม่”
หลี่มามาส่ายศีรษะติดๆ กัน
หลี่ซื่อโล่งอกไปครั้งหนึ่ง
กระทั่งถึงเวลารับประทานมื้อเที่ยงทั้งสองคนถึงออกมาจากห้องหนังสือ แม้นออกมาแล้ว แต่หลังจากที่ใช้เวลาสั้นๆ บนโต๊ะอาหารอย่างเงียบเชียบแล้ว ทั้งสองคนก็กลับไปที่ห้องหนังสือ ถกเรื่องการเกษตรและการชลประทานกันต่อ
หลี่ซื่อดูดีใจเป็นอย่างยิ่ง
นายท่านใหญ่หลี่เร่งเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย รีบกล่าวว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าเรียกข้ามาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ทางด้านโน้นข้ายังมีสุรารอส่งให้จิงเฉิงอยู่เลย!”
นับตั้งแต่ทำการค้ากับสำนักพระราชวังเป็นต้นมา ตระกูลหลี่ก็คล้ายกับกลายมาเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงซี นายท่านใหญ่หลี่ยิ่งดูมีความสุขและเปล่งปลั่ง ต่อให้เหนื่อยล้าก็บดบังความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด
หลี่ซื่อกลับบ่นขึ้นว่า “เหตุใดท่านถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ข้าไม่ส่งจดหมายไปให้ท่านจะดีกว่า รอจนกว่าท่านจะมาถึง อาหารก็เย็นหมดแล้ว!”
นายท่านใหญ่หลี่ไม่ใส่ใจ
สองพี่น้องโต้แย้งกันไปมา
ณ จิงเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังส่งเทียบเชิญออกไป
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของนาง
เฉิงจิงเองก็ตั้งใจจะจัดงานเฉลิมฉลองให้นาง
นี่เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครั้งแรกของครอบครัวหลังจากที่พวกเขาแยกตระกูล จะได้ถือโอกาสเชิญญาติสนิทมิตรสหายที่เคยให้ความช่วยเหลือพวกเขาช่วงแยกตระกูลมารวมตัวกันด้วยพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจส่งเทียบเชิญไปให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องเป็นพิเศษ ยังบอกหลี่ว์มามาด้วยว่า “เจ้าไปหยิบยาบำรุงร่างกายนำไปให้ตระกูลเลี่ยวด้วยสักหน่อย ให้มอบเทียบเชิญทั้งสามใบให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยว ส่วนยาบำรุงร่างกายนั้นให้มอบให้สะใภ้ใหญ่ตระกูลเลี่ยวและคุณหนูรองตระกูลโจวคนละหนึ่งส่วน”
เรื่องตระกูลฟางนั้น ฮูหยินใหญ่เลี่ยวลอบลงแรงอย่างลับๆ ไปไม่น้อย
นางจะต้องมาร่วมงานอย่างแน่นอน
และเมื่อเทียบเชิญของตระกูลโจวผู้เป็นพี่สาวส่งถึงมือของนางแล้ว ต่อให้โจวชูจิ่นคิดจะกีดกันโจวเสาจิ่น แต่เกรงว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็คงไม่ยอม
ส่วนตระกูลฟางนั้น คาดว่าต่อให้นางไม่เชิญก็คงจะมาร่วมงานเช่นกัน
หลี่ว์มามายิ้มพร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ” ส่งเทียบเชิญไปที่ซอยอวี๋ซู่
แม้นจะได้รับอานิสงส์จากสองพี่น้องตระกูลโจว แต่ทำให้มามาคนสนิทข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวนำเทียบมาส่งให้ตนได้ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
โจวชูจิ่นกลับลอบก่นด่าเฉิงฉือว่าช่างเจ้าเล่ห์นัก
เขาต้องคิดจะใช้วิธีเช่นนี้เพื่อให้ได้พบหน้าเสาจิ่นเป็นแน่!
นางยังไม่รู้ว่าเฉิงฉือไปเป่าติ้งมาเรียบร้อยแล้ว
โจวชูจิ่นจะไม่ไปก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะต้องคิดว่านางมีความขัดแย้งกับตระกูลเฉิงเป็นแน่ หากไล่สอบสวนไปเรื่อยๆ แล้วฉีกกระชากเรื่องของน้องสาวออกมาคงไม่ดีแน่
จากความคาดหวังเช่นนั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางหาข้ออ้างให้โจวเสาจิ่นว่า “ช่วงนี้เสาจิ่นไม่ค่อยสบายนัก งานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่านั้น ข้าไปเป็นเพื่อนท่านก็พอแล้วเจ้าค่ะ รอให้เสาจิ่นดีขึ้นแล้ว ค่อยไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้งหนึ่ง”
แม้นไม่แน่ใจว่าจะขัดขวางได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องลองดูก่อน
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ผู้ใหญ่จัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด อีกทั้งมิใช่ว่าจะลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ จะไม่ไปอวยพรสักหน่อยได้อย่างไร” นางบอกให้จงมามาไปเชิญโจวเสาจิ่นเข้ามา กล่าวสอนสั่งโจวชูจิ่นต่อว่า “เมื่อก่อนข้าได้ยินเจ้าบอกว่าน้องสาวของเจ้าเคยได้รับการชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน นั่นก็เพราะว่ามีความเมตตาต่อน้องสาวของเจ้า ฮูหยินผู้เฒ่าเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด ทั้งยังเป็นครั้งแรกอีกด้วย เจ้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร…”
โจวชูจิ่นอดกลั้นไว้ไม่เปล่งคำใดออกมา
ต่อให้แม่สามีจะขอคำอธิบาย นางก็ไม่คิดจะประนีประนอมให้กับเรื่องนี้
แต่ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็ถูกเชิญตัวเข้ามา
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวยื่นเทียบเชิญส่งให้โจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มใจดี พลางกล่าว “วันที่เก้าวันนั้น เจ้าตั้งใจแต่งกายให้งดงาม พวกเราจะไปอวยพรวันคล้ายวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่ากัน”
โจวเสาจิ่นมองสีหน้าของพี่สาวแล้วก็รู้ได้ว่าพี่สาวไม่ชอบใจด้วยเรื่องนี้ นางตอบรับยิ้มๆ เมื่อออกมาจากเรือนหลักแล้วก็รีบคล้องแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้ ทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าพี่สาวพร้อมกับกล่าวออดอ้อนว่า “ท่านพี่ ข้าพูดแล้วว่าจะเชื่อฟังท่าน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด ไม่ว่าจะด้วยหลักหรือน้ำใจข้าก็ควรจะไปอวยพรสักครั้งหนึ่ง แต่ข้ารับปากว่าจะตามอยู่ข้างกายท่านพี่ตลอด ไม่ไปที่ไหนทั้งสิ้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”
สีหน้าโจวชูจิ่นดูสงบลงเล็กน้อย
กระทั่งถึงวันที่เก้าเดือนเก้าในวันนั้น สองพี่น้องจึงแต่งกายอย่างดีแล้วเดินทางไปที่ประตูเฉาหยางพร้อมกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว
เฉิงเจิง เฉิงเซียวและอีกหลายคนไปถึงก่อนตั้งแต่เช้าแล้ว กำลังยืนอยู่หน้าประตูชั้นในช่วยรับแขกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ตอนที่โจวเสาจิ่นและอีกหลายคนเดินเข้าประตูนั้นได้พบกับฮูหยินและน้องสาวสามีอีกหลายท่านก็มาถึงพอดีเช่นกัน พวกนางกล่าวทักทายเฉิงเจิงอย่างสนิทสนม พร้อมทั้งกล่าวหยอกล้อพวกนางสองพี่น้องว่า “พวกเจ้าเป็นกูไหน่ไนกันแล้ว ต้องนั่งลงเป็นแขก มายืนต้อนรับแขกอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าช่างบัญชาการคนเก่งเกินไปแล้ว!”
เฉิงเจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า การพวกเราพี่น้องช่วยฮูหยินผู้เฒ่ารับแขกอยู่ตรงนี้ ก็ถือเป็นการแสดงความกตัญญู และยังได้ซึมซับความโชคดีของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูดนั้น นางจับมือโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวแนะนำฮูหยินหลายท่านให้พวกนางรู้จัก
โจวเสาจิ่นฟังด้วยความตั้งใจ
คนที่มีใบหน้ากลมคือฮูหยินโจว คนที่มีใบหน้ายาวคือฮูหยินหวัง คนที่ถึงแม้จะยิ้มแย้มแต่ก็ทำให้คนรู้สึกว่าดูเป็นกังวลใจมากนั้นคือฮูหยินชวี ส่วนฮูหยินเซินมาจากครอบครัวของนายท่านผู้เฒ่าเซินที่สิบเจ็ดของตระกูลเซินที่จินหลิง ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นนายทะเบียนกองคัดเลือกทหารของกรมกลาโหม ที่ได้รับเทียบเชิญคงเพราะเป็นคนจินหลิงเหมือนกับตระกูลเฉิง…
นางจดจำคนเหล่านี้เอาไว้ในใจทีละคนๆ
เนื่องจากตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งกับท่านน้าฉือ ต่อจากนี้ไปคงต้องคบค้าสมาคมกับพวกนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อทุกคนรู้ว่าฟางซื่อคือฮูหยินใหญ่ของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง ต่างก็ทักทายพวกนางอย่างกระตือรือร้น
เฉิงเซียวเชิญพวกนางไปนั่งที่เฉลียงทางเดินอย่างยิ้มแย้ม
ฮูหยินรองตระกูลฟางพาฟางเซวียนเข้ามา
พวกนางอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงนานกว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยว จึงสนิทสนมกับฮูหยินเหล่านี้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน และพูดคุยถึงเรื่องทั่วไปภายในบ้านกันอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นเดินไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกัน
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินปักลายนกกระเรียน คาดศีรษะด้วยผ้าโพกศีรษะฝังเพชรตาแมวสีเขียวขนาดเท่าไข่นกพิราบ เส้นผมสีดอกเลาเกล้าขึ้นเป็นมวยหนึ่งอย่างเรียบร้อย ยังเป็นครั้งแรกที่ประดับเอาไว้ด้วยเครื่องประดับทองอีกด้วย
ทุกคนก้าวออกไปทำความเคารพอย่างยิ้มแย้มยินดี พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดีในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่า
กระทั่งถึงคราวของโจวเสาจิ่นกลับจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พร้อมกับมองสำรวจนางขึ้นลงครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้พบเจ้ามาระยะหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าเจ้าติดตามพี่สาวของเจ้าเข้ามาที่เมืองหลวง ข้ายังคิดอยู่เลยว่า ช่วงจัดงานวันเกิดของข้านั้นไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับเมืองเป่าติ้งไปแล้วหรือยัง”
ฟังจากน้ำเสียงนั่นแล้ว คล้ายกับว่าพวกนางไม่ได้พบกันมาหลายปีก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่นางก็เชื่อใจฮูหยินผู้เฒ่ากัว เหมือนกับที่นางเชื่อใจเฉิงฉือ
นางขานตอบให้สอดรับกับคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเชื่อฟังและมีไหวพริบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึงพอใจเป็นอย่างมาก ให้คนมอบสร้อยข้อมือลูกประคำสิบแปดเม็ดทำจากเพชรหลากสีให้นางเส้นหนึ่ง พลางกล่าว “ยามว่างก็หมั่นมาที่นี่บ่อยๆ พระธรรมที่เจ้าคัดให้ข้าในปีนั้นข้าเอาไปถวายที่วัดฝาอวี่ ณ เขาผู่ถัวแล้ว”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงบอกกับเฉิงเซิงว่า “ตอนเป็นเด็กพวกเจ้าเองก็เคยเล่นและเรียนด้วยกันมาก่อน เจ้าพานางไปทำความรู้จักกับบรรดาพี่สาวน้องสาวในเมืองหลวงเหล่านั้นสักหน่อยเถิด”
เฉิงเซิงขานรับ “เจ้าค่ะ” ยิ้มๆ ก้าวออกไปดึงมือโจวเสาจิ่นไปยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้นที่อยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว มองคลื่นเหล่าญาติสนิทมิตรสหายที่ทยอยกันเข้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพลางกล่าวเสียงเบาว่า “นี่ท่านย่าเป็นอะไรไป หลายวันก่อนเจ้ายังเข้ามาคารวะนางอยู่เลย หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นมองสำรวจฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างละเอียด กล่าวตอบนางเสียงค่อยว่า “แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ายังกระจ่างและสดใสดี ไม่น่าจะเป็นเพราะจำอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ…”
เกรงว่าจะมีวัตถุประสงค์อื่น!
เพียงแต่ว่าพวกนางมองไม่ออกเท่านั้น
เฉิงเซิงยังคงคาดเดาไปมาอยู่ตรงนั้น
สายตาของโจวเสาจิ่นกลับตกไปอยู่บนร่างของฟางเซวียนที่ก้าวออกมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ฮูหยินรองฟางรอให้ทุกคนคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เสร็จก่อนนางถึงได้พาฟางเซวียนก้าวออกมา ตอนที่ฟางเซวียนคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นสายตาของทุกคนต่างตกไปอยู่ที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลฟาง
เห็นได้ชัดว่าด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงมีเวลาว่างพอจะจับมือของฟางเซวียนเอาไว้ขณะพูดคุยกับนาง
ทุกคนถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วช่วงนี้ฟางเซวียนเรียนเขียนอักษรกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “กล่าวถึงเขียนอักษรแล้ว เจ้าและเสาจิ่นเป็นเด็กสาวสองคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา…” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว ก็เรียกโจวเสาจิ่น “เจ้าเองก็มาทำความรู้จักคุณหนูหกตระกูลฟางสักหน่อยเถิด”
มิใช่ว่าเพิ่งได้เจอกันเมื่อเดือนก่อนหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ต่างลอบรู้สึกแปลกใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดโง่พอจะไปสืบสาวราวเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทั้งสองคนต่างทำความเคารพซึ่งกันและกัน