ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 505 ห่วงใย
โจวเสาจิ่นไม่คิดจะคบหาสมาคมกับหมิ่นเจียให้มากนัก แต่ด้วยความสัมพันธ์ของทั้งสอง คนกลับทําให้นางไม่อาจหลีกเลี่ยงการพบปะกับนางได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ โจวเสาจิ่นก็เลิกคิดมาก เกี่ยวกับเรื่องที่จู่ๆ การไปร่วมงานหมั้นเล็กของเฉิงรั่งก็มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีคนเพิ่มขึ้นคนหนึ่งบรรยากาศก็คึกคักมากขึ้นอีกขั้น เจ้าไปด้วยกันได้ก็ดีแล้ว”
ด้านหนึ่งคืองานแต่งงาน ส่วนอีกด้านคืองานหมั้นเล็ก สิ่งที่หยวนซื่อเลือกนั้นไม่ผิด แต่ หมิ่นเจียคิดว่าการกระทําของหยวนซื่อไม่เหมาะสมเท่าใดนัก สุดท้ายแล้วฟางเซวียนเป็นเพียง หลานสาวฝั่งบ้านมารดาของหยวนซื่อ แต่เฉิงรั่งเป็นหลายชายร่วมสายโลหิตฝั่งบ้านสามีของนาง ต่อให้นางไปงานของตระกูลเซี่ยไม่ได้ วันนี้ก็ควรจะออกหน้ามาดู แสดงความสนใจให้เห็นสัก หน่อย แต่กลับไม่ให้หน้ากันเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่รู้ความ หรือดูถูกดูแคลน หากเป็น อย่างแรกก็ได้แต่บอกว่านางได้รับการสั่งสอนมาไม่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็ได้แต่บอกว่าคุณธรรม ของนางนั้นไม่ดี
มิน่าวันนั้นตอนที่เฉิงสวี่กับนางไปแนะนําตัวให้ญาติๆ รู้จักที่ประตูเฉาหยางถึงได้แสดง อารมณ์ความรู้สึกออกมาบนใบหน้า
มีมารดาที่ประพฤติตัวไม่เป็นเช่นนี้เป็นแบบอย่างคนหนึ่ง เขาจะรู้จักการวางตัวในสังคม ได้อย่างไร
แม้ตระกูลเฉิงมีสมาชิกตระกูลไม่มากนัก แต่นางกลับมีวาสนาได้แต่งงานกับสามีที่มี หน้าที่การงานราบรื่นคนหนึ่ง ทั้งยังให้กําเนิดบุตรชายที่รํ่าเรียนเก่งคนหนึ่ง หากอยู่ในตระกูลหมิ่น คงจะถูกคนเหยียบยํ่าจนเละเป็นผุยผงนานแล้ว
เพียงแต่แม่สามีของตนผู้นั้นกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
4697
ตนเองยํ้าเตือนไปอย่างอ้อมค้อมว่าก่อนที่นางจะไปร่วมงานแต่งงานของฟางเซวียนให้ นางรีบมาที่นี่พูดถ้อยคําตามมารยาทสักสองสามประโยคก็ยังได้ ทว่าแม่สามีกลับตอบอย่างไม่ใส่ ใจว่า ไม่เป็นไรหรอก เป็นเพียงงานหมั้นเล็กเท่านั้น ประเดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็เป็นวันสรงนํ้าองค์พระ โพธิสัตว์แล้ว ตอนที่ข้าเจออาสะใภ้รองของเจ้าเพียงอธิบายให้ฟังสักหน่อยก็ได้แล้ว นางหาได้เป็น คนที่มีจิตใจคับแคบประเภทนั้น
ในตอนนั้นหมิ่นเจียหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เลยจริงๆ
เนื่องจากคนอื่นมิได้เป็นคนที่มีจิตใจคับแคบ ดังนั้นเจ้าจึงเพิกเฉยต่อคนผู้นั้นอย่างนี้ หาก คนผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบเล่า เจ้ามิต้องประจบประแจงเอาใจแล้วหรอกหรือ นี่ก็คือการยก ย่องผู้สูงศักดิ์และเหยียบยํ่าผู้ตํ่าต้อยมิใช่หรือ ต่อให้คิดจะทําอย่างนั้น ก็อย่าพูดให้ชัดเจนหรือ กระทําอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลย!
หมิ่นเจียไม่เหลือแม้แต่อารมณ์จะสนใจแล้ว ตัดสินใจแยกกันไปคนละงานกับแม่สามี นางมาที่นี่ ส่วนแม่สามีไปงานแต่งงานของตระกูลฟาง
แม่สามีฉงนงงงวยเป็นอย่างมาก เอ่ยถามว่า อาเซวียนมิได้ดีกับเจ้ามากหรอกหรือ นาง จะออกเรือนเจ้าไม่ไปส่งสักหน่อยหรือ
ในตอนนั้นนางตอบยิ้มๆ ว่า อาเซวียนก็เข้าอกเข้าใจคนอื่นดียิ่งเช่นกัน ข้าให้สาวใช้ไปส่ง จดหมายให้นางฉบับหนึ่ง อธิบายสักหน่อยก็ได้แล้วเจ้าค่ะ
จากนั้นก็มอบซองจดหมายที่ยังปิดผนึกอยู่เช่นเดิมให้แก่หยวนซื่อ
ใครจะรู้ว่าหยวนซื่อกลับฟังแล้วไม่เข้าใจ พูดซํ้าๆ ว่าไม่ได้ นางต้องกระซิบกล่าวโน้มน้าว ไปคํารบหนึ่ง หยวนซื่อถึงได้ยินยอมอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
4698
ทว่าหมิ่นเจียกลับมองออก แม่สามีผู้นี้ของนางมิได้ไม่เข้าใจจริงๆ หรอก แต่เข้าใจมาก เกินไป จึงมักจะใช้ชื่อของสะใภ้ใหญ่มาข่มน้องสะใภ้ในบ้าน
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็คิดว่าแม่สามีช่างอ่อนต่อโลก จัดการได้ง่ายยิ่งนัก งานแต่งงานที่ บ้านเดิมจัดหาให้นางนี้ก็ดียิ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะข่มโจวเสาจิ่นได้หรือไม่
หมิ่นเจียยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างอบอุ่นว่า “เช่นนั้นท่านอาสะใภ้จะต้อง สั่งสอนข้าให้มากนะเจ้าคะ ข้าก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้สักเท่าใด”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนงานหมั้นเล็กของเจ้าตระกูลเฉิงไปปักปิ่นให้เจ้าอย่างไร ครั้งนี้พวกเราไปบ้านตระกูลเซี่ยก็ช่วยคุณหนูสามตระกูลเซี่ยปักปิ่นให้ตามนั้น เจ้าต้องรู้อย่าง แน่นอน”
ถ้อยคํานี้พูดออกมาจนหมิ่นเจียตะลึงงันไปเล็กน้อย
ไม่คาดคิดว่าโจวเสาจิ่นที่ดูเป็นคนที่งดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้คนหนึ่ง กลับพูดจา ประหนึ่งเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้าสักหลาดก็ไม่ปาน
เห็นได้ว่ามารดาของนางกล่าวได้ถูกต้อง คนผู้นี้ มิใช่คนที่เรียบง่ายคนหนึ่ง
หมิ่นเจียโอภาปราศรัยกับโจวเสาจิ่นสองสามประโยคแล้วไปหาเฉิงเจิงกับเฉิงเซียว แลกเปลี่ยนคําทักทายกับทั้งสองคนอย่างไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่ลึกซึ้งหรือตื้นเขินเกินไป
หากเทียบกับโจวเสาจิ่น นางให้ความสําคัญพี่สะใภ้สองคนนี้ของตนมากกว่า
ไม่ว่าอย่างไรโจวเสาจิ่นก็เป็นเพียงอาสะใภ้คนหนึ่งของนาง ทว่าเฉิงเจิงกับเฉิงเซียวกลับ ไม่เหมือนกัน พวกนางกับหยวนซื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขร่วมสายโลหิตเดียวกัน ถ้อยคําของพวก
4699
นางหนึ่งประโยค มีนํ้าหนักมากกว่าถ้อยคําของผู้อื่นสิบประโยค โดยเฉพาะเวลาที่พูดถึงเรื่องไม่ดี …
พวกนางสนทนากันได้ครู่หนึ่ง พ่อสื่อกับผู้เปี่ยมด้วยพรทุกประการก็มาถึงหมดแล้ว
สะใภ้สามตระกูลอู๋ที่มาทําหน้าที่เป็นผู้เปี่ยมด้วยพรทุกประการก็เป็นผู้เปี่ยมด้วยพรทุก ประการให้แก่งานแต่งงานของโจวเสาจิ่น จึงนับได้ว่าสนิทสนมกันแล้ว โจวเสาจิ่นพูดคุยกับนาง อารมณ์ก็ดียิ่ง
ชิวซื่อรู้ว่าพวกนางล้วนรับประทานมื้อเช้าที่บ้านของตนเองเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังให้พวก สาวใช้ยกอาหารเหลว อาทิ นํ้าเต้าหู้กับต้มเม็ดบัวเข้ามาแล้วเชิญพวกนางดื่ม จากนั้นก็มุ่งไปยัง ตระกูลเซี่ยโดยมีพ่อสื่อเป็นผู้นําทาง
บ้านที่ตระกูลเซื่ยอาศัยอยู่นั้นห่างจากที่นี่ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่นับว่าไกลเกินไป นั่งเกี้ยวเป็น เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว
เนื่องจากงานหมั้นเล็กเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสตรีในห้องหอเป็นหลัก บรรดาบุรุษของ ตระกูลเซี่ยจึงหลีกทางให้ไปอยู่ในห้องหนังสือของลานชั้นนอกกันหมด ทันทีที่โจวเสาจิ่นลงมาจาก เกี้ยวก็เห็นบรรดาสตรีและเด็กๆ เต็มลาน ทําให้ลานบ้านขนาดเล็กเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ทว่า หน้าตาของสตรีเหล่านี้ล้วนใจดีอ่อนโยนเป็นอย่างมาก รอยยิ้มก็สดใส บางครั้งบางคราวก็เห็น สตรีสองคนที่ดูท่าทางเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมเล็กน้อย ทว่าบนดวงหน้าก็ยังประดับรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนกัน มีบรรยากาศชื่นมื่นเหลือแสน
โจวเสาจิ่นชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง คิดว่างานแต่งงานกับตระกูลเซี่ยนี้ไม่เลวจริงๆ!
4700
ผู้เปี่ยมด้วยพรทุกประการที่ตระกูลเซี่ยเชิญมาต้อนรับพวกนางเข้าสู่ห้องนอนของเซี่ย เจวี๋ย เซี่ยเจวี๋ยสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมจวงฮวาสีแดงจ้า นั่งอยู่บนเตียงด้วยดวงหน้าแดงกํ่าโดยมี สตรีสองสามคนนั่งอยู่เป็นเพื่อน
ครั้นโจวเสาจิ่นเดินเข้าไปบรรดาสตรีเหล่านั้นก็เริ่มเอ่ยถ้อยคํามงคล และเปิดทางแก่โจว เสาจิ่นช่วยปักปิ่นให้เซี่ยเจวี๋ย
ปิ่นที่ใช้ในงานหมั้นเล็กของตระกูลเฉิงเป็นปิ่นสมปรารถนาทองคําธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ มีนํ้าหนักมากกว่าปิ่นทั่วไปเล็กน้อย ฝีไม้ลายมือก็ประณีตวิจิตร แต่ไม่นับว่าหรูหราโอ่อ่า
ตอนที่นางหยิบปิ่นออกมา นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าเซี่ยเจวี๋ยที่นั่งอยู่เบื้องหน้านางโล่งใจไป เปลาะหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจเล็กน้อยในทันที เกรงว่าเซี่ยเจวี๋ยเป็นกังวลว่า ตระกูลเฉิงที่รํ่ารวยจะหยิบปิ่นเก่าแก่โบราณหรือปิ่นที่มีชื่อเสียงเลอค่าออกมาให้นางในงานหมั้น เล็ก ในการแต่งงานระหว่างตระกูลที่มีฐานะทัดเทียมกัน ปกติการแต่งภรรยาเข้ามาหรือแต่ง บุตรสาวออกไปล้วนเป็นฝ่ายชายหนึ่งหาบฝ่ายหญิงหนึ่งหัว กล่าวอีกนัยได้ว่า ค่าใช้จ่ายของบ้าน ฝ่ายหญิงที่ออกเรือนคือครึ่งหนึ่งของฝ่ายชาย
ตระกูลเซี่ยหาได้เป็นตระกูลที่มั่งมีอะไรไม่!
ไม่ว่าจะเป็นในชาติที่แล้วหรือในชีวิตนี้โจวเสาจิ่นล้วนเคยได้รับความทนทุกข์ทางใจ มากมายมาก่อน จึงรู้สึกไวต่อเรื่องประเภทนี้เป็นพิเศษ
นางอดกระซิบปลอบเซี่ยเจวี๋ยยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้รองของข้าผู้นี้เป็นคนดียิ่ง!” เซี่ยเจวี๋ยพลันเข้าใจความหมายของนางในทันที คลี่ยิ้มให้แก่โจวเสาจิ่นอย่างซาบซึ้งใจ นี่ทําให้โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกอิ่มใจประเภทหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
4701
ตอนเย็นเมื่อเจอเฉิงฉือ นางก็เล่าให้เขาฟัง เฉิงฉือมองนางที่ยิ้มตาหยีเช่นนั้น ก็กอดรัดนางในอ้อมแขนแน่นๆ…
บางทีอาจจะเป็นเพราะคิดว่าตนได้ทําเรื่องดีเรื่องหนึ่ง หรือเป็นเพราะเฉิงฉือทําตัว เหลวไหลกับนางไปยกหนึ่ง โดยที่อธิบายไม่ได้ ความขุ่นเคืองในใจของโจวเสาจิ่นพลันมลาย หายไป นางเริ่มยุ่งกับการฝึกฝนคัดอักษรและวาดภาพกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกครั้ง เวลาว่างก็ปัก ภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมภาพนั้น ในชั่วพริบตาเดียวเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็ผ่านไปแล้วเข้าสู่กลางฤดูร้อน ชวีหยวนถูกลดฐานะเป็นสามัญชนและถูกยึดทรัพย์สินตระกูล ชื่อเสียงของเฉิงฉือก็แพร่ขจรขจายในสํานักฮั่นหลินอีกครั้ง ชิวซื่อให้คนส่งแตงหวานมากมายมาให้ ทั้งยังเชิญโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปชมงิ้ว โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ “อากาศร้อนขนาดนี้ เหตุใดพี่สะใภ้รองถึงนึกอยากจะจัดงานแสดงที่ บ้านเจ้าคะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดปนหัวเราะขึ้นว่า “พี่รองของเจ้า ต้องไปหนิงโปในอีกไม่กี่วันแล้ว” “ไปรับราชการต่างถิ่นหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก ช่วงนี้นางอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาโดยตลอด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้พูดอะไร เฉิงฉือก็ มิได้กล่าวอะไรเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ช่วงก่อนฮูหยินเผิงเฉิงผู้นั้นมิได้มาเที่ยวเล่น ที่บ้านบ่อยๆ หรอกหรือ นางได้ขอความช่วยเหลือให้แก่พี่รองของเจ้า แน่นอนว่า คุณสมบัติของพี่ รองเจ้าก็มีเพียงพอ จึงปล่อยเขาไปดํารงตําแหน่งข้าหลวงที่หนิงโป ในอีกไม่กี่วันก็ต้องออก
4702
เดินทางแล้ว เป็นไปได้ว่าพี่สะใภ้รองของเจ้าอยากให้ทุกคนมาพบปะสังสรรค์กันก่อนที่พี่รองของ เจ้าจะออกเดินทาง!”
โจวเสาจิ่นมองตาปริบๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นะเจ้าคะ! ข้าอยู่ข้างกาย ท่านทั้งวันกลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย…”
ตอนแรกนํ้าเสียงของนางหวานหยาดเยิ้ม ทว่าตอนนี้กลับเจือความอัศจรรย์ใจ ชื่นชมและ กระเง้ากระงอดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ทําให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะขึ้นมา บอกนางว่า “เรื่องนี้ข้าก็ ไม่แน่ใจเหมือนกัน! ข้าคงจะไปขอร้องนางไม่ได้หรอกกระมัง เช่นนั้นก็คงตกเป็นรองแล้ว! หากมี เรื่องดีอะไรก็คงไม่ตกมาถึงมือพวกเรา…” นางอธิบายเส้นสายสัมพันธ์ในนั้นให้โจวเสาจิ่นฟังอย่าง ละเอียด “ข้าเองก็เพิ่งได้รับจดหมายของนางตอนเช้าของเมื่อวานถึงได้รู้ว่าพี่รองของเจ้าได้รับ ตําแหน่งนี้”
โจวเสาจิ่นตั้งอกตั้งใจฟัง พลางพยักหน้าไม่หยุด กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องดียิ่งเรื่องหนึ่ง ข้าต้องตระเตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้แก่พี่รองถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เฉิงเว่ยก็ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตําแหน่งขึ้น ในภายภาคหน้าเมื่อกลับมา เมืองหลวงต่อให้อยู่ในซอกมุมใดก็เพียงรอรับเบี้ยหวัดเท่านั้น เบี้ยหวัดนี้ก็จะได้รับเป็นจํานวน ค่อนข้างมาก ธงชูเกียรติอะไรก็ยิ่งใหญ่เล็กน้อย
แต่ในชาติก่อนเฉิงเว่ยมิได้รับราชการต่างถิ่นนี่นา!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะนางเปิดเผยเรื่องในอนาคตเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วถึงได้ ส่งผลต่อโชคชะตาของเฉิงเว่ยกันนะ
นางถามเฉิงฉือ
4703
ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือเพียงถามนางกลับอย่างประหม่า “หากแพร่งพรายเรื่องในอนาคตแล้ว จะส่งผลย้อนกลับเข้าตัวหรือไม่”
โจวเสาจิ่นก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เฉิงฉือจึงตัดสินใจทันทีว่าพรุ่งนี้จะไปทําพิธีให้โจวเสาจิ่นที่วัดต้าเซียงกั๋ว อีกทั้งอยากให้ฮู หยินผู้เฒ่ากัวอาศัยอยู่ด้วยกัน นางเชื่อในเรื่องผีสางเทวดาเหล่านี้เป็นที่สุด ทางที่ดีอย่าทําให้ฮู หยินผู้เฒ่ากัวตื่นตระหนกตกใจ ดังนั้นจึงกําชับโจวเสาจิ่นว่า “อย่าให้คนอื่นรู้เลย เพียงบอกว่า อยากไปเยี่ยมพี่สาวของเจ้า พวกเราแอบไปแอบกลับก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือห่วงใยนางเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหวานละมุน กลับมิได้คิดว่าการเปิดเผย เรื่องในอนาคตอะไรจะทําให้ส่งผลย้อนกลับเข้าตัวแต่อย่างใด วันรุ่งขึ้นก็ไปวัดต้าเซียงกับเฉิงฉืออ ย่างมีความสุข
นางเห็นเฉิงฉือทํานั่นทํานี่เพื่อนาง นัยน์ตาก็ฉายรอยยิ้มราวกับพระจันทร์เสี้ยว อย่างไรก็ หุบยิ้มไม่ได้
เฉิงฉือทอดถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นก็ควงแขนของเฉิงฉือแกว่งไปมา
เฉิงฉือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ดุนางว่า “หยุดซะดีๆ ที่นี่คือวัด”
โจวเสาจิ่นก็ไม่รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด ยิ้มร่าพลางปล่อยมือ ครั้นเห็นว่าเมื่อถึงยามเจิ้งอู่2841 ร้านรวงเหล่านั้นต่างเก็บร้านกันหมดแล้ว ไม่เห็นผู้ใด ก็ควงแขนของเฉิงฉืออีกครั้ง พลางกล่าวว่า “พวกเราคงจะออกจากวัดแล้วกระมัง”
1 เวลา 12.00 น.
4704
อิงแอบแนบชิดเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉือรู้สึกปีติยินดี ไม่ได้ว่าอะไรนางอีกแล้ว พานางขึ้นรถม้า ตลอดทางถูกนางอิงแอบ แนบชิดจนชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว ไฟปรารถนาในใจพลันลุกโชนขึ้นมา จึงให้สารถีเปลี่ยนเส้นทาง ไปซอ ยอวี๋เฉียนกับโจวเสาจิ่น
จักจั่นฤดูร้อนร้อง ‘มิ้งๆ’ บนต้นไม้ แมกไม้ร่มรื่นของต้นตั๊กแตนราวกับร่มคันหนึ่งก็ไม่ปาน มีเพียงเงาของต้นไม้ตกกระทบบนหน้าต่างเป็นดวงๆ ทําให้คนรู้สึกสงบร่มเย็นยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นหลับตาลง ไม่กล้ามองเฉิงฉือที่เข้าๆ ออกๆ ร่างกายของตน…
วันนั้นพวกเขากลับไปค่อนข้างดึก ตอนที่คารวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว ขาของโจวเสาจิ่น ก็อ่อนเปลี้ย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สังเกตแต่อย่างใด ยังคิดว่าออกไปข้างนอกกลางฤดูร้อนเลยเหนื่อย ล้าเกินไป จึงให้พวกเขาไปพักผ่อนเร็วขึ้นด้วยความเป็นห่วง บอกว่าพรุ่งนี้ยังต้องไปที่บ้านเฉิงเว่ย โจวเสาจิ่นขานรับอย่างนอบน้อม ไม่กล้ามองฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทว่าเฉิงฉือกลับสุขุมเยือกเย็นยิ่ง เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อกลับถึงห้องนอน โจวเสาจิ่นก็อดไม่ได้หยิกเฉิงฉือไปครั้งหนึ่ง ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่อ่อนนุ่มนั้นทําให้นางอดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายไม่ได้ ดวง หน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เฉิงฉือหัวเราะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี พลางเข้าไปอาบนํ้าในห้องข้าง วันนี้เขารู้สึกเบิกบานใจเหลือคณา
4705
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาเหตุมาจากโจวเสาจิ่นที่ในที่สุดก็คล้อยตามอารมณ์ของเขา ที่ สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ โจวเสาจิ่นหลับตาลง
เป็นครั้งแรกที่นางไม่ได้มองหน้าของเขาและไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว