ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 450 คลื่นใต้น้ำ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกวักมือเรียกโจวเสาจิ่นและฟางเซวียนเข้าไปหา มือหนึ่งจับโจวเสาจิ่นเอาไว้ อีกมือหนึ่งจับฟางเซวียนเอาไว้ รอยยิ้มอบอุ่นและรักใคร่นั้นมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วก็มองฟางเซวียนครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับคนในห้องว่า “พวกเจ้าดูแม่นางน้อยสองคนนี้ งดงามประหนึ่งน้ำค้างยามเช้าและไข่มุกล้ำค่าก็ไม่ปาน ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเบิกบานมีความสุข”
สีหน้าของฮูหยินรองฟางพลันเปลี่ยนเป็นแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนงดงาม เพียงได้เห็นนางเป็นครั้งแรก ไม่มีผู้ใดที่ไม่เหลียวหลังมองเป็นครั้งที่สอง ฟางเซวียนเองก็งดงาม แต่ถ้ามายืนอยู่ตรงหน้าโจวเสาจิ่น ความงามนั่นก็ดูจะไม่เพียงพอขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังชมฟางเซวียนหรือว่ากำลังเหน็บแนมฟางเซวียนกันแน่
ฮูหยินรองฟางกล่าวพึมพำอยู่ในใจ
ฟางเซวียนมีสีหน้าไม่น่ามองเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าอยากชมโจวเสาจิ่นก็กล่าวชมโจวเสาจิ่นไปก็พอแล้ว เหตุใดต้องลากนางเข้าไปเป็นตัวเปรียบเทียบให้โจวเสาจิ่นด้วย
คนที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ไม่มีสักคนที่มิใช่คนเฉลียวฉลาด
สถานะของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็โดดเด่นไม่ธรรมดา จะมีผู้ใดไร้แววกล้าไปแก้ไขฮูหยินผู้เฒ่ากัวกัน
ทุกคนต่างหัวเราะร่า พากันกล่าวชมว่าโจวเสาจิ่นและฟางเซวียนนั้นงดงาม ทว่าสายตากลับค้างอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นกว่าหลายอึดใจอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นถูกจ้องสำรวจด้วยสายตาของทุกคนเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่นางเป็นคนรู้ความและเชื่อฟังมาโดยตลอด ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำเช่นนี้ไปด้วยเหตุผลอะไร นางก็พร้อมยอมรับอยู่เงียบๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นตอนที่สายตาของทุกคนตกอยู่บนร่างของนางนั้น นางพยายามทำให้รอยยิ้มของตัวเองดูงดงามอ่อนหวาน อย่างเป็นธรรมชาติ กิริยาท่าทางมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง และพูดจาอบอุ่นอ่อนโยนให้ได้มากที่สุด ไม่ให้เสียชื่อที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยให้การชี้แนะสั่งสอนนางมาก่อน
มีฮูหยินหลายท่านที่มองแล้วลอบพยักหน้าเงียบๆ กระทั่งมีคนแอบไปสอบถามหยวนซื่อด้วยว่าโจวเสาจิ่นหมั้นหมายหรือยัง
หยวนซื่อเห็นเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวชมโจวเสาจิ่นเป็นอย่างดีไปครั้งหนึ่ง คล้ายกับว่าหากมิใช่เพราะเฉิงสวี่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเอาไว้เนิ่นนานแล้วล่ะก็ นางก็คงจะสู่ขอโจวเสาจิ่นให้เฉิงสวี่ไปแล้วก็ไม่ปาน บวกกับที่ฮูหยินหลายท่านเหล่านั้นเห็นว่าโจวเสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยนอย่างที่หยวนซื่อกล่าวมาจริงๆ ต่างก็เลยสนใจด้วย เริ่มหันไปสนทนากับโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งยวดว่าเมื่อได้รับจดหมายของบิดาแล้วจะรีบหาคู่ครองที่เหมาะสมให้โจวเสาจิ่นสักคนโดยทันที จึงมีความอดทนอดกลั้นต่อคนเหล่านี้เป็นพิเศษ
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาดมีสายตาเฉียบแหลม เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมา ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอึดอัดยิ่ง หลบอยู่ด้านหลังของโจวชูจิ่นไม่พูดไม่จา ทุกคนก็เลยยิ่งรู้สึกว่านางบริสุทธิ์อ่อนหวาน ฟางเซวียนที่ดูอยู่รู้สึกหดหู่ใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้ถึงช่วงกล่าวคำอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางดึงแขนเสื้อแขนมารดาอยากจะกลับบ้านแล้ว
ฮูหยินรองฟางเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่ก็คงไม่อาจจากไปเฉยๆ เช่นนี้หรอกกระมัง
นางกล่าวโน้มน้าวบุตรสาวอย่างอดทนว่า “เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ควรจะรู้ว่าบนโลกใบนี้แม้จะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงดารายังไม่หมุนล้อมรอบมันเลย แล้วเหตุใดด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยนี้ก็ร้องจะกลับบ้านแล้ว นี่เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ต่อไปเมื่อเจ้าแต่งงานมีครอบครัวฝั่งสามีแล้ว พอได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหูของแม่สามีเพียงประโยคเดียวก็อยากจะแยกทางกับสามีแล้วอย่างนั้นหรือ”
นางตามใจบุตรสาวจนเสียคนแล้วจริงๆ นางต้องหาโอกาสพูดคุยกับบุตรสาวดีๆ สักครั้งถึงจะใช้การได้
ฟางเซวียนได้แต่ต้องกัดฟันทนอยู่ต่อไป พลางมองฮูหยินหลี่ผู้นั้นมองสำรวจโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าแต้มยิ้มไม่หยุด
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านทั้งหลายมาอวยพรท่านแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งยิ้มเบิกบานอยู่บนตั่งหลัวฮั่นของห้องโถง นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าสองสามคนแล้ว สตรีคนอื่นๆ ต่างทยอยกันหลบเลี่ยงออกไป
เฉิงฉือเดินตามพี่ชายทั้งสองคนของตัวเองเข้ามา
อาจเพราะว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เขาจึงสวมชุดจื๋อตัวสีแดงเข้มลายใบไผ่ตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับนั้นใช้ปิ่นหยกขดพันเอาไว้ ด้ายสีทองบนถุงหอมผ้าไหมสีน้ำตาลอ่อนปักลายมัจฉาคู่ที่ห้อยอยู่ตรงบริเวณเอวนั้นเปล่งแสงเป็นประกายบ่อยๆ อากัปกิริยาสง่างาม รูปลักษณ์หล่อเหล่า
นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นแน่นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
นางไม่ได้เจอท่านน้าฉือมาระยะหนึ่งแล้ว
เขายังเป็นเหมือนเดิม
ไม่สิ…ดูดี…และหล่อเหลากว่าเมื่อก่อนเสียอีก...
โจวเสาจิ่นจึงมองเฉิงฉืออย่างโง่งมอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่าผู้คนในห้องโถงนี้ต่างมลายหายตัวไปแล้วทั้งสิ้น นางมองเห็นแต่เขา นางเห็นเพียงเขาเท่านั้นก็ไม่ปาน กลับไม่สังเกตเห็นเฉิงสวี่ที่เดินตามหลังเฉิงฉือเข้ามาด้วยแม้แต่นิดเดียว
โจวชูจิ่นทั้งร้อนใจและโมโหมากจริงๆ
โชคดีที่นางระวังเอาไว้จึงมายืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้น ทว่ากลับลืมไปว่าแค่ผ้าม่านเปิดออกเบาๆ ก็มองเห็นภาพเหตุการณ์ในห้องโถงได้แล้ว
นางลอบหยิกแขนโจวเสาจิ่นเบาๆ กระซิบเตือนสตินางเสียงเบาว่า “เจ้าช่วยระวังกิริยาสักหน่อย ระวังจะถูกผู้อื่นมองระแคะระคายอะไรออกมาได้” จากนั้นก้าวออกไปด้านหน้าสองสามก้าว ยืนบังโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้านหลัง
โจวเสาจิ่นกระดากอาย เก็บสีหน้ากลับมาทว่าก็ยังอยากจะมองออกไปข้างนอกอีกอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
โจวชูจิ่นกลับค้นพบว่าฮูหยินรองฟางและฟางเซวียนก็ยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้นไม่ไกลจากพวกนาง เหลือบตามองเล็กน้อย ก็มองเห็นคนที่เข้ามาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัว และดวงตาดอกท้อของฟางเซวียนก็เบิกกว้างขึ้น ไม่รู้ว่าเห็นเรื่องอะไรที่ทำให้นางประหลาดใจขนาดนั้น
นางอดไม่ได้เขย่งเท้าขึ้นยืดคอยาวมองไปตามสายตาของฟางเซวียน
โจวชูจิ่นเห็นเฉิงฉือ…แล้วก็เฉิงสวี่
เฉิงสวี่ดูเงียบขรึมขึ้นมาก ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมขึ้นมา ราวกับว่าได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตบางอย่างมา ฉับพลันก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากในบัดดล
ความจริงแล้วโจวชูจิ่นรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นสภาพของเขาในเวลานี้แล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับรู้สึกเห็นใจอยู่รางๆ
นางลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าฟางเซวียนมองเห็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดต้องประหลาดใจเช่นนั้นด้วย…ถ้าหากนางถูกใจเฉิงฉือก็คงจะดี ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลฟางแล้ว นี่ถือว่าเป็นงานแต่งที่เหมาะสมกันคู่หนึ่ง
เหตุใดบิดาถึงยังไม่ตอบจดหมายของนางอีกนะ
หรือว่าจดหมายจะส่งไปไม่ถึง?
โจวชูจิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจ
ฟางเซวียนกำลังมองเฉิงฉืออยู่
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้พบเฉิงฉือ
ครั้งแรกได้พบระหว่างทางตอนที่นางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว เขาหันศีรษะกลับมามองนางครั้งหนึ่ง ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สายตาที่เขามองนางกลับทำให้นางรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยๆ คล้ายกับว่า…เวทนาสงสารมากก็ไม่ปาน...ทำให้นางมีภาพความทรงจำนั้นอย่างแม่นยำ
ครั้งนี้นางคาดเดาได้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใด ทว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้ ดูไม่เหมือนคนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเลยสักนิด นอกจากนี้บุคลิกก็ดียิ่ง เฉิงสวี่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังเขานั้น ดูราวกับดาวเคราะห์และดวงจันทราสุกสว่าง เทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว…ได้ยินว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ชั่วขณะนั้นฟางเซวียนรู้สึกจิตใจว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินรองฟางเห็นแล้วมุมปากเผยรอยยิ้มออกมาสายหนึ่ง
หากบุตรสาวถูกชะตา เช่นนั้นก็คงไม่มีพรหมลิขิตไหนดีไปกว่านี้แล้ว
นางหันศีรษะกลับมา พบว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวกำลังหันมาเม้มปากลั้นยิ้มให้นางอยู่
เห็นได้ชัดว่าก็สังเกตเห็นความผิดปกติของฟางเซวียนแล้วเช่นกัน
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาอย่างคนที่เข้าใจกันเป็นอย่างดีครั้งหนึ่ง
ในห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เฉิงจิงและคนอื่นๆ ไหว้อวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัว มอบของขวัญของแต่ละคน และกล่าวคำอวยพรสองสามประโยคแล้ว ก็ถอยออกไป
ทุกคนต่างหลั่งไหลออกจากหลังฉากกั้นซ้ายขวา กล่าวแสดงความยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่ขาดสาย
“ในบ้านมีจิ้นซื่อถึงสามคน ยังมีเจี้ยหยวนอีกผู้หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าท่านช่างมีวาสนาดีจริงๆ!”
“ครอบครัวที่พี่น้องต่างก็เป็นจิ้นซื่อเหมือนกันนั้นใช่ว่าจะไม่มี แต่คนที่มีบุตรชายคนโตเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก บุตรชายคนรองเป็นสมาชิกของสำนักฮั่นหลินเหมือนฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีให้เห็นไม่มากจริงๆ!”
“นี่ฮูหยินผู้เฒ่าคงเป็นคนแรกแล้วกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มอย่างสุขุม ทว่ายากนักที่ดวงตาจะปิดความยินดีเอาไว้มิด
มีฮูหยินที่ทราบเรื่องของเฉิงฉือกล่าวขึ้นให้สถานการณ์ยิ่งน่ายินดีขึ้นว่า “เมื่อก่อนตระกูลเฉิงมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวมาก แม้นนายท่านคนที่สามจะได้รับแต่งตั้งเป็นจิ้นซื่อ แต่กลับไม่อาจผลักไสเรื่องการดูแลกิจการของครอบครัวไปได้ ตอนนี้จวนหลักมาตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิงแล้ว งานเล็กๆ น้อยๆ ก็มีไม่มากแล้ว ตอนนี้ได้รับการแนะนำจากขุนนางใหญ่ซ่งจิ่งหรานให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของฝ่ายจัดการน้ำกรมโยธา อีกไม่นานก็ต้องไปช่วยใต้เท้าหยาง หยางโซ่วซานแก้ปัญหาเรื่องน้ำที่สำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำที่จี่หนิงแล้ว”
ภายในห้องล้วนเป็นสตรีจากครอบครัวขุนนางทั้งสิ้น ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าฝ่ายจัดการน้ำ ฝ่ายจัดการการขนส่งทางน้ำ ฝ่ายกิจการขนส่งเกลือหลวง และสำนักกิจการขนส่งทางน้ำระหว่างเมืองต่างล้วนเป็นที่ว่าการที่ทำกำไรได้มากที่สุดทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อเข้ารับตำแหน่งก็ได้ยศขั้นหกล่าง ยังไปอยู่ที่สำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำอีก…แปดในสิบคนของคนในห้องต่างมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสายตาแรงกล้า กล่าวสรรเสริญฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่ามีวาสนาดีไม่หยุด ยังมีอีกสองคนที่แม้นจะยิ้มอย่างสงวนท่าที ทว่ากลับลอบแลกเปลี่ยนสายตาให้กันอย่างลับๆ
เริ่มแรกโจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากก่อน แต่ไม่นานก็รู้สึกยินดีแทนเฉิงฉือขึ้นมา
ในที่สุดท่านน้าฉือก็รั้งอยู่โดยมิต้องออกจากตระกูลไปเหมือนชาติก่อนแล้ว!
นอกจากนี้ยังได้ทำในสิ่งที่เขาชื่นชอบอีกด้วย
ต่อไปเขาจะต้องมีอนาคตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระมัง
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว โจวเสาจิ่นถึงรู้สึกได้เสียทีว่าการแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูนั้นเป็นเรื่องดีจริงๆ
หยวนซื่อ…ก็มิได้กระทำการไปอย่างเปล่าประโยชน์…
อารมณ์ของโจวชูจิ่นซับซ้อนขึ้นมา
ที่เฉิงฉือมิได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเลยในช่วงนี้นั้นเป็นเพราะไปจัดการเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ
ตระกูลเฉิงมิได้ขาดเหลือเงินทอง เขาไม่ไปกรมขุนนาง ไม่ไปกรมการตรวจตราและไม่ไปศาลต้าหลี่ แต่กลับไปที่สำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำ นี่เพราะต้องการไปรับราชการต่างเมืองอย่างนั้นหรือ
จะเกี่ยวข้องกับเสาจิ่นหรือไม่นะ
อาจเป็นเพราะในใจของนางนั้น นางยังไม่อาจทำใจเอาท่านน้าฉือผู้มีกิริยาสูงส่งผู้นี้กับวายร้ายที่ล่อลวงน้องสาวของนางมาเกี่ยวข้องเป็นคนคนเดียวกันได้ ยังคงกอดความหวังเส้นสุดท้ายที่มีต่อเฉิงฉือเอาไว้อยู่…
ส่วนหยวนซื่อมองแล้วกลับรู้สึกปวดตับ
หากมีวันใดที่มีคนมาประจบประแจงนางเหมือนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าได้ ก็ถือได้ว่านางมีชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว
คิดถึงตรงนี้ นางก็หันไปมองฮูหยินสามตระกูลหมิ่นผู้เป็นตัวแทนของตระกูลหมิ่นมาอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง
เมื่อมีตระกูลหมิ่นคอยสนับสนุน อย่างมากที่สุดไม่เกินยี่สิบปี หรือบางทีอาจจะแค่สิบห้าปี เจียซ่านของพวกเขาก็น่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เข้าสู่ในสภาแล้วเช่นกันกระมัง
ยังมีตระกูลฟางอีก นายท่านรองของตระกูลฟางได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้ดิบได้ดีจากการใช้อำนาจและเงินทอง หากว่าฟางเซวียนได้แต่งงานกับเฉิงฉือ นางในฐานะคนเป็นแม่สื่อ อย่างไรนายท่านรองตระกูลฟางก็ต้องปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษบ้างกระมัง
หยวนซื่อรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง
ชั่วขณะที่ชมการแสดงงิ้วอยู่นั้น อาศัยจังหวะตอนที่การแสดงงิ้วตอนหนึ่งเพิ่งจบลงและกำลังรอเสียงสั่นระฆังสำหรับการแสดงงิ้วรอบถัดไปดังขึ้นนั้น นางพาฟางเซวียนเดินไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ เมื่อก่อนอาเซวียนมักจะนั่งชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนท่านป้าทั้งหลายของข้าอยู่บ่อยๆ สายตาของท่านไม่ค่อยดี ให้นางช่วยอ่านบทละครงิ้วให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้านี่น้า จะให้ข้าว่ากล่าวอะไรเจ้าดี! บทจะเฉลียวฉลาดก็ช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็นึกถึงได้รอบด้าน แต่บทจะเลอะเลือนก็ช่างเลอะเลือนจริงๆ เรื่องอะไรก็ทึกทักไปเองหมด อาเซวียนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง กำลังอยู่ในวัยเล่นสนุกซุกซน เจ้าให้นางมาดูการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนข้า เอานางมากักขังเอาไว้กับคนแก่อย่างพวกข้า จะไม่ทำให้นางรู้สึกเบื่อหน่ายจะแย่หรือ หัวใจกตัญญูของเจ้านั้นข้ารับรู้แล้ว! อาเซวียน ไปเล่นกับพวกเสาจิ่นเถิด! วันนี้อากาศไม่เลวนัก ไปพายเรือเล่นที่สวนดอกไม้ก็ได้ พวกเจ้าไม่ชอบฟังงิ้วก็ไปเล่นที่สวนดอกไม้เถิด!”
โจวเสาจิ่นอยากไป
ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบท่านน้าฉือโดยบังเอิญก็เป็นได้!
แน่นอนว่าโจวชูจิ่นไม่อนุญาตให้นางไป ใช้สายตาห้ามปรามนาง ไม่ให้นางขยับเขยื้อน
เมื่อก่อนฟางเซวียนทนนั่งดูการแสดงงิ้วกับพวกฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เป็นที่สุด งิ้วพวกนั้นหากมิใช่ทำการแสดงเรื่องที่ภรรยาเฝ้ารอคอยการกลับมาของสามีอย่างขมขื่นอยู่ถึงสิบแปดปีก็เป็นการแสดงเรื่องที่ภรรยาแบกบุตรชายหญิงคู่หนึ่งไว้กลางหลังแล้วออกไปตามหาสามี…แต่ว่าครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นางกลับอยากอยู่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ดี อยากทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความสุข