ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 451 สู่ขอ
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธอย่างสุภาพไป ส่ายศีรษะพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเด็กสาวอย่างพวกเจ้ากตัญญู แต่ข้าเองก็มิใช่คนแก่หนังเหนียวดื้อดึงประเภทนั้น พวกเจ้าไปเล่นของพวกเจ้าเถิด หากอยากกตัญญู ก็มิจำเป็นต้องเป็นเรื่องนี้!”
ฟางเซวียนได้ยินแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้ข้าดูงิ้วเป็นเพื่อนท่านเถิดนะเจ้าคะ ข้าชอบดูงิ้ว ปกติก็มักจะดูงิ้วเป็นเพื่อนท่านย่าข้าบ่อยๆ เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางมุ่งมั่นของนางแล้ว ก็เลยไม่กล่าวอะไรอีก ปล่อยให้ฟางเซวียนนั่งอยู่ข้างกาย
การแสดงงิ้วเริ่มขึ้นแล้ว
ฟางเซวียนกระซิบกล่าวอะไรบางอย่างที่ข้างหูฮูหยินหยวนบ่อยๆ คอยเรียกหาบ่าวรับใช้ ดูแลของว่างและน้ำชา ปรนนิบัติได้อย่างครบถ้วนรอบด้าน เอาใจใส่และกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนต่างมองเห็นระแคะระคายบางอย่าง อดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ ในใจลอบครุ่นคิดว่าตระกูลฟางกำลังจะดองกับตระกูลเฉิงใช่หรือไม่
โจวชูจิ่นแสยะยิ้มเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าเห็นหรือยัง คนที่ตระกูลเฉิงต้องการเกี่ยวดองด้วย ก็ต้องเป็นเหมือนกับหญิงสาวจากตระกูลฟางนี้ เจ้าถือโอกาสตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าพี่สาวทำเพื่อเป็นการดีต่อตัวนาง แม้นจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่สาว ทว่าก็ไม่อยากให้คำทัดทานของตนทำให้พี่สาวขุ่นเคืองใจ จึงได้แต่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
โจวชูจิ่นนึกถึงสายตาที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ก็รู้สึกเห็นใจระคนสงสารน้องสาวขึ้นมาอีก จึงกัดฟันกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น พี่สาวจะหาคนที่ดียิ่งกว่านี้ให้เจ้าสักคนหนึ่งเอง!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ชาติก่อน หลังจากที่พี่สาวพูดประโยคนี้ไปไม่นาน ก็หาคนอย่างหลินซื่อเซิ่งได้แล้ว…ชาตินี้ แม้นหลินซื่อเซิ่งจะแต่งงานไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าอาจจะมีหวังซื่อเซิ่งหรือจางซื่อเซิ่งอะไรโผล่มาอีกก็เป็นได้!
นางรีบกอดแขนพี่สาวเอาไว้
โจวชูจิ่นถึงได้รู้สึกอารมณ์เย็นลงเล็กน้อย
กระทั่งกลับมาถึงบ้าน เมื่อลงจากเกี้ยวแล้วถึงพบว่าเกี้ยวของฮูหยินรองฟางตามมาด้วย
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างมองหน้ากันไปมา
ดวงหน้าของฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับเต็มไปด้วยความยินดี ยิ้มทว่าไม่กล่าวอะไรขณะต้อนรับฮูหยินรองเข้าไปนั่งในบ้าน
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินรองฟาง
สายตาของฮูหยินรองฟางหยุดอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นครู่หนึ่ง ถึงได้กล่าวกับพวกนางยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับมองไปที่เบื้องหลังของนาง เอ่ยถามขึ้นว่า “อาเซวียนไม่มาด้วยหรือ”
“ข้าให้นางกลับไปก่อนแล้ว!” ฮูหยินรองฟางกล่าวยิ้มๆ “วันนี้นางปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแข็งขันไปตลอดทั้งบ่าย เกรงว่าคงจะเหนื่อยแย่แล้ว ข้าจึงให้นางกลับไปก่อน และเรื่องนี้ก็ไม่ควรให้นางรู้เรื่องก่อนด้วย”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวฟังแล้วก็มีอาการเบิกบานขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ที่ข้าพูดมามีเหตุผลหรือไม่ อาเซวียนของพวกเราทั้งรูปร่างหน้าตาและคุณสมบัติล้วนเป็นเลิศ ไม่มีทางที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่โปรดปราน เจ้าดูวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวชมอาเซวียนของพวกเราไม่หยุดเลยทีเดียว!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ฮูหยินรองฟางมองไปที่โจวเสาจิ่นสองพี่น้องครั้งหนึ่งอย่างมีความนัยแฝง พลางกล่าวว่า “ถ้าหากเรื่องนี้สำเร็จลงได้ ข้าต้องขอบคุณท่านครั้งใหญ่ที่เป็นแม่สื่อให้แล้ว”
ความจริงแล้วไม่ควรมาพูดเรื่องนี้ในสถานที่อย่างประตูชั้นในเช่นนี้ แต่ประจวบเหมาะกับที่โจวเสาจิ่นก็อยู่ด้วย ให้นางได้ยินด้วยก็ดีเหมือนกัน นางจะได้ไม่คิดว่าตัวเองมีหน้าตางดงามแล้วจะกดข่มศีรษะของอาเซวียนได้
ที่พี่สาวของโจวเสาจิ่นรั้งให้นางพักอยู่ที่จิงเฉิงด้วย คาดว่าก็น่าจะเพื่อเรื่องแต่งงานเช่นกัน
ต่อไปเมื่อแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะเงยหน้าหรือก้มหน้าโจวเสาจิ่นและฟางเซวียนก็น่าจะต้องพบกันบ่อยๆ ต้องคำนวณแผนการเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
“ทำไมจะไม่สำเร็จกัน” ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเองก็รู้สึกว่าไม่ควรมาพูดเรื่องเช่นนี้ที่หน้าประตูชั้นในเช่นกัน แต่นางดีใจมากเกินไป จึงจับมือของฮูหยินรองฟางเอาไว้พลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ฮูหยินหยวนพูดหรือ นางเฝ้ารอให้อาเซวียนได้แต่งเข้าไป ไปช่วยเป็นลูกมือของนางอยู่”
ฮูหยินรองเว่ยป่วยติดเตียงเป็นเวลานาน ไม่อาจดูแลเรื่องภายในเรือนได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างทราบกันดี
จำนวนสมาชิกของตระกูลเฉิงจวนหลักก็มีน้อยไม่ซับซ้อนอะไร
ฮูหยินรองฟางยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวคำใด
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจับมือของฮูหยินรองฟางเอาไว้เดินไปที่เรือนหลัก
โจวชูจิ่นกลับตกใจจนหน้าซีดเผือด ลากโจวเสาจิ่นไปที่เรือนปีกของตัวเอง ถึงกับไม่ไปดูกวนเกอ และยิ่งไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเปลี่ยนชุดหรือล้างหน้าล้างตาด้วย แต่ไล่บ่าวรับใช้ข้างกายออกไปแล้วกระซิบถามโจวเสาจิ่นเสียงเบาว่า “เฉิงจื่อชวนนั้น…เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเคยทำตัวเสียมารยาทกับเจ้าหรือไม่ หรือไม่ก็…เคยถูกผู้อื่นพบเห็นมาก่อนหรือไม่”
ตอนที่เห็นว่าเฉิงฉือกำลังจะจุมพิตโจวเสาจิ่น เวลานั้นนางตกใจมากเกินไป เมื่อได้มาครุ่นคิดดีๆ หลังเกิดเรื่องแล้ว ก็พบว่าน้องสาวไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับหน้าแดง เอียงอายดั่งดอกไม้ นางจึงรู้ว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนทำเรื่องเช่นนี้…เพียงแต่ว่าเรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว นางเองก็ไม่อยากว่ากล่าวอะไรน้องสาวมาก จะได้ไม่เป็นการผลักน้องสาวไปอยู่ฝั่งเดียวกับเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ
ทุกครั้งนางล้วนรู้สึกวิงเวียนหน้ามืดตาลายไปหมด จึงไม่รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาหรือว่าเดินจากไปบ้างหรือไม่…
โจวชูจิ่นโกรธจนได้แต่กระทืบเท้าไม่หยุด น้ำเสียงดุจพายุก่อนที่ฝนจะเทลงมา “เฉิงฉือคนน่าตายผู้นี้ ทำราวกับว่าตระกูลโจวของพวกเราไม่มีคนอยู่ ถึงกับทำลายชื่อเสียงของเจ้า…”
คำกล่าวหานี้หนักหนาเกินไปแล้ว!
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้กล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ท่านพี่ ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ ท่านน้าฉือปกป้องข้าเป็นอย่างมาก...”
โจวชูจิ่นสาดสายตาดุดันมาให้ ทำให้โจวเสาจิ่นต้องฝืนกลืนคำพูดที่ยังกล่าวไม่จบนั้นลงไปเสีย
“เขาปกป้องเจ้าเป็นอย่างดี?” โจวชูจิ่นกล่าวอย่างดูแคลน “หากเขาปกป้องเจ้า เช่นนั้นเหตุใดวันนี้ฮูหยินรองฟางถึงต้องกล่าววาจากระทบเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย ยังมีแม่สามีของข้าอีก เหตุใดต้องเอ่ยเรื่องงานต่างระหว่างฟางเซวียนและเฉิงฉือขึ้นที่หน้าประตูชั้นในด้วย” ชั่วพริบตานั้น ความทุกข์ระทมคล้ายกับน้ำที่ค่อยๆ ไหล่บ่าเข้ามา นัยน์ตาของโจวชูจิ่นคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “เสาจิ่น” นางกอดน้องสาวเอาไว้ พลางกล่าว “เสาจิ่น หากพี่ชายน้องชายร่วมแรงร่วมใจ ก็มีแรงมากพอจะตัดทองให้ขาดได้ พี่สาวน้องสาวเองก็เหมือนกัน พวกเราจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน...”
หากว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ พวกนางพี่น้องจะถูกผู้คนรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร!
น้ำตาของโจวชูจิ่นเกือบจะร่วงหล่นลงมาแล้ว
มีสาวใช้เด็กกล่าวรายงานอยู่นอกผ้าม่านว่า “สะใภ้ใหญ่ หลี่ฉางกุ้ยคนข้างกายของนายท่านที่บ้านเดิมของท่านมาเจ้าค่ะ บอกว่านำจดหมายของนายท่านมาส่งให้เจ้าค่ะ…”
จริงด้วย นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
เรื่องที่นางกล่าวไปล้วนเป็นเรื่องสำคัญมากทั้งสิ้น บิดาย่อมไม่อาจตอบนางด้วยจดหมายเพียงหนึ่งฉบับอย่างง่ายๆ ได้ ย่อมต้องให้คนที่มีความสามารถมาปรึกษาหารือกับนางอยู่แล้ว
โจวชูจิ่นรู้สึกสั่นสะท้าน รีบบอกให้สาวใช้เด็กเชิญหลี่ฉางกุ้ยไปนั่งที่ห้องหนังสือ ส่วนตัวเองไปล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง บอกให้โจวเสาจิ่นรออยู่ในห้องของนางอย่าไปไหน แล้วรีบร้อนออกไปที่ห้องหนังสือ
โจวเสาจิ่นนั่งเอามือเท้าคางอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างพลางคิดถึงเฉิงฉือ
เขาต้องไปรับราชการที่จี่หนิงแล้ว ไม่รู้ว่าอากาศที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง ควรจะต้องเร่งตัดชุดสำหรับฤดูหนาวให้เขาสักสองสามชุดหรือไม่
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ นางก็คงจะไม่แอบขี้เกียจ ชุดสำหรับฤดูหนาวของท่านน้าฉือยังไม่ได้เริ่มตัดผ้าเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เขาไปอยู่จี่หนิงแล้ว ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่ซอยซิ่งหลินหรือไม่
เช่นนั้นบ้านที่ประตูเฉาหยางก็คงจะเงียบเหงาขึ้นมาเสียแล้ว
นางเองก็คงไม่สะดวกที่จะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่ซอยซิ่งหลิน
โจวเสาจิ่นทอดถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
เป็นธรรมดาที่เรื่องนอกบ้านต้องปล่อยให้บุรุษเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถ้าหากว่าท่านน้าฉือรั้งอยู่ที่จิงเฉิงได้จะดีมากเพียงใด…
ส่วนเรื่องที่ตระกูลฟางถูกใจเฉิงฉือนั้น โจวเสาจิ่นมิได้เก็บมาใส่ใจ
เวลาพูดถึงเฉิงฉือ คุณหนูของตระกูลกัวยังหน้าแดงหูแดงไปหมด การที่มีผู้อื่นมาชอบเฉิงฉือจึงมิใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่นิดเดียว
ต้องรอดูว่าท่านน้าฉือจะทำอย่างไรแล้ว!
ขณะที่นางกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น โจวชูจิ่นถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ พุ่งตัวเข้ามาประหนึ่งพายุไต้ฝุ่น
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมา
โจวชูจิ่นเอาแต่มองโจวเสาจิ่นไม่วางตา สีหน้าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นคาดเดาไปตามสัญชาตญาณว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
นางเรียก “ท่านพี่” เสียงหนึ่งอย่างระมัดระวัง กล่าวต่อว่า “เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
น้ำตาของโจวชูจิ่นพลันร่วงหล่นลงมา กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้พร้อมกับตีนางไปสองสามครั้ง สะอื้นไห้พลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กโง่ผู้นี้…คนโง่ช่างมีความสุขของคนโง่จริงๆ!”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
โจวชูจิ่นดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาของตัวเองไปด้วย พลางยื่นจดหมายในมือส่งให้โจวเสาจิ่นไปด้วย “ดูนี่! เจ้าเอาไปดูเสีย ท่านน้าฉือ…ไปสู่ขอเจ้ากับท่านพ่อมาเรียบร้อยแล้ว! ท่านพ่อตอบรับเรียบร้อยแล้วด้วย อีกไม่กี่วันตระกูลเฉิงก็จะส่งของหมั้นไปที่เมืองเป่าติ้งแล้ว…เจ้า เจ้าก็จะได้แต่งกับท่านน้าฉือแล้ว!”
ความยินดีนี้มาถึงอย่างกะทันหันมากเกินไปแล้ว!
โจวเสาจิ่นราวกับถูกอะไรกระแทกเข้าใส่ก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังรู้สึกวิงเวียนอยู่
โจวชูจิ่นร้องไห้ไปด้วยหัวเราะไปด้วย พูดจาล้วนไม่เป็นจังหวะแล้วเล็กน้อย “เจ้าโตแล้ว ดูคนเป็นแล้วจริงๆ…กลับเป็นข้าที่ตำหนิเจ้าผิดไป…ข้าเองก็ทำเพื่อเป็นการดีต่อตัวเจ้า…เจ้าคงชอบท่านน้าฉือมากกระมัง วันนี้ก็ถือว่าเจ้าได้สมดั่งที่ปรารถนาแล้ว” แล้วนางก็กล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “ยังดีที่ท่านน้าฉือมีความรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นเขาทำร้ายเจ้าแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่…อย่างไรก็ตาม ต่อไปพวกเราจะเรียกขานกันว่าอย่างไรดี เขาเป็นน้องเขยของข้า ทว่าก็เป็นญาติผู้น้องของท่านลุงใหญ่เหมี่ยนด้วยเช่นกัน…แม้นจะกล่าวว่าแยกตระกูลกันแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่…” นางกล่าวอย่างกังวลใจว่า “โชคดีที่แยกตระกูลกันแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ต้องยุ่งยากมากเป็นแน่! ท่านยายก็น่าจะทราบเรื่องแล้วกระมัง ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกับงานแต่งในครั้งนี้หรือไม่…”
โจวเสาจิ่นได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตาอยู่ตรงนั้น
นางลูบตัวอักษรสองสามตัวที่อยู่ด้านบน ทว่าในใจกลับนึกถึงสิ่งที่เฉิงฉือต้องลงแรงจ่ายออกไป
หากเปลี่ยนเป็นตัวนาง เกรงว่าแม้แต่ความกล้าที่จะพูดออกมาสักคำก็คงไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะไปขอให้ผู้ใหญ่อนุญาตด้วยตัวเองเช่นนี้
ท่านน้าฉือ…ช่างดีกับนางมากจริงๆ…
ทั้งสองพี่น้องประเดี๋ยวก็ร้องไห้ประเดี๋ยวก็หัวเราะอยู่อย่างนั้น กว่าครู่ใหญ่ถึงได้สงบลงมาได้
โจวชูจิ่นจึงกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้นเหตุใดฮูหยินรองฟางถึงคิดจะให้ฟางเซวียนแต่งกับท่านน้าฉือได้เล่า”
โจวเสาจิ่นพูดแทนเฉิงฉือว่า “บางทีอาจเป็นเพราะว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไปกระมัง พวกเราเองก็เพิ่งจะทราบเรื่องเองมิใช่หรือ”
โจวชูจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แววตาเคลื่อนไปมาเล็กน้อย ราวกับตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เรื่องนี้เจ้ายังไม่ต้องพูดออกไป! เนื่องจากยังไม่ได้ดูดวงชะตากัน ต่อให้สำเร็จลุล่วง การพูดออกไปก็ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล่นๆ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขณะพยักหน้ารับ
ซอยจิ่วหรูเพิ่งจะแยกตระกูลกัน ก็มีข่าวเรื่องงานแต่งระหว่างนางและท่านน้าฉือแพร่ออกไปแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่ค่อยดี จัดการอย่างเงียบๆ เข้าไว้จะดีกว่า
โจวชูจิ่นเร่งเร้าให้น้องสาวกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่ห้อง “ฮูหยินรองตระกูลฟางเป็นแขกอยู่ที่นี่ ข้าต้องไปทักทายสักหน่อยถึงจะถูก เจ้าล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วยมาอุ้มกวนเกอสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ซอยอวี๋เฉียน” เพิ่งจะกล่าวจบไป ก็นึกขึ้นได้ว่าเฉิงฉือยังอยู่จิงเฉิง กลางวันแสกๆ ยังคิดจะกอดและจุมพิตโจวเสาจิ่น จึงเอ่ยกลับคำพูดของตัวเองอีกครั้งว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักสองสามวันดีกว่า รอให้ท่านน้าฉือไปรับราชการแล้ว เจ้าค่อยย้ายกลับไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนก็แล้วกัน”
ในบ้านไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยสักคน บ่าวไพร่เหล่านั้นผู้ใดจะกล้าขัดขวางเฉิงฉือกัน เนื่องจากตอนนี้ทั้งสองตกลงหมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกรงว่าท่านน้าฉือจะยิ่งห้ามใจไม่อยู่ ถ้าหากว่าทำเรื่องอะไรที่ไปทำลายงานแต่งของทั้งสองคนเข้าคงวุ่นวายเป็นแน่แล้ว
โจวเสาจิ่นอยากเจอหน้าเฉิงฉือเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้นเฉิงฉือก็ใกล้จะต้องออกไปรับราชการต่างเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรนางถึงจะได้พบหน้าเฉิงฉืออีก
แต่ในเมื่อพี่สาวเอ่ยปากแล้ว นางจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกลับเรือนหลังไปอย่างหดหู่ใจเล็กน้อย
ซางมามาออกมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่นำแป้งย่างไส้เนื้อลามาฝากท่าน ข้านำไปเก็บไว้ในครัวเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะเอามาทำเป็นมื้อเช้าให้ท่านนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นยากจะปิดความดีใจเอาไว้ได้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าเขาอยู่ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรอกหรือ