ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 485 ทางสํารอง
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยความประหลาดใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เกรงว่านี่อาจจะเป็น แผนของเจ้าสี่ ไม่อย่างนั้นเจ้าสี่ย่อมไม่มีทางไปแสวงหาความเด่นดังนี้อย่างแน่นอน เป็นเพียงคน ตัวเล็กที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ราชสํานัก ก็กล้าไปจัดการเรื่องของสํานักข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้าอย่างไม่รู้ ฟ้าสูงแผ่นดินตํ่าแล้ว นี่มิใช่วิสัยของเจ้าสี่” ขณะที่กล่าว ก็เอ่ยกับโจวเสาจิ่นเสียงอบอุ่นว่า “ตอนนี้ เจ้าคงวางใจได้แล้วกระมัง! ทางด้านของลุงใหญ่ของเจ้า ข้าจะไปบอกเขาเอง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เอ่ยขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว
มีสาวใช้เด็กเข้ามาบอกว่านายหญิงผู้เฒ่าของบ้านใต้เท้าเผิงผู้เป็นหัวหน้าฝ่ ายเสมียน กรมการคลังให้คนนําโจ๊กล่าปามาส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
หัวหน้าฝ่ ายเสมียนกรมการคลังนั้นมียศขั้นห้าบน หากเป็นที่จวนที่ว่าการในต่างจังหวัด ถือได้ว่าเป็นขุนนางระดับสูง แต่ที่จิงเฉิงนี้ แม้แต่จะมาร้องไห้ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของเชื้อพระวงศ์ก็ยังมาปรากฏตัวไม่ได้ด้วยซํ้า ฮูหยินผู้เฒ่าผูกมิตรกับนายหญิงผู้เฒ่าผู้หนึ่งของ ขุนนางยศเท่านี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
โจวเสาจิ่นหันไปมองชิวซื่อ
ชิวซื่อส่ายศีรษะเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยังคงกล่าวกับพวกนางสองคนว่า “วันนี้วุ่นวายมาทั้งวัน พวกเจ้า เองก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ต่างคนต่างกลับไปพักผ่อนสักครู่หนึ่งเถิด! รอให้พวกเจ้าใหญ่และเจ้ารอง กลับมาแล้ว พวกเราค่อยมากินข้าวด้วยกันดีๆ สักมื้อหนึ่ง”
เนื่องจากต้องการพบคนที่นายหญิงผู้เฒ่าเผิงให้มาส่งโจ๊กผู้นั้น จึงอยากไล่พวกนาง ออกไป
4510
ชิวซื่อและโจวเสาจิ่นรู้สึกสงสัยยิ่งนัก แต่ยังคงย่อเขาทําความเคารพอย่างเชื่อฟังและ ออกมาจากเรือนหลักไป
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้ใหญ่ไปที่ใดแล้วหรือ”
ชิวซื่อทอดถอนหายใจกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่ายังมีธุระอีกเล็กน้อยที่ซอยซิ่งหลิน นาง กลับไปครั้งหนึ่งแล้วจะกลับมาใหม่ แต่ตอนที่ข้าออกไปส่งนางที่ประตูนั้น ได้ยินนางสั่งการคน หามเกี้ยวว่าให้ไปที่ซอยอีเถียว”
ซอยอีเถียวคือที่ตั้งบ้านของตระกูลหยวนแห่งถงเซียงที่จิงเฉิง
หยวนซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
ชิวซื่อกลับเป็นกังวลใจแทนนาง กระซิบกล่าวว่า “เสาจิ่น ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร กันแน่ เจ้าดู แม้แต่เรื่องที่บุตรสะใภ้ของหวงหลี่มีพื้นเพเป็นมาอย่างไรนั้น ท่านแม่ออกจากบ้านไป เพียงครั้งเดียวก็ทราบเรื่องแล้ว เกี้ยวที่นางนั่งไปก็เป็นเกี้ยวของตระกูลเฉิง หากท่านแม่คิด อยากจะรู้ ย่อมต้องรู้ตั้งนานแล้ว ท่านแม่บอกแล้วว่าให้นางไม่ต้องไปตระกูลหยวน ทว่านางก็ยัง ไปอีก นี่มิใช่ว่านางตั้งใจทําให้ท่านแม่ขุ่นเคืองอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ เมื่อก่อนนางมิใช่คนเช่นนี้นี่ นา!”
แต่มนุษย์ล้วนเปลี่ยนกันได้ทั้งนั้น!
ล้วนเปลี่ยนไปตามตําแหน่งและสถานะของตัวเอง
โจวเสาจิ่นถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “ข้าทําได้เพียงรับปากว่าหากท่านแม่ไม่ถามข้าก็จะไม่ พูด แต่ถ้าท่านแม่ถามถึงขึ้นมา ข้าย่อมต้องพูดความจริงเจ้าค่ะ”
4511
ก่อนออกเรือนนางเคยได้รับการสั่งสอนมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว ได้แต่งงานกับเฉิงฉือ ฮู หยินผู้เฒ่าก็ไม่คัดค้าน ตอนนี้เป็นแม่สามีของนางแล้ว นางย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว อยู่แล้วเป็นธรรมดา
ชิวซื่อฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ พลางกล่าว “ข้าเองก็คิดเช่นนี้!”
ทว่าในใจอดรู้สึกชื่นชมโจวเสาจิ่นมากขึ้นไม่ได้
คนที่กระทําสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาเช่นนี้มีไม่มากนัก
ความลําบากบีบคั้นให้นางมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เข้มแข็งกว่า อาเซิงตอนเด็กมากโข!
ทั้งสองคนไปดื่มนํ้าชาที่ห้องข้างด้านหลัง
หลี่ว์มามาออกไปส่งป้ารับใช้ของตระกูลเผิงด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นถามหลี่ว์มามาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลเผิงได้อย่างไร”
หลี่ว์มามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลเผิงแซ่อวี๋ พี่สาวคือฮูหยินเฟิ งเซิ่งที่ จากไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตระกูลฝั่งสามีของนายหญิงผู้เฒ่าเป็นคนบ้านเดียวกับเผิงเฉิงป๋ อ นาย หญิงผู้เฒ่าและฮูหยินเผิงเฉิงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่ง ตอนที่ฮูหยินเฟิ่ งเซิ่งยังมีชีวิตอยู่นั้น ไป มาหาสู่กับนายหญิงผู้เฒ่าบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงสนิทสนมกับฮูหยินเผิงเฉิงไปด้วย หลายปีมานี้ฮู หยินผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่าเผิงต่างครองตัวเป็นหม้ายอยู่ในบ้าน จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันนัก เป็นเมื่อหลายวันก่อนที่ส่งของขวัญเทศกาลปีใหม่กันนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจเพิ่มชื่อของตระกูลเผิง ลงไปเป็นพิเศษ ทั้งสองตระกูลถึงได้เริ่มไปมาหาสู่กันใหม่อีกครั้ง สองวันก่อนฮูหยินผู้เฒ่ายังไป เยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่าเผิงเป็นการเฉพาะอีกด้วย”
ฮูหยินเฟิ่ งเซิ่งคือแม่นมขององค์ฮ่องเต้
4512
โจวเสาจิ่นหัวใจกระตุก
หลายวันก่อนนางไปเยี่ยมเฉิงเจียพร้อมกับเฉิงเซิง ตอนกลับมาเห็นผ้าม่านเกี้ยวที่จอดพัก อยู่ในโรงจอดเกี้ยวหลังหนึ่งตากหิมะจนเปียกชื้นไปหมด ตอนนั้นนางยังคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าออกไป ที่ไหนมาใช่หรือไม่ ถามบ่าวที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่โรงจอดเกี้ยว บ่าวที่เฝ้าเวรยามอยู่ต่างบอกว่าไม่ ทราบ เพราะพวกเขาเพิ่งมาเข้าเวร ยังถามนางว่าต้องการให้ไปสอบถามคนที่อยู่เวรก่อนหน้านี้ หรือไม่
เวลานั้นนางอยากให้ไปสอบถามมาให้ ทว่าสาวใช้ในบ้านวิ่งมาบอกว่าท่านลุงตระกูลหลี่ ของเจียงซีให้คนนําของขวัญเทศกาลปีใหม่มาส่งให้เป็นจํานวนมาก เป็นของกว่าหลายคันรถ ฉินจื่ออี๋ตรวจสอบตามรายการของเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าคนที่มาส่งของขวัญผู้นั้นบอกว่าท่าน ลุงตระกูลหลี่สั่งการมาว่าจะต้องพบนางและโขกศีรษะให้นางสักครั้งแล้วค่อยกลับไปให้ได้ เนื่องจากมีหิมะตก ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ กลางคืนก็หนาวเย็นมากเป็นพิเศษ นางกลัวว่าจะทําให้ พวกเขากลับโรงเตี๊ยมล่าช้า จึงรีบเข้าไปที่เรือนชั้นใน คิดไม่ถึงว่าท่านลุงตระกูลหลี่ไม่เพียงส่งเนื้อ แพะทั้งตัวและเนื้อหมูทั้งตัวมาให้เป็นของขวัญปีใหม่เท่านั้น ยังมอบลิ่มทองให้อีกสองกล่องเต็มๆ อีกด้วย โจวเสาจิ่นปฏิเสธไม่ได้ จําต้องไปขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยชี้แนะ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นาง เก็บของเอาไว้ นางถึงได้กล้ารับของเอาไว้ เมื่อส่งป้ารับใช้ของตระกูลหลี่ออกไปแล้ว นางไปที่ ลานทิงเซียงอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสอนนางว่าควรจะ “ตอบแทนของขวัญ” อย่างไร ไปๆ มาๆ นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
ดูทีแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงจะออกจากบ้านในวันนั้นนั่นเอง หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่เอ่ยถึงสักคํา ปกติหากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่ไหนมาหรือทําอะไรมาบ้าง ล้วนจะพูดให้นางฟัง… โจวเสาจิ่นรู้สึกอยู่รางๆ ว่าดูเหมือนเรื่องนี้จะมิได้ง่ายๆ ธรรมดาสามัญขนาดนั้น
4513
แต่หากเจ้าให้นางอธิบายว่าเป็นความรู้สึกอะไรนั้น นางก็อธิบายออกมาไม่ได้ นางมิได้ คิดว่าตระกูลเฉิงมีสถานะสูงส่ง คนที่ไปมาหาสู่ด้วยล้วนเป็นสายหลักของตระกูลใหญ่ตระกูลโต พวกนั้น ตระกูลเผิงเป็นเพียงหัวหน้าฝ่ ายเสมียนกรมการคลังยศขั้นห้าบนผู้หนึ่งเท่านั้น การที่ ตระกูลเฉิงคบค้ากับพวกเขาแล้วจะเป็นการลดสถานะลงไปแต่อย่างใด
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังมีอะไรที่นางยังไม่รู้อีก
โจวเสาจิ่นเก็บความสงสัยไว้ในใจ
ตกบ่าย เฉิงเว่ยกลับมาถึงก่อน เขาบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “องค์ฮ่องเต้ทรงเรียกขุนนาง ใหญ่หลายท่านในสํานักราชเลขาธิการเข้าวัง พี่ใหญ่ส่งจดหมายมาบอกข้า อาจจะเป็นเรื่องของ เมืองจี่หนิงทางด้านโน้น เขาให้ข้ามาบอกท่าน เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะพยายามเจรจาให้อย่าง สุดความสามารถ ไม่ให้เจ้าสี่ต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้เขาถึงจะเหมือนคนเป็นพี่ชาย คนโต เป็นหัวหน้าของตระกูลเฉิง และเป็นคนที่รับผิดชอบจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้”
เฉิงเว่ยหัวเราะร่า พลางกล่าว “พี่ใหญ่ให้พวกเราไม่ต้องรอเขา เมื่อออกมาจากทางด้าน โน้นขององค์ฮ่องเต้แล้ว ไม่แน่ว่าขุนนางใหญ่ในสํานักราชเลขาธิการหลายท่านนั้นยังต้องถกกัน ต่ออีก…เขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาตอนใดขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รอเขาแล้ว เจียซ่านและรั่งเกอ เอ๋อร์มาถึงหรือยัง”
นางถามหลี่ว์มามา
“มาถึงกันแล้วเจ้าค่ะ” หลี่ว์มามากล่าวยิ้มๆ “กําลังเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ที่เรือนรับรองฝั่ง ถนนตะวันออกทางด้านโน้น อย่างมากอีกหนึ่งเค่อก็น่าจะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
4514
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่งอย่างพึงพอใจ หยวนซื่อกลับมาแล้ว
นางคารวะทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้ม นําขนมหลายกล่องมาให้ทุกคน บอกว่าซื้อมา ตอนที่เดินทางผ่านร้านขนมระหว่างทางกลับมา แต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ไปตระกูลหยวนเลยแม้แต่คํา เดียว
โจวเสาจิ่นและชิวซื่ออดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนต่างแสร้งทําเป็น ไม่ได้ยิน
ไม่นาน เฉิงสวี่และเฉิงรั่งก็เข้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามถึงการบ้านของเฉิงสวี่และเฉิงรั่ง ส่วนโจวเสาจิ่นหลบไปสั่งการสาวใช้ ต้มชาและเตรียมผลไม้อยู่ในห้องนํ้าชา
เฉิงสวี่กวาดตามองสตรีที่ยืนอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นโจว เสาจิ่น เขาบอกไม่ได้ว่ารู้สึกผิดหวังหรือยินดีกันแน่ เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งนัก
วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง เฉิงจิงก็เข้ามาหาแล้ว
สวมชุดขุนนางสีแดงสด คลุมทับด้วยเสื้อคลุมหนังกระรอก เข้าเรือนมาคารวะฮูหยินผู้ เฒ่ากัวโดยไม่ถอดเสื้อคลุมออก กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าก็ต้องไปท้องพระโรงแล้ว มา พูดคุยกับท่านเพียงครู่หนึ่งก็ไปเลย เมื่อวานสํานักราชเลขาธิการได้หารือกันแล้ว น้องสี่ไม่รายงาน สิ่งที่ทราบ ถือวิสาสะไปจัดการคนของกองทัพจี่หนิงโดยพลการ จึงถูกขับออกจากตําแหน่งที่ ปรึกษาของกรมโยธา แต่เห็นแก่ที่น้องสี่จัดการปัญหาได้อย่างเหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดการจลาจล ขึ้น จึงแต่งตั้งให้น้องสี่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ ายตรวจตรา ช่วยเจ้ากรมตรวจตราฝ่ ายขวาของกรมการ
4515
ตรวจตราดูแลเรื่องการขุดลอกแม่นํ้าเหลือง ชดเชยความผิดด้วยการกระทําดี วันนี้สํานักราช เลขาธิการน่าจะมีแถลงการณ์ หลิวหย่งผู้เป็นขันทีสนองพระโอษฐ์ผู้ตรวจฎีกาก็เห็นด้วยแล้ว ท่าน จึงวางใจได้แล้วขอรับ! ครั้งนี้ถือได้ว่าน้องสี่ได้รับโชคดีจากความโชคร้ายแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เกล้าเส้นผมสีดอกเลาเป็นมวยง่ายๆ มวยหนึ่ง และสวมชุดเพ่ยจื่อบุฝ้าย สีนํ้าตาลเข้มไร้ลวดลายนั้น ได้ยินแล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “พวกเจ้าพี่น้องต้องสามัคคีกัน ถึงจะตัดทองให้ขาดได้ รอให้พวกเจ้าเสร็จจากธุระสองสามวันนี้แล้ว เจ้าพาภรรยาและลูกมากิน ข้าวที่นี่สักมื้อก็แล้วกัน! แม่มีเรื่องจะหารือกับเจ้า”
เฉิงจิงขานรับคําอย่างนอบน้อม กล่าวอําลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วมุ่งหน้าไปที่วังหลวง
กระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยง โจวเสาจิ่นก็ได้ทราบข่าว
นางเผยรอยยิ้มยินดีออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ
ผ่านไปสองวัน มีประกาศลงมาว่า เฉิงฉือถูกลดขั้นไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราขั้นเจ็ด บน
เฉิงจิงพาหยวนซื่อและเฉิงสวี่มากินข้าว
เฉิงเว่ยเองก็พาชิวซื่อและเฉิงรั่งมาด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นร่างรายการอาหารและคอยกํากับคนครัวทําอาหารอยู่ในครัว จวนของเผิงเฉิง ป๋ อให้คนนําความมาส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าบอกว่าสองวันนี้เตรียมตัวจะ เข้าวังสักครั้งหนึ่ง ให้มาถามฮูหยินผู้เฒ่าว่ามีเวลาว่างหรือไม่ มิสู้เข้าวังไปนั่งเล่นกับองค์ฮองเฮา เหนียงเหนียงสักครู่หนึ่งพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้า”
4516
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบรับในทันที
เฉิงจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ไม่ได้อยู่จิงเฉิงมาสิบกว่าปี คิดไม่ถึงว่าองค์ฮองเฮาเหนียง เหนียงจะทรงจําท่านได้อยู่!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองหยวนซื่อที่ดวงหน้าซีดเผือดเล็กน้อย กล่าวอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อนว่า “บนโลกใบนี้มีขนมแป้งย่างไส้เนื้อให้กินเปล่าที่ไหนกัน ข้าก็แค่ระมัดระวังและเอาใจใส่มากกว่า ผู้อื่นเล็กน้อยเท่านั้น เข้าเมืองหลวงมาก็ไปเยี่ยมบ้านน้องสาวของฮูหยินเฟิ่ งเซิ่งครั้งหนึ่ง เล่าเรื่อง โศกสลดของข้าให้ฟัง ฮูหยินเผิงเฉิงผู้นั้นคงจะเวทนาโชคชะตาของข้า เมื่อเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์ ฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงอดพูดถึงสักสองสามประโยคไม่ได้ องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงได้ทรงนึก ถึงข้าขึ้นมา มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจกัน”
เฉิงจิงกระดากอาย กล่าวขึ้นว่า “กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นความผิดของข้า ทําให้ท่านแม่ ที่ควรจะได้ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีความสุข กลับยังต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นกังวลใจแทนพวกข้า ที่เป็นบุตรชายหญิงเหล่านี้อยู่อีก”
หยวนซื่อฟังแล้วดวงหน้ายิ่งซีดเผือดมากขึ้น ก้มหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้
ตระกูลหมิ่นไม่ได้เห็นตระกูลเฉิงเป็นพันธมิตรจริงๆ
นางอ้างว่ามีธุระไปที่ตระกูลหมิ่นมาแล้ว ถามถึงเรื่องแต่งงานของคุณหนูสองสามคนของ ตระกูลหมิ่น ทุกคนต่างปิดปากแน่นสนิท ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ปาน!
โชคดีที่แม่สามีไม่รู้ ไม่อย่างนั้นงานแต่งที่เรียกว่าเป็นการเกี่ยวดองกับตระกูลหมิ่นนั้นคง ได้กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้แล้ว หยวนซื่อบิดผ้าเช็ดหน้าแน่นอย่างอดไม่อยู่
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดึงตัวบุตรชายทั้งสองไปคุยกันในห้องอุ่น
4517
หยวนซื่อเห็นชิวซื่อและโจวเสาจิ่นล้วนถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอก ในใจถึงได้รู้สึกดีขึ้นมา เล็กน้อย
ภายในห้องอุ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยเรื่องที่ตนตั้งใจจะแยกบ้านให้สองพี่น้องฟังอย่าง ตรงไปตรงมา
เงินส่วนตัวของมารดานั้น แน่นอนว่าเฉิงจิงไม่มีทางไปแก่งแย่งช่วงชิงมาอย่างแน่นอน เขาลังเลไปครู่ใหญ่ เอ่ยถึงเรื่องของพรรคเจ็ดดาราขึ้นมา “…ข้ารู้ดีว่าเพราะเรื่องแยกตระกูล ทําลายกําลังวังชาภายในบ้านไปไม่น้อย ข้าเห็นว่าควรจะพูดกับเจ้าสี่สักหน่อย อย่างมากที่สุดอีก สองปีก็วางมือเถิด! ต่อไปไม่ว่าพรรคเจ็ดดารานั่นจะรวมเป็นหนึ่งหรือแตกซ่านกระเซ็นกันไปก็ไม่ เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว เดิมทีนั่นก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษนํามาใช้เพื่อเลี้ยงดูราชวงศ์ก่อน ตอนนี้ เกรงว่าหญ้าบนหลุมศพของราชวงศ์ก่อนคงจะสูงเท่าความสูงของคนไปแล้ว พวกเราก็อย่าสร้าง ปัญหาเหล่านี้อีกเลยจะดีกว่า นี่ก็นับได้ว่าเป็นเพราะพวกเราโชคดี เจ้าสี่ควบคุมพรรคเจ็ดดารา เอาไว้ได้ หากพวกเราเป็นเหมือนจวนรอง ไม่มีคนที่สั่งการพรรคเจ็ดดาราได้ พรรคเจ็ดดารานั่นก็ คงจะยุ่งเหยิงจนแตกซ่านกระเซ็นไปแล้ว แทนที่จะปล่อยให้ตกลงไปสู่จุดนั้น มิสู้ถือโอกาสวางมือ ไม่ยุ่งเกี่ยวเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า หากพวกจวนรองอยากได้ก็ยกให้พวกเขาไปเถิดขอรับ”