ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 457 เข้าร่วมด้วย
แม้นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะไม่รู้ว่าปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ในสายตานางโจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่อ่อนแอและขลาดกลัวประเภทนั้น หากจะมีใครสักคนที่เข้ากับโจวเสาจิ่นไม่ได้ นั่นย่อมต้องเป็นคนผู้นั้นที่มีปัญหา
ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงของอู๋เป่าจาง นางเพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ที่ยืนสั่งการบ่าวรับใช้เคลื่อนย้ายหีบสัมภาระอยู่ด้านนอกนั้นกลับมิได้โชคดีเช่นนั้น
นางพอจะรู้มาบ้างไม่มากก็น้อยว่าอู๋เป่าจางมีนิสัยที่ใช้ไม่ได้ เป็นคนที่ชอบยุยงปลุกปั่นให้เกิดปัญหา ตอนที่โจวเสาจิ่นยังอยู่ตระกูลเฉิงนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวกับอู๋เป่าจางพอสมควร นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าตระกูลเฉิงเป็นต้นมา จึงพยายามรักษาระยะห่างกับอู่เป่าจางเอาไว้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ได้ยินคำถามของอู๋เป่าจาง กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้จึงตอบรับคำยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เห็นอู๋เป่าจางสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลวดลายสีทอง ปักปิ่นทองคำฝังมุก แต่งกายอย่างประณีตงดงาม จึงเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนายิ้มๆ ว่า “วันนี้ท่านเตรียมจะไปวัดหรือเตรียมจะกลับบ้านเดิมเจ้าคะ”
ตั้งแต่แต่งงานกับเฉิงนั่วเป็นต้นมา ท้องของอู๋เป่าจางยังคงเงียบเชียบไม่มีความเคลื่อนไหวใด เชิญท่านหมอโจวและโจวเหนียงจื่อมาตรวจร่างกายดูแล้ว ล้วนบอกว่าอู๋เป่าจางไม่มีปัญหาอะไร ยาบำรุงต่างๆ ก็รับประทานไปไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ
ไม่ถึงครึ่งปี ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ชี้หน้าด่าจนเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมา
อู๋เป่าจางก้มหน้าก้มตาปล่อยให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นทำตัวไร้เหตุผลไป
ทุกคนในซอยจิ่วหรูทั้งบนและล่างต่างเห็นใจนางเป็นอย่างยิ่ง รู้ว่านี่เป็นเพราะฮูหยินใหญ่เวิ่นเอาความโกรธที่ได้รับมาจากนายท่านใหญ่เวิ่นไปลงที่อู๋เป่าจาง
ต่อมาได้สะใภ้ใหญ่สือของจวนรองออกหน้าช่วยพูดให้ ชีวิตของนางถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่กี่วันต่อมา ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีก พาหลานสาวสถานะตกต่ำจากบ้านเดิมเข้ามาผู้หนึ่ง บอกว่าต้องการยกให้เป็นภรรยาของเฉิงนั่ว
สะใภ้ใหญ่สือไปเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายครั้ง ล้วนถูกฮูหยินใหญ่เวิ่นไล่ออกมา สุดท้ายเป็นนายหญิงผู้เฒ่าถังเรียกฮูหยินใหญ่เวิ่นไปสั่งสอนอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เวิ่นถึงได้ยอมสงบลง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมส่งตัวหลานสาวผู้นั้นกลับบ้านเดิม เลี้ยงเอาไว้ที่จวนห้าอย่างคลุมเครือเช่นนั้นต่อไป เฉิงนั่วผู้นั้นก็ไม่ช่วยพูดแทนอู๋เป่าจางสักประโยค ทำให้อู๋เป่าจางอยู่ที่จวนห้าด้วยสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อาจจะเป็นเพราะอู๋เป่าจางรู้สึกเสียหน้า ช่วงนี้จึงมักจะสวมอาภรณ์สีแดงสด หากไม่ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดก็จะกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมสักสองสามวัน
นายหญิงผู้เฒ่าถังและคนอื่นๆ รู้สึกว่าชีวิตของนางช่างขมขื่น จึงเห็นใจนางมากกว่าตำหนิต่อว่า ก็เลยปล่อยให้นางออกไปได้ตามใจ
ได้ยินกูที่สิบเจ็ดกู้ถามเช่นนี้ กระบอกตาของอู๋เป่าจางพลันแดงเรื่อขึ้นมาในทันใด กล่าวขึ้นว่า “ข้าเตรียมจะไปวัด ได้ยินว่ามีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าเสียนเซิ่งอัน ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก”
เป็นหนึ่งประโยคที่ทำให้กูที่สิบเจ็ดกู้ไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อดี
กลับเป็นอู๋เป่าจางที่ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตาอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มออกมา พลางกล่าว “เตรียมของมากมายขนาดนี้ พวกเจ้าจะไปอยู่นานเพียงใดหรือ พี่สะใภ้เก้าก็ไปด้วยหรือไม่ ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยไปจิงเฉิงเลยสักครั้ง”
ไม่ปิดบังความรู้สึกอิจฉาของนางเลยแม้แต่น้อย
กูที่สิบเจ็ดกู้บังเกิดความรู้สึกระแวดระวังตัว
ตอนอยู่ตระกูลกู้นางเคยเจอผู้คนมามากมาย คำพูดและการกระทำของอู๋เป่าจางมักจะทำให้นางรู้สึกว่าอู๋เป่าจางมาด้วยเจตนาแอบแฝง
กูที่สิบเจ็ดกู้ขานรับอย่างคลุมเครือไปเสียงหนึ่ง พลางกล่าวว่า “มิใช่ว่าพี่สะใภ้ต้องไปวัดหรอกหรือ รีบไปรีบกลับเถิด! เวลาก็ไม่เช้าแล้ว”
อู๋เป่าจางกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไหนๆ ข้ามาแล้ว อย่างไรก็ต้องก็ไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าสักครั้งหนึ่งก่อน รอให้ข้าไปคารวะทักทายนายหญิงผู้เฒ่าเสร็จแล้วค่อยไปวัดก็ยังไม่สาย!”
เรื่องเช่นนี้กูที่สิบเจ็ดกู้จะขัดขวางได้อย่างไร
จำต้องเดินเข้าห้องโถงไปพร้อมกับนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังคุยอยู่กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน เหอเฟิงผิงนั่งเอนหลังโดยมีซื่อเอ๋อร์และอีกหลายๆ คนปรนนิบัติรับประทานของว่างและดื่มน้ำชา
นัยน์ตาของอู๋เป่าจางมีสายตาอ่านยากสายหนึ่งวาบผ่าน
เป็นบุตรสะใภ้เหมือนกัน ตอนที่เหอเฟิงผิงแต่งเข้ามาใหม่ๆ ก็มีช่วงที่ยังไม่ตั้งครรภ์เหมือนกันมิใช่หรือ กูที่สิบเจ็ดกู้ผู้นั้นก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน แต่ชะตาของแต่ละคนกลับต่างกันราวกับผู้หนึ่งอยู่บนสรวงสวรรค์อีกผู้หนึ่งอยู่ใต้พื้นนรกก็ไม่ปาน...จะว่าไปแล้ว ปีนี้บิดาของนางก็ได้รับการประเมินว่า ‘ยอดเยี่ยม’ อีกแล้ว ขอเพียงอดทนไปอีกเก้าปี ไม่ว่าอย่างไรก็ได้รับยศสามล่างสักตำแหน่งอย่างแน่นอน
นึกถึงตรงนี้แล้ว นางบิดผ้าเช็ดมือในมือแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา ก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมิใช่คนที่ชอบกลั่นแกล้งคนรุ่นเด็กให้อับอายประเภทนั้น ยิ้มพลางสนทนากับนางครู่หนึ่ง จากนั้นอู๋เป่าจางก็กล่าวขอตัวลา
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถามอย่างแปลกใจว่า “นางมาทำไมหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เก็บมาใส่ใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คงไม่มีอะไรทำเลยเผลอเดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัวกระมัง”
กูที่สิบเจ็ดกู้กลับรู้สึกว่าเรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงนั้น แต่ในเมื่อผู้ใหญ่เอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่อง อีกทั้งเนื่องจากตั้งแต่ที่เหอเฟิงผิงตั้งครรภ์เป็นต้นมา หน้าที่ช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านจึงตกมาอยู่ที่กูที่สิบเจ็ดกู้ ตอนนี้กูที่สิบเจ็ดกู้จะต้องติดตามผู้ใหญ่เดินทางไปจิงเฉิง จึงต้องส่งมอบงานต่างๆ ในบ้านให้เหอเฟิงผิงใหม่อีกครั้ง นางและเหอเฟิงผิงจึงคุยเรื่องมอบหมายงานในบ้านขึ้นมาแทน
เหอเฟิงผิงพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือไม่ ให้สามีตามพวกท่านไปด้วยดีหรือไม่ ในบ้านไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก ข้าพอจะจัดการได้เจ้าค่ะ”
นางรู้ดีว่างานแต่งงานของโจวเสาจิ่นในครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่ง ไม่เพียงได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากัวของจวนหลัก ยังได้พบปะกับบรรดาพี่ชายน้องชายของตระกูลเฉิงอีกด้วย ที่บิดาของนางมีวันนี้ได้ก็เพราะเดินอยู่บนถนนสายเดียวกับเฉิงจิงนั่นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่ายศีรษะ จับมือของเหอเฟิงผิงเอาไว้กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะคลอดแล้ว ตามหลักแล้วข้าและแม่สามีของเจ้าไม่ควรจะออกจากบ้านด้วยซ้ำ แต่เจ้าเองก็รู้ ซอยจิ่วหรูในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว หากพวกเราไม่วางแผนเสียแต่เนิ่นๆ ต่อไปเกรงว่าชีวิตคงจะยากลำบากยิ่งกว่านี้ ครั้งนี้เป็นพวกข้าที่ทำผิดต่อเจ้า หากยังให้เก้าเกอเอ๋อร์ไปจิงเฉิงด้วยอีกคน ตอนที่เจ้าคลอดผู้ใดจะดูแลเจ้า เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย ถ้าหากว่าพ่อสามีของเจ้าพูดคุยกับจวนหลักได้ เก้าเกอเอ๋อร์ไม่ไปก็มิใช่ปัญหา นอกจากนี้ที่เมืองหลวงก็ยังมีญาติผู้น้องตระกูลโจวของเจ้าอยู่ด้วยอีกสองคน!”
เหอเฟิงผิงได้แต่ต้องตอบรับ
อู๋เป่าจางออกจากจวนสี่ไปอย่างใจลอย มิได้เดินทางไปวัด ทว่าเดินไปหานายท่านใหญ่เวิ่นที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอก
นายท่านใหญ่เวิ่นกำลังเคร่งเครียดอยู่กับรายจ่ายของครอบครัวอยู่ ได้ยินว่าอู๋เป่าจางมาขอพบ เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้นอู๋เป่าจางมักจะโดนฮูหยินใหญ่เวิ่นฟาดฟันใส่อยู่บ่อยๆ อีกทั้งบุตรชายก็เป็นคนประหลาดผู้หนึ่ง แต่อู๋เป่าจางก็ไม่เคยเอาเรื่องไปบ่นให้ที่บ้านเดิมฟังเลยสักครั้ง ยิ่งไม่เคยมาพูดจาไม่ดีถึงแม่สามีและสามีต่อหน้าเขาผู้เป็นพ่อสามีเลยสักคำ ด้วยเหตุนี้คนที่มีประสบการณ์ความขมขื่นจากฝีปากของสตรีมามากอย่างนายท่านใหญ่เวิ่นจึงยังมีภาพความประทับใจต่ออู๋เป่าจางอยู่มาก
เขาจึงใจดีไม่คิดไปถือสาเอาความกับเรื่องที่อู๋เป่าจางมาขอพบเขาด้วยตัวเองแทนที่จะส่งมามาข้างกายนำความมาแจ้ง เขาให้บ่าวชายพาอู๋เป่าจางเข้ามา
อู๋เป่าจางมองพ่อสามีที่ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำและสมุดบัญชีที่กองเป็นภูเขาอยู่บนโต๊ะหนังสือแล้วจึงรู้ว่าเหตุใดพ่อสามีถึงดูทุกข์ใจนัก
นางก้มหน้าลง ย่อกายทำความเคารพอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อสามี เดิมทีวันนี้ข้าตั้งใจไปเยี่ยมสะใภ้ใหญ่เก้า แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อไปถึงจวนสี่แล้วถึงได้รู้ว่า นายหญิงผู้เฒ่า นายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่ของจวนสี่กำลังจัดเตรียมหีบสัมภาระกันอยู่ เตรียมจะไปร่วมงานแต่งงานของนายท่านสี่เฉิงที่จิงเฉิงกันเจ้าค่ะ…”
ยิ่งพูดเสียงของนางก็ยิ่งเบาลง ทว่านายท่านใหญ่เวิ่นกลับฟังแล้วรู้สึกหัวใจสะท้าน
เมื่อก่อนตอนที่น้องสี่ยังอยู่ที่ซอยจิ่วหรูนั้นทุกคนต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่ง…
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหยวนซื่อ!
ฟันบนและฟันล่างนั้นย่อมมีช่วงเวลาที่กระทบกระทั่งกันบ้าง ก็แค่เฉิงสือและเฉิงเจิ้งริษยาเฉิงสวี่ก็เลยสร้างเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้นมิใช่หรือ
หากมิใช่เพราะเป็นปราชญ์ผู้ทรงภูมิก็คงไม่มีผู้ใดคิดริษยา
อุตส่าห์ชื่นชมว่าหยวนซื่อผู้นั้นเป็นหญิงสาวมาจากตระกูลขุนนางใหญ่ แต่เหตุใดแม้แต่หลักแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ ยังโวยวายจะแยกตระกูลอะไรนั่นอีก
เฉิงจิงเองก็กระไร ปล่อยให้สตรีมาแทรกแซงหน้าที่ ไม่มีกฎมีระเบียบเลยสักนิด
ครอบครัวที่อยู่กันดีๆ ครอบครัวหนึ่งถูกหยวนซื่อทำให้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
นายท่านใหญ่เวิ่นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
อู๋เป่าจางเห็นแล้วก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปเลย อดไม่ได้ก่นด่าว่า “คนโง่” อยู่ในใจไปหลายครั้ง ถึงได้กล่าวเตือนสติเขาเสียงเบาว่า “ท่านพ่อสามี ข้ายังได้ยินมาอีกว่า จวนสี่ถ่ายโอนหุ้นส่วนทั้งหมดออกจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่แล้ว ทั้งที่สะใภ้ใหญ่เก้าใกล้จะคลอดแล้ว แต่พวกลุงเหมี่ยนก็ยังจะเดินทางไปจิงเฉิงอยู่อีก...”
ถึงแม้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะเปลี่ยนมาเป็นจ่ายผลตอบแทนหนึ่งปีหนึ่งครั้ง แต่เงินต้นของพวกเขาก็ได้คืนกลับมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นดั่งแม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองตัวหนึ่ง จวนสี่ก็ไม่น่าจะลงทุนมากกว่าเขาไปสักกี่มากน้อย เหตุใดพอบอกจะถอนหุ้นส่วนออกก็ถอนออกเลยเล่า ไหนจะยังเร่งเดินทางไปจิงเฉิงในช่วงเวลานี้อีก...หรือว่าพวกเขาคิดจะใช้โอกาสที่น้องสี่แต่งงานขอร้องอะไรบางอย่าง?
ไม่ได้!
เขาไม่อาจปล่อยให้จวนสี่ได้ผลประโยชน์นี้ไปได้!
จะว่าไปแล้วเขามีความสัมพันธ์กับน้องสี่ดีกว่าเฉิงเหมี่ยนเสียอีก
แต่ต่อให้ความสัมพันธ์จะดีมากเพียงใดก็ต้องไปมาหาสู่กับบ่อยๆ
มิสู้เขาก็ไปด้วย…
ยิ่งคิดนายท่านใหญ่เวิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
เขาลุกลี้ลุกลนอยากจะไล่อู๋เป่าจางออกไป “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
ที่อู๋เป่าจางมามิใช่เพื่อจะให้นายท่านใหญ่เวิ่นสลัดตนทิ้งแล้วหนีไปจิงเฉิงเพียงลำพัง
นางกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพ่อสามี แต่จวนสี่ไปกันทั้งนายหญิงผู้เฒ่าและนายท่านใหญ่เลยนะเจ้าคะ!”
นายท่านใหญ่เวิ่นได้ยินแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
เป็นเพราะเขาไม่อาจสู่ขอภรรยาดีๆ ได้สักคนหนึ่ง
อู๋เป่าจางลอบบอกพ่อสามีเป็นนัยว่า “ตอนที่คุณหนูรองตระกูลโจวอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูนั้นนางกับข้าก็ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม…”
นายท่านใหญ่เวิ่นได้ยินแล้วก็ลิงโลดขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปร่วมงานแต่งของน้องสี่กัน…ให้แม่ของเจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ข้าจะพานั่วเกอเอ๋อร์และเจ้าไปด้วย!”
อู๋เป่าจางขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นกล่าวว่า “ทางด้านของจวนรองและจวนสามนั้น หากท่านพ่อสามีไว้วางใจข้า ข้าจะไปอธิบายให้พวกเขาทราบสักครั้งเอง สถานการณ์ของจวนหลักทางด้านโน้นก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ทางด้านของจวนรองและจวนสามนั้นก็ไม่อาจทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจได้!”
“ไม่เลวๆ!” นายท่านใหญ่เวิ่นรู้สึกว่าบุตรสะใภ้ผู้นี้ช่างรู้ความและไม่สร้างปัญหา จึงโบกมือให้นางพร้อมกับกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกจวนรองกับจวนสามสักคำเถิด”
อู๋เป่าจางยิ้มพร้อมกับถอยออกมาจากห้องหนังสือ ทว่าตอนที่ไปพบจวนรองและจวนสามนั้นกลับผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปไว้ที่จวนสี่ บอกเพียงว่าเป็นเพราะนายท่านใหญ่เวิ่นเห็นจวนสี่จะไปร่วมงานแต่งของเฉิงฉือที่จิงเฉิงกันทั้งครอบครัว ด้วยความริษยาจึงตัดสินใจพานางและเฉิงนั่วไปจิงเฉิงด้วย
นายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรองได้ยินแล้วก็เอาแต่แสยะยิ้มเย็น ส่วนเจียงซื่อของจวนสามกลับคร้านจะสนใจเรื่องนี้ นับตั้งแต่ที่หยวนซื่อโวยวายเรื่องจะแยกตระกูลเป็นต้นมา นางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่รางๆ แล้ว ตอนนี้ความรู้สึกไม่สบายใจนั่นเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เฉิงเจิ้งผู้เป็นบุตรชายคนเดียวก็อายุไม่น้อยแล้ว ทว่ากลับยังหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้ คนที่ก่อนหน้านี้นางดูแล้วรู้สึกว่าพอใช้เหล่านั้นกลับมีท่าทีบ่ายเบี่ยงหลังจากที่จวนหลักแยกตระกูลออกไป เพื่อจะรอดูท่าทีของจวนหลักที่มีต่อจวนสามก่อน นี่ทำให้นางโกรธจนกัดฟันกรอดทว่าก็ทำอะไรไม่ได้
นางอดไม่ได้พร่ำบ่นว่าบุตรชายไม่น่าเอาตัวเข้าไปยุ่งกับเฉิงสือของจวนรองเลย
เฉิงเจิ้งยิ้มขื่น
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหยวนซื่อจะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ต่อให้ต้องสู้กันจนไม่ปลาตายก็ตาข่ายขาดกันไปข้างก็ต้องการจะแยกตระกูลให้ได้
แต่หลังจากแยกตระกูลแล้วเขาถึงได้ค้นพบว่า ความจริงแล้วการแยกตระกูลก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อย่างน้อยจวนหลักก็ยังมีชีวิตที่ดี มิต้องพานพบกับความยากลำบากจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมและทางการ
แต่คิดจะสานสัมพันธ์กับจวนหลักในตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เมื่อความคิดหนึ่งวาบผ่าน เขาก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย
มิใช่มีคำกล่าวว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกหรือ
หรือว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้สร้างความสัมพันธ์กับจวนหลักแล้วจริงๆ?
เฉิงเจิ้งนึกถึงโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียขึ้นมา!
มิใช่ว่าพวกนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอดหรอกหรือ