ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 458 ช่วงเวลาแห่งความสุข
โจวเสาจิ่นที่อยู่ไกลถึงจิงเฉิงในเวลานี้กำลังเอียงตัวนอนอ่านจดหมายที่เฉิงเจียส่งมาให้อยู่บนหมอนอิงของตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างอยู่
ชุดผ้าไหมสีแดงสดปักลายนกเฟิ่งแหงนหน้ามองสุริยันตัวใหม่แขวนอยู่บนราวแขวนเสื้อด้านตะวันออกของห้องชั้นในของนาง เปล่งแสงทองเป็นประกายระยิบระยับงดงามยิ่ง
เฉิงเจียมักจะเขียนจดหมายส่งมาให้โจวเสาจิ่นบ่อยๆ
จดหมายฉบับแรกที่นางเขียนส่งมาให้โจวเสาจิ่นก็คือตอนที่โจวเสาจิ่นเพิ่งไปถึงเมืองเป่าติ้งตอนนั้น เฉิงเจียเขียนจดหมายมาถามนางว่าคุ้นชินกับชีวิตที่เมืองเป่าติ้งบ้างหรือยัง ยังพูดถึงเรื่องหมั้นหมายระหว่างเฉิงสวี่และคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นให้ฟังแบบอ้อมๆ อีกด้วย
โจวเสาจิ่นเขียนจดหมายตอบกลับไปให้นาง บอกว่าตนไม่เป็นอะไร ยิ่งตอนนี้เฉิงสวี่หมั้นหมายแล้วนางก็ยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจอีกแล้ว
เฉิงเจียโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง จดหมายที่เขียนส่งมาหาโจวเสาจิ่นอีกครั้งจึงดูมีความสุขขึ้นมาก โดยเฉพาะหลังจากที่นางแต่งไปที่ลั่วหยางแล้ว ได้กินของอร่อยอะไรหรือพบเห็นเรื่องน่าสนุกอะไรก็ล้วนเขียนจดหมายมาเล่าให้โจวเสาจิ่นฟังทั้งสิ้น กลับเป็นโจวเสาจิ่นที่ในใจมีแต่เฉิงฉือ ในสายตาก็มองเห็นแต่คนผู้นี้เพียงผู้เดียว บ่อยครั้งที่จดหมายฉบับใหม่ของเฉิงเจียส่งมาถึงแล้ว แต่นางยังมิได้ตอบจดหมายฉบับก่อนหน้าเลย
โชคดีที่ในที่สุดครั้งนี้โจวเสาจิ่นก็มีสติและมโนธรรม เมื่อเรื่องของนางและเฉิงฉือถูกกำหนดลงมาเรียบร้อยแล้วก็เขียนจดหมายไปให้เฉิงเจียหนึ่งฉบับ
ในจดหมายตอบกลับนั้นเฉิงเจียต่อว่าโจวเสาจิ่นอย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง บอกว่านางมีอะไรล้วนเล่าให้โจวเสาจิ่นฟังทุกอย่าง แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้โจวเสาจิ่นกลับไม่เล่าให้นางฟัง
จากเนื้อความในจดหมายแล้วโจวเสาจิ่นพอจะจินตนาการถึงท่าทางกระทืบเท้าของเฉิงเจียขณะเขียนจดหมายฉบับนี้ได้
นางเม้มปากกลั้นหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เฉิงเจียบอกนางว่า หลี่จิ้งมีการค้าหนึ่งอยู่ที่เทียนจิน นางอยู่บ้านรู้สึกเบื่อหน่ายจึงตามหลี่จิ้งมาเทียนจินด้วย จดหมายของโจวเสาจิ่นนั้นถูกส่งมาจากลั่วหยางอีกทอดหนึ่ง หากว่าช้ากว่านี้ไปอีกสักสองสามวัน นางและหลี่จิ้งก็คงจะออกเดินทางกลับลั่วหยางไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจเดินทางมาจิงเฉิงเพื่อมาร่วมงานแต่งงานของโจวเสาจิ่น ยังให้โจวเสาจิ่นให้การรับรองนางให้ดี ไม่อย่างนั้นอย่าได้คิดว่านางจะเรียกโจวเสาจิ่นว่า ‘อาสะใภ้’ เด็ดขาด และบอกอีกว่า ข้ามีของดีจะมอบให้เจ้าด้วย ให้เจ้าเอาไว้ใช้ในคืนแต่งงาน...
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันร้อนจนแดงก่ำ ต่อว่าเฉิงเจียในใจไม่หยุดว่า ไม่มีช่วงเวลาที่อยู่สงบๆ ได้แม้แต่เค่อเดียว ไม่รู้ว่าหลี่จิ้งทนนางได้อย่างไร นางเอาจดหมายของเฉิงเจียไปเก็บไว้ในกล่อง จากนั้นสั่งการให้ชุนหว่านไปเชิญโจวชูจิ่นมาหา กล่าวว่า “ในบ้านยังมีห้องว่างอยู่อีกหรือไม่ พี่สาวเจียและพี่เขยจะมาร่วมงานแต่งด้วยเจ้าค่ะ”
วันแต่งงานของนางใกล้เข้ามาแล้ว ตามหลักแล้วนางควรจะกลับไปรอออกเรือนอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นโจวเจิ้นหรือว่าเฉิงฉือ ล้วนสงสารนางที่ต้องทนรับความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบากจากการนั่งรถม้า จึงตัดสินใจให้นางรอออกเรือนอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนที่จิงเฉิงแทน แต่โจวเจิ้นก็ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งงาน ส่วนหลี่ซื่อก็ได้รับการตรวจชีพจรพบว่ากำลังตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาจำต้องฝากฝังให้เลี่ยวเส้าถังสองสามีภรรยาช่วยส่งโจวเสาจิ่นออกเรือนแทน โจวเสาจิ่นจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเก้าวัน ประจวบเหมาะกับเป็นวันหยุดของราชสำนัก นางก็จะได้อยู่ที่เมืองเป่าติ้งนานขึ้นอีกสักสองสามวันด้วยพอดี
ชาติก่อนก็เป็นเลี่ยวเส้าถังสองสามีภรรยาที่เป็นคนส่งโจวเสาจิ่นออกเรือน
โจวเสาจิ่นจึงไม่ได้คิดมากอะไร
โจวชูจิ่นกลับรู้สึกผิดต่อน้องสาวเล็กน้อย ก็เลยมาช่วยงานตั้งแต่เช้า นอกจากคอยสั่งการบ่าวรับใช้ทำความสะอาดแล้ว เรื่องงานเลี้ยงและของที่ต้องใช้ในพิธีแต่งล้วนคัดสรรด้วยความเอาใจใส่ มักจะต้องเป็นร้านที่ดีกว่าร้านอื่นๆ ถึงจะตัดสินใจเลือกใช้
และฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เมืองจินหลิงก็ส่งจดหมายมาบอกแล้วว่าจะพาเฉิงเหมี่ยนและคนอื่นๆ มาร่วมงานแต่งงานของโจวเสาจิ่นด้วย
แน่นอนว่าโจวชูจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลโจวมิได้มีญาติสนิทมิตรสหายที่จิงเฉิงมากนัก มีคนของจวนสี่มาร่วมด้วย งานแต่งของโจวเสาจิ่นก็จะครึกครื้นขึ้นมาก และก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าจวนสี่ยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออนาคตในภายภาคหน้าของโจวเสาจิ่น
นางจึงเก็บกวาดห้องรับรองแขก จัดเตรียมที่นอน อาหารการกินเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว รอเพียงให้คนมาถึงเท่านั้น
ตอนนี้มีเฉิงเจียและหลี่จิ้งเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง เกรงว่าห้องหับคงจะไม่ค่อยพอแล้วเป็นแน่
โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็คงต้องลำบากเฉิงเจียแล้ว จัดหาห้องว่างจากเรือนด้านหลังที่มีสินเจ้าสาวของเจ้าวางกองเอาไว้นั้นมาสักห้องหนึ่งให้เฉิงเจียเข้าพัก ส่วนหลี่จิ้งให้เบียดเสียดอยู่ห้องเดียวกับเฉิงอี้ก็แล้วกัน”
โจวเจิ้นเองก็จัดเตรียมสินเจ้าสาวให้โจวเสาจิ่นหนึ่งร้อยยี่สิบคนหามเหมือนกับที่จัดให้โจวชูจิ่น วางกองเต็มเรือนด้านหลังไปหมด
โจวเสาจิ่นหน้าแดง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านพี่แล้วเจ้าค่ะ”
ตอนนี้นางเป็นหญิงสาวที่กำลังจะออกเรือน จึงไม่อาจไปไหนมาไหนตามใจชอบได้
โจวชูจิ่นยิ้มร่า พลางกล่าว “เจ้าทำตัวเกรงใจกับข้าขึ้นมาแล้วหรือ!”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
ชาติก่อนนางอยากจะขอบคุณพี่สาวมาตลอด เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้พูดกับพี่สาว ประโยคที่บอกว่าลำบากท่านพี่แล้วของชาตินี้นั้น เป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจที่รวมกับของชาติที่แล้วด้วย
นางยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
โจวชูจิ่นลูบศีรษะของนาง บอกให้ชุนหว่านไปคอยกำกับป้ารับใช้เคลื่อนย้ายหีบ
มีสาวใช้หลายคนเดินห้อมล้อมฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่สีหน้าดูมีความขัดเขินอยู่ด้วยหลายส่วนเข้ามา
นางเห็นโจวชูจิ่นรีบสาวเท้าออกมาต้อนรับ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยเหลือบ้างหรือไม่ กวนเกอเล่า หากเจ้าไม่มีเวลา ส่งเขาไปอยู่ที่เรือนของข้าก็ได้ ข้าจะช่วยดูเขาให้เอง”
โจวเสาจิ่นคือคนที่โจวชูจิ่นให้ความสำคัญมากที่สุด นับตั้งแต่ที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวคำพูดเช่นนั้นเป็นต้นมา โจวชูจิ่นก็เย็นชากับแม่สามีเล็กน้อย
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก พ่อบ้านของซอยอวี๋เฉียนมีความสามารถมาก ข้าเองก็เพียงแค่ช่วยดูและเอ่ยย้ำเตือนบางเรื่องเท่านั้น มิได้ยุ่งอะไร ส่วนกวนเกอเมื่อครู่ถูกแม่นมอุ้มไปเล่นที่ลานบ้านมากว่าครึ่งค่อนวัน เพิ่งจะกลับไปนอนที่ห้องเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ช่วงนี้เชื่อฟังเป็นอย่างมาก ไม่ร้องไห้และไม่ดื้อไม่ซนเลย หากข้าดูแลไม่ไหวจริงๆ ค่อยรบกวนให้ท่านช่วยดูแลเขาให้ก็ยังไม่สาย”
ปฏิเสธฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปอย่างไม่อ่อนข้อแต่ก็ไม่แข็งกระด้างจนเกินไป
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กล่าวได้ว่าคำพูดของโจวชูจิ่นในวันนั้นก้องกังวานอยู่ในหูราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้นางนอนไม่หลับเลยทีเดียว
เดิมทีเหตุผลที่นางคิดจะเป็นแม่สื่อให้อาเซวียนนั้นก็เพราะอยากจะประจบประแจงตระกูลฟาง เพื่อให้บุตรชายได้มีอนาคตที่ดี
แต่ถ้าบุตรสะใภ้ของนางช่วยเหลือบุตรชายของนางในเรื่องหน้าที่การงานได้ แล้วเหตุใดนางต้องเห็นผิดเป็นชอบ ละทิ้งบุตรสะใภ้แล้วไปประจบประแจงตระกูลฟางด้วยเล่า
ครั้นคิดได้แล้ว ท่าทีของฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่มีต่อโจวชูจิ่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงทำตัวใจดีน่าคบหา ยังหาโอกาสมาช่วยเหลือเรื่องงานแต่งของโจวเสาจิ่น อยากบรรเทาความบาดหมางก่อนหน้านี้ให้เบาบางลง
นางเป็นเช่นนี้ โจวชูจิ่นเห็นแล้วรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย
ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็เป็นแม่สามีของนาง เป็นคนที่ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต อะไรที่เมตตาต่อกันได้ก็เมตตาต่อกันเถิด
น้ำเสียงของนางอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ท่านมาอย่างไรเจ้าคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวได้ยินแล้วบังเกิดความยินดีอย่างคาดไม่ถึงเล็กน้อย รีบกล่าวขึ้นว่า “เปล่า ไม่มีเรื่องอะไร ข้าก็เพียงมาดูสักหน่อยเท่านั้น พวกเจ้ายังเด็ก ยังมีประสบการณ์ไม่มาก เรื่องงานแต่งนี้มีเรื่องจุกจิกเป็นพันเป็นหมื่นอย่าง ข้ากลัวว่าเจ้าจะมีตรงส่วนไหนที่หลงลืมไปได้”
โจวชูจิ่นจึงใช้โอกาสนี้เดินลงมาจากบันไดแห่งความบาดหมางนั้นเสีย กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากท่านมาช่วยให้คำชี้แนะได้ ก็นับเป็นคุณแก่ข้าแล้ว”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบกล่าวขึ้นว่า “พูดอะไรชี้แนะไม่ชี้แนะกัน คนครอบครัวเดียวกันอย่าได้กล่าวเป็นคนอื่นเลย มิใช่ว่าฮูหยินฝั่งสะใภ้ตั้งครรภ์แล้วหรือ ได้ไปจุดธูปที่วัดแล้วหรือยัง ทราบหรือยังว่าเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อข้าบอกว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาวก็ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นการอำนวยพรขององค์พระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น อย่างมากก็สู่ขอบุตรเขยเข้าบ้านมาเลี้ยงดูบิดามารดายามแก่ชราสักคนก็พอแล้ว อย่างไรเสียเขาก็มีบุตรสาวมากกว่าหนึ่งคนอยู่แล้ว”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ้มร่า พลางกล่าว “นายท่านฝั่งสะใภ้ช่างเป็นคนใจกว้างผู้หนึ่งจริงๆ…”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนมพลางเดินเข้าห้องโถงไป เพียงแต่ยังไม่ทันได้นั่งลงดีๆ ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ต้ากูไหนไนเจ้าคะต้ากูไหน่ไน กูไหน่ไนที่สี่ของตระกูลเฉิงและสามีมาถึงแล้ว ได้ยินว่าใกล้จะเข้าเมืองมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหตุใดเฉิงเจียถึงมาถึงอย่างรวดเร็วขนาดนี้
โจวชูจิ่นรีบเอ่ยขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบเชิญพ่อบ้านเซี่ยงไปรอต้อนรับที่หน้าประตูเมือง”
โจวเสาจิ่นที่อยู่ในห้องชั้นในได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วก็เดินออกมาด้วยเช่นกัน เอ่ยถามไม่หยุดว่า “พี่สาวเจียและพี่เขยมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า เชิญฮูหยินใหญ่เลี่ยวนั่งในห้อง ส่วนตนรีบร้อนจะออกไปข้างนอก “ข้าต้องไปดูที่เรือนด้านหลังสักหน่อย กลัวว่าทางด้านโน้นจะยังเก็บกวาดไม่เสร็จ!”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบเอ่ยขึ้นว่า “หรือไม่ก็ให้ไปพักที่บ้านของพวกเราทางด้านโน้นก็ได้!”
แล้วก็สอบถามด้วยว่ากูไหน่ไนที่สี่ของตระกูลเฉิงคือผู้ใด
โจวเสาจิ่นบอกให้นางทราบว่าเป็นใคร
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวตกตะลึงงัน
นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ตระกูลเฉิงจวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว จะยังมีคนของจวนสี่และจวนสามมาร่วมงานแต่งของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นด้วย
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงจวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันนั้นเกรงว่าอาจจะมิใช่จวนหลักที่ใช้จ่ายไปอย่างบุ่มบ่ามสุรุ่ยสุร่ายเสียทีเดียว
แต่โจวเสาจิ่นไม่ได้เจอเฉิงเจียมานานแล้ว จึงอยากรั้งให้เฉิงเจียพักอยู่ที่บ้านด้วยมากกว่า ก็เลยปฏิเสธข้อเสนอของฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปอย่างอ้อมๆ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเองก็มิได้คะยั้นคะยอนาง ถามชุนหว่านว่า “ในบ้านเตรียมอาหารและเครื่องดื่มแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้เตรียม ต้องรีบส่งคนไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่ภัตตาคารที่รู้จักมักคุ้นด้วยกลับมาสักหน่อยถึงจะถูก” จากนั้นสั่งการจงมามาว่า “ให้คนไปแจ้งคุณชายใหญ่สักหน่อย บอกว่าบุตรเขยของตระกูลเฉิงจวนสามมา ให้เขากลับมาอยู่เป็นเพื่อนแขกเร็วสักหน่อย”
แล้วก็ช่วยสองพี่น้องตระกูลโจวต้อนรับแขก
โจวชูจิ่นเห็นนางมีเจตนาดีก็เลยปล่อยให้นางทำตามใจ
ไม่นาน เลี่ยวเส้าถังก็เร่งกลับมาถึง หลี่จิ้งสองสามีภรรยาก็มาถึงแล้วเช่นกัน
หลี่จิ้งถูกพาตัวไปดื่มน้ำชาที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอก ส่วนเฉิงเจียถูกพาไปให้การรับรองที่เรือนชั้นใน
โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน
เมื่อทั้งสองได้พบหน้ากัน เฉิงเจียก็คว้าโจวเสาจิ่นมากอดเอาไว้ กล่าวอย่างดีใจว่า “ข้ามาถึงเร็วหรือไม่! พวกข้าเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ละเว้นการเข้าพักที่จุดพักม้าหลายต่อหลายครั้งและนอนบนรถม้าแทน เจ้าต้องให้รางวัลข้าด้วยการเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มข้าเป็นอย่างดี ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว!”
ไม่ง่ายเลยกว่าโจวเสาจิ่นจะหลุดออกมาจากอ้อมกอดของนางได้ เห็นนางสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้วก็ดูมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ดูคล้ายโบตั๋นดอกตูมที่ในที่สุดก็ได้เบ่งบานเสียที เปล่งประกายความงดงามและสว่างสดใสออกมาจนบดบังผู้คนไปหมด จึงรู้ได้ว่าหลังจากที่นางแต่งงานกับหลี่จิ้งแล้วมีชีวิตที่ดีเป็นอย่างมาก ก็เลยรู้สึกดีใจแทนนางไปด้วยอย่างห้ามไม่อยู่ กระบอกตารื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูสภาพของเจ้า เครื่องหน้าก็ซีด เครื่องประดับก็เอียงกระเท่เร่หมดแล้ว ยังไม่รีบไปล้างหน้าล้างตาในห้องอีก”
เฉิงเจียหัวเราะร่า ไม่เก็บมาใส่ใจ ท่าทางดูสบายๆ เป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงสตรีที่ได้รับความรักและทะนุถนอมมาอย่างดีเท่านั้นถึงจะไร้ความกังวล ไม่หวาดกลัวอะไรได้ขนาดนี้
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับแนะนำนางให้รู้จักกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว จากนั้นพานางไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่ห้องชั้นในของตัวเอง
ตอนที่เฉิงเจียนั่งอยู่ข้างกระจกปล่อยให้สาวใช้ช่วยแปรงผมให้นางอยู่นั้นก็บอกให้ชุ่ยหวนไปหยิบกล่องไม้จันทน์สีแดงกล่องหนึ่งมาให้โจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าลองเปิดดู ข้ามอบเป็นสินเจ้าสาวให้เจ้า”
ของที่หลี่จิ้งเคยมอบให้เฉิงเจียเมื่อก่อนนั้นล้วนมิใช่ของธรรมดาสามัญเลยสักชิ้น นางจะแต่งงาน ของที่เฉิงเจียมอบให้นางก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน
โจวเสาจิ่นเปิดดู เป็นเครื่องประดับศีรษะดอกไม้ดอกหนึ่ง
ดอกมีขนาดใหญ่เท่าปากถ้วย กลีบดอกทำจากหินโมราสีฟ้า ส่วนเกสรดอกไม้ทำจากหินโมราสีเหลือง ยังมีอัญมณีแกะสลักเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าปีกทั้งสองข้างของผีเสื้อตัวนั้นทำมาจากอะไร ดูไหวระริกเล็กน้อย คล้ายกับกำลังจะโบยบินออกมาก็ไม่ปาน ประณีตบรรจงยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดอกใหญ่ขนาดนี้ เจ้าจะให้ข้าเอาไว้สวมใส่ตอนไหนหรือ!”
เฉิงเจียขุ่นเคือง “มอบของให้เจ้าก็ไม่เลวแล้ว เจ้ายังจะมาบ่นว่าจะเอาไว้สวมใส่ตอนไหนอีก ถ้าเจ้าไม่อยากได้ เช่นนั้นข้าเอาคืนมาก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นอดหัวเราะไม่ได้
เฉิงเจียเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน พลางกล่าว “นี่เป็นของที่หลี่จิ้งมอบให้เจ้า ของที่เขามอบให้ผู้อื่นมักจะสนใจแต่ว่าต้องเป็นของมีราคาแพง ส่วนด้านล่างนั่นถึงจะเป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นถึงค้นพบว่าด้านล่างของเครื่องประดับศีรษะดอกไม้ชิ้นนั้นยังมีขวดแก้วทรงสี่เหลี่ยมเลี่ยมทองขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้งวางอยู่ด้วยขวดหนึ่ง
เฉิงเจียบอกนางว่า “นี่เป็นของที่มาจากดินแดนตะวันตก ใช้สำหรับบรรจุน้ำหอม เจ้าพกติดตัวเอาไว้ ทั้งดูงดงามและได้ใช้ประโยชน์ ดีกว่าลูกตุ้มเผาเครื่องหอมมากนัก นี่เป็นของที่ข้ารักมากที่สุด ตอนนี้ข้ามอบมันให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณยิ้มๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉิงเจียแปรงผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางดีดตัวลุกขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้น่าจะยังมีดอกกล้วยไม้บานอยู่กระมัง พวกเราทำน้ำหอมสักหน่อยดีหรือไม่ จะได้เอาไว้ใช้ช่วงที่เจ้าแต่งงานพอดี”
ราวกับได้กินยาบำรุงเข้าไปก็ไม่ปาน พละกำลังเหลือล้นไม่มีลดลงเลย