ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 459 ผลกระทบ
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวอย่างไร้ทางเลือกว่า “เวลานี้ใครจะมีเวลาว่างทำน้ำหอมกันเล่า หากเจ้าชื่นชอบจริงๆ ที่ประตูซีจื๋อทางด้านโน้นมีร้านเครื่องหอมอยู่หลายร้าน ของที่ขายล้วนเป็นสินค้าที่ส่งมาจากก่วงตงและเฉวียนโจวทางด้านโน้นทั้งสิ้น มีน้ำหอมทุกประเภททุกอย่างไม่เคยขาด ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนไปซื้อเป็นเพื่อนเจ้าสักสองสามขวดก็ได้แล้ว”
เฉิงเจียเบิกดวงตาโพลงร้องขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เสาจิ่น ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาแต่อยู่ในบ้านอย่างเคร่งครัด คิดไม่ถึงว่าเจ้ามาอยู่จิงเฉิงได้แค่ไม่กี่เดือน ก็รู้แล้วว่ามีน้ำหอมขายที่ไหนบ้าง”
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “ข้าเคยออกไปข้างนอกกับพี่สาวเจิงมาก่อนสองสามครั้ง”
เฉิงเจียเอามือปิดปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “พี่สาวเจิงอย่างนั้นหรือ! ตอนนี้เจ้ายังจะเรียกพวกข้าว่าพี่สาวอยู่หรือ เช่นนั้นท่านอาฉือเล่าจะทำอย่างไร”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
เฉิงเจียจึงโอบไหล่นางเอาไว้ กระซิบที่ข้างหูนางว่า “เจ้าพูดความจริงกับข้ามาว่าเจ้าไปลงเอยกับท่านอาฉือได้อย่างไร ตอนที่เกิดเรื่องเฉิงสวี่นั่น ข้าเห็นเจ้ากับท่านอาฉือยังดีๆ กันอยู่เลยนี่นา!”
“เจ้าพูดไร้สาระอันใดกัน” โจวเสาจิ่นงึมงำกล่าวพลางหมุนกายผลักเฉิงเจียออกไป “วันทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ ไม่แปลกที่เจ้ามักจะเอาแต่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ในจดหมายทุกครั้ง!”
เฉิงเจียยักไหล่พร้อมกับหัวเราะฮ่า กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย รีบบอกมาว่าเจ้าอยู่จิงเฉิงทำอะไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากตอบคำถามด้วยเช่นกัน จึงไม่สนใจเฉิงเจีย
เฉิงเจียได้แต่หัวเราะร่วน คล้องแขนโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางเดินออกมาจากห้องชั้นใน
โจวชูจิ่นให้คนไปอุ้มกวนเกอเข้ามาแล้ว
เฉิงเจียให้ความรักความเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง มอบจี้กุญแจอายุยืนยาวทำจากเงินและทองให้อย่างละหนึ่งคู่ ยังมีกำไลทองของเด็ก เสื้อผ้าถุงเท้าและรองเท้าสำหรับทั้งสี่ฤดู ของเล่น และอื่นๆ อีกมากมาย มีด้วยกันทั้งหมดหนึ่งหีบ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมองจนคิ้วกระตุก คิดไม่ถึงว่าเฉิงเจียจะมีน้ำใจกับโจวชูจิ่นมากขนาดนี้
ช่วงหัวค่ำ ชุนหว่านเข้ามารายงานว่าจัดเก็บห้องหับเรียบร้อยแล้ว เชิญเฉิงเจียไปดูสักหน่อย
เฉิงเจียกลับเอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้ข้าจะนอนกับเสาจิ่น อีกสองวันก็จะกลับไปอยู่บ้านของพวกข้าที่ประตูซีจื๋อทางด้านโน้นแล้ว”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวโพล่งออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “พวกเจ้าซื้อบ้านที่ประตูซีจื๋อเอาไว้ด้วยหรือ”
นับตั้งแต่เฉิงเจียแต่งงานกับหลี่จิ้งเป็นต้นมา ได้เจอคนที่ดูแคลนคนเป็นพ่อค้าและดูแคลนคนตระกูลหลี่เช่นนี้มาไม่น้อย กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ถือสาว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! เป็นบ้านของตระกูล แต่ว่าไม่ค่อยได้อยู่สักเท่าไรนัก”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบกล่าวแก้สถานการณ์ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้อยู่ที่นี่เสียดีหรือไม่ มิใช่ว่าที่นี่ไม่มีที่ให้พัก!”
เฉิงเจียปฏิเสธไปอย่างสุภาพว่า “สามีของข้ามาจิงเฉิง อย่างไรก็ต้องไปพบปะญาติสนิทมิตรสหายสักหน่อย ไปอยู่ที่โน่นจะสะดวกกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวไม่กล้ากล่าวอะไรมากอีก
ตกกลางคืน เฉิงเจียจึงพักอยู่ในห้องของโจวเสาจิ่น ส่วนหลี่จิ้งกลับขอตัวลากลับไปก่อน บอกว่าอีกสองวันค่อยมารับเฉิงเจียอีกครั้ง
ตอนที่เฉิงเจียส่งหลี่จิ้งออกประตูไปนั้นดูอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ในเมื่ออาลัยอาวรณ์นัก ก็ตามไปด้วยเลยก็ได้แล้ว มิใช่ว่าที่นี่ข้าไม่มีคนอยู่ด้วยเสียหน่อย”
เฉิงเจียหน้าแดง ปฏิเสธอย่างดื้อดึงว่า “อย่าสนใจเขาเลย ไม่อาจตามใจเขาทั้งวันจนเคยตัวได้”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งประเภทนี้
เฉิงเจียจึงกระซิบที่ข้างหูของนางเนิ่นนาน ทั้งหมดล้วนเป็นถ้อยคำที่สตรีควรจะสงวนไว้ไม่กล่าวถึงทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วรู้สึกอึดอัดใจหายใจไม่ออก
หากทำตามแนวคิดของเฉิงเจีย ยามอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือ…นางจะต้องไม่เหลือหน้าตาแม้แต่นิดเดียวแล้วเป็นแน่
เฉิงเจียเห็นนางขมวดคิ้วมุ่น จึงถามนางยิ้มๆ ว่าเป็นอะไรไป
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างลังเลว่า “ยามอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบ มิใช่ว่าต้องทำให้เขารู้ว่าเจ้าชอบเขาหรอกหรือ แต่ตามที่เจ้ากล่าวมา กลับกลายเป็นว่าปฏิบัติต่อผู้อื่นดีกว่าคนที่ตัวเองชอบเสียอีก นี่มิใช่การสร้างความลำบากให้คนที่ตัวเองชอบหรอกหรือ”
เฉิงเจียตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดถูกหรือไม่ ได้แต่กล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นัก”
ทว่าเฉิงเจียราวกับเห็นแสงสว่างขึ้นมาในทันใด ประคองดวงหน้าของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วก็หอมแก้มนางแรงๆ ไปฟอดหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นน้องสาวของข้า แต่เหตุใดถึงเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าข้าเสียอีก”
โจวเสาจิ่นหลบไม่พ้น ถูแก้มตัวเองอย่างเคืองๆ ทว่าในใจกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงเจียหัวเราะฮ่า ท่าทางคล้ายกับว่าทนอยู่ต่อไปไม่ได้แม้แต่เค่อเดียวแล้วก็ไม่ปาน กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะกลับไปที่ประตูซีจื๋อตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่ วันมะรืนข้าจะเอามาให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าซื้อน้ำหอมมาให้ข้าสักหน่อยก็แล้วกัน! ขอที่ดูประณีตหรูหราและกลิ่นอ่อนสักหน่อย”
เฉิงเจียชำเลืองมองนางยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นขัดเขินจนใบหูแดงไปหมด
สองพี่น้องซุกตัวอยู่ในผ้าห่มพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉิงเจียก็วิ่งกลับไปที่ประตูซีจื๋อด้วยตัวเอง
ความยินดีอย่างคาดไม่ถึงของหลี่จิ้งนั้นไม่ต้องสาธยายถึง รู้สึกว่าญาติฝั่งภรรยานั้นมีเพียงโจวเสาจิ่นผู้เดียวที่ควรค่าให้คบหาด้วย ไม่ว่าเฉิงเจียจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายซื้อนั่นซื้อนี่ให้โจวเสาจิ่นก็ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เฉิงเจียมาถึงจิงเฉิงเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จแล้ว เขาก็ไปเดินย่านขายของของจิงเฉิงกับเฉิงเจียจนทั่วไปแล้วรอบหนึ่ง
โจวชูจิ่นอดตำหนินางยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “เหตุใดถึงทำเหมือนกับไม่เคยได้พบเห็นสิ่งของมาก่อนเช่นนี้เล่า หีบของเสาจิ่นบรรจุอะไรเพิ่มอีกไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ของพวกนี้เก็บเอาไว้ค่อยให้นางเป็นการส่วนตัวคราวหลังเถิด!”
เฉิงเจียไม่เห็นด้วย บอกโจวเสาจิ่นว่า “ข้าไปที่ประตูเฉาหยางมาแล้ว ทางด้านโน้นตกแต่งได้งดงามยิ่งนัก กล่าวกันตามจริงแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าจัดเตรียมงานแต่งอย่างกะทันหันเกินไปเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นแล้วจริงๆ! ท่านอาสะใภ้เว่ยและพวกพี่สาวเจิงล้วนอยู่ช่วยงานที่นั่นกันทุกคน”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงไม่ได้พูดอะไร
เฉิงฉือเองก็พูดเหมือนกันว่าทำให้นางต้องลำบากแล้ว ยังบอกด้วยว่าเป็นเพราะเขาอยากตบแต่งนางกลับไปให้เร็วสักหน่อย
นางมิได้รู้สึกลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่า เฉิงฉือกลัวว่าหากเวลาล่าช้าออกไปนานเกินไป พวกญาติพี่น้องจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ขึ้นมา นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เฉิงเจียเองก็มีเรื่องที่มิได้เล่าให้โจวเสาจิ่นฟังเช่นกัน
ตอนที่นางไปนั้นไม่เจอหยวนซื่อ ได้ยินว่านางป่วย กลัวว่าจะแพร่เชื้อให้คนที่ประตูเฉาหยาง จึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็นหลายวันแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
นางมอบถุงหอมให้โจวเสาจิ่นชิ้นหนึ่ง ให้นางนำไปวางไว้ที่ใต้หมอนในคืนแต่งงาน กระซิบบอกนางด้วยว่า “ได้ยินว่าวัดหงหลัวของจิงเฉิงนั้นขอบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด นี่เป็นของที่ข้าและพี่สาวเซิงไปขอที่วัดหงหลัวมาเมื่อหลายวันก่อน พวกเราสองคนคนละหนึ่งชิ้น”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว พึมพำกล่าวขอบคุณเฉิงเจีย
เฉิงเจียมิได้ใส่ใจ โบกมือเป็นพัลวัน จากนั้นลากโจวเสาจิ่นไปดูขอนไม้ชิ้นหนึ่งที่นางเพิ่งซื้อกลับมาจากเฟิงไถ “ให้พี่เขยของเจ้าเอาไว้แกะสลัก เจ้าไม่รู้อะไร เขาชื่นชอบเรื่องพวกนี้ยิ่ง!”
ในคำพูดนั้นยากที่จะปกปิดความรักใคร่ผูกพันเอาไว้ได้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
หลังจากที่รับประทานมื้อเย็นที่ซอยอวี๋เฉียนแล้ว เฉิงเจียก็กลับประตูซีจื๋อไปด้วยความอิ่มเอมใจ
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลี่จิ้งจะกลับมาถึงตั้งนานแล้ว ถือจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ใต้โคมไฟ
เฉิงเจียร้อง “ไอ้โหยว” เสียงหนึ่งขณะเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ท่านกลับมาแล้วเหตุใดถึงไม่ให้คนไปเรียกข้า ข้าเองก็จะได้กลับมาเร็วสักหน่อย!”
หลี่จิ้งได้สติคืนกลับมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็เพิ่งกลับมาถึง” จากนั้นยื่นจดหมายส่งให้เฉิงเจีย เอ่ยขึ้นว่า “เป็นจดหมายของพี่ชายใหญ่”
เฉิงเจียขมวดคิ้วน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น เปิดจดหมายต่อหน้าหลี่จิ้ง แต่กวาดตามองไปเพียงสองครั้งสีหน้าก็เคร่งขึ้นมา
หลี่จิ้งอดทอดถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้
ทุกครั้งที่มีจดหมายของเฉิงเจิ้งมาล้วนมิใช่เรื่องดีอะไร
ถ้าหากเป็นเพียงเรื่องเงินทองก็จัดการง่ายสักหน่อย แต่บางครั้งกลับเป็นเรื่องที่ทำให้เฉิงเจียต้องเสียใจ
เขาก้าวออกไปโอบกอดเฉิงเจียเอาไว้ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่”
จดหมายที่อยู่ในมือของเฉิงเจียถูกหยิกขยี้จนเป็นรอย เฉิงเจียกัดฟันกรอด กว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่บอกข้าว่า เสาจิ่นใกล้จะแต่งงานแล้ว ให้ข้ามาส่งเสาจิ่นออกเรือนที่จิงเฉิง ถึงเวลานั้นเขาเองก็จะมาด้วยเช่นกัน…”
หลี่จิ้งรับช่วงดูแลตระกูลหลี่มาตั้งแต่อายุยังน้อย ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไปประเภทนั้น
ได้ยินเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าเฉิงเจิ้งหมายถึงอะไร
เขาถามขึ้นอย่างลังเลว่า “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
เฉิงเจียตาแดง น้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย สะอื้นไห้พลางกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่อยากสนใจเรื่องนี้”
หลี่จิ้งกล่าวขึ้นว่า “แต่ถ้าพี่ชายใหญ่มาจิงเฉิงและได้พบเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่สนใจเรื่องนี้ก็ไม่ได้นี่นา!”
เฉิงเจียกล่าวอย่างหนีปัญหาว่า “เช่นนั้นถึงเวลาพวกเรากลับไปก่อนได้หรือไม่”
หลี่จิ้งกล่าว “เจ้าจะไม่เข้าร่วมงานแต่งของคุณหนูรองตระกูลโจวแล้วหรือ”
เพราะเรื่องนี้พวกเขาถึงได้ตั้งใจเดินทางเข้าเมืองหลวงมาเป็นพิเศษ
เฉิงเจียลังเลตัดสินใจไม่ได้
หลี่จิ้งจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้ามีวิธีหนึ่ง เจ้าอยากฟังหรือไม่”
เฉิงเจียรีบถามขึ้นว่า “วิธีอะไรเจ้าคะ” มองเขาด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ
หลี่จิ้งกล่าว “มิสู้พวกเราไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางดีหรือไม่”
เฉิงเจียตกตะลึง
หลี่จิ้งกล่าว “ตอนนี้ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ต่อไปพวกเจ้าหลายๆ บ้านจะคบหากันอย่างไรนั้น ถือโอกาสตอนที่คุณหนูรองตระกูลโจวออกเรือนนี้แสดงท่าทีให้ชัดเจน พวกเราเข้าไปพักที่ประตูเฉาหยาง แน่นอนว่าตั้งใจจะใช้สถานะความเป็นญาติเกี่ยวดองกันของตระกูลเฉิงคบหากับจวนหลัก ถึงเวลานั้นเมื่อพี่ชายใหญ่ของเจ้าเข้าเมืองหลวงมา จะเข้าไปพักที่ประตูเฉาหยางได้หรือไม่นั้น นั่นก็เป็นเรื่องของจวนหลักแล้ว”
เฉิงเจิ้งก็แค่ลูกพลับอ่อนให้บดขยี้ได้ก็เท่านั้น
ไม่กล้าไปหาจวนหลักก็เลยมาหาเฉิงเจียให้ออกหน้าแทนเขา ให้นางใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ดั่งพี่สาวน้องสาวระหว่างโจวเสาจิ่นและนางอีกครั้ง
หลี่จิ้งแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงออกทางสีหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นก็ต้องดูว่าเจ้าอยากจะเรียกคุณหนูรองตระกูลโจวว่า ‘อาสะใภ้’ หรือว่าจะเรียกท่านอาฉือว่า ‘น้องเขย’ แล้ว”
เฉิงเจียเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
บิดาและพี่ชายอยากรับราชการมาโดยตลอด หากว่านางไม่ช่วยพี่ชาย เกรงว่าอนาคตของพี่ชายในภายภาคหน้าคงยากลำบากแล้ว แต่ถ้าหากว่านางช่วยพี่ชาย สิ่งที่พี่ชายกระทำเหล่านั้น ด้วยนิสัยของเสาจิ่นแล้วจะต้องไม่สนใจนางอีกต่อไปแล้วเป็นแน่
นางควรจะทำอย่างไรดี
เฉิงเจียกัดริมฝีปาก
หลี่จิ้งจึงโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน กล่าวขึ้นว่า “ที่ผ่านมาพวกเราได้อยู่ด้วยกันน้อยห่างกันเสียมาก ก็ไม่โทษที่เจ้าอยากไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหงหลัว เป็นข้าเองที่ไตร่ตรองได้ไม่รอบด้าน คิดว่าเจ้าอายุยังน้อย อีกสักสองสามปีค่อยเป็นแม่คนก็ยังไม่สาย ครั้งนี้พวกเราพักอยู่ที่จิงเฉิงนานสักหน่อยก็แล้วกัน รอให้เจ้าตั้งครรภ์แล้วพวกเราค่อยกลับลั่วหยางกัน ดีหรือไม่”
เขาไม่อยากให้เฉิงเจียตกเข้าไปอยู่ในวงจรความขัดแย้งของตระกูลเฉิง
รอให้เฉิงเจียมีบุตรแล้ว หัวใจดวงนี้ก็คงจะสงบสุขขึ้นมาได้แล้วกระมัง
เฉิงเจียตกใจเป็นอย่างมาก ล้อมหลี่จิ้งไว้แล้วทุบตีเขาขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นท่านที่ไม่อยากมีลูก…ข้าคิดว่าเป็นเพราะข้ามีปัญหาอะไรเสียอีก...เจ้าคนผู้นี้ ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่คิดจะปรึกษาข้าสักคำ…ข้าจะไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนสักสองสามวัน”
“ผู้อื่นกำลังจะออกเรือนอยู่แล้ว” หลี่จิ้งยิ้มขื่นปล่อยให้เฉิงเจียระบายอารมณ์ เกลี้ยกล่อมนางอย่างอารมณ์ดี
กว่าครู่ใหญ่เฉิงเจียถึงได้สงบลงมา
แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจ นางก็หัวเราะออกมาอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวกับหลี่จิ้งว่า “ตามที่ท่านกล่าวมานั้น แน่นอนว่าข้าอยากเรียกท่านอาฉือว่า ‘น้องเขย’! แต่ว่าถ้าหากข้าเรียกท่านอาฉือว่า ‘น้องเขย’ เกรงว่าพวกพี่สาวเจิงและพี่สาวเซียวคงไม่สนใจไยดีข้าแล้วเป็นแน่ ข้าเรียกเสาจิ่นว่า ‘อาสะใภ้’ จะดีกว่า”
หลี่จิ้งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ในแววตาเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
เฉิงเจียวางจดหมายไว้ข้างๆ เข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องชั้นใน
หลี่จิ้งสั่งการพ่อบ้านเป็นการส่วนตัวว่า “หากพี่ภรรยาข้ามา ถ้าไม่ต้องรายงานให้สะใภ้ใหญ่ทราบได้พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปรายงานให้สะใภ้ใหญ่ทราบ”
พ่อบ้านเข้าใจความนัยนั้นดี ขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
หลี่จิ้งเองก็ตามเข้าไปในห้องชั้นในด้วย