ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 506 หาเรื่อง
งานเลี้ยงที่ชิวซื่อจัดขึ้นก็คล้ายกับตัวนางเอง เรียบง่ายไม่หวือหวา เพียงเชิญคนจากซอย ซิ่งหลินและประตูเฉาหยาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึงพอใจมากที่ชิวซื่อมีความสามารถในการจัดการงานใหญ่โตมากมายได้ ไม่เพียงพาโจวเสาจิ่นไปด้วย แต่ยังนํากระดาษเฉิงซินหนึ่งเตา ที่ฝนหมึกตวนเอี้ยนสองอันและ พู่กันหูโจวหนึ่งกล่องมอบให้เฉิงรั่ง ทว่าตอนที่โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวลงจากเกี้ยวหน้าประตูชั้นใน แล้วเห็นอู๋เป่า จางที่มาต้อนรับพร้อมกับหยวนซื่อ เฉิงเจิง หมิ่นเจียและคนอื่นๆ ก็อึ้งงันอย่างยากจะระงับ หมิ่นเจียเห็นแล้วก็อธิบายยิ้มๆ ขึ้นว่า “เป็นข้าที่เชิญน้องสาวนั่วมาด้วยกัน นางอยู่จิงเฉิง คนเดียวจึงรู้สึกเหงาเป็นอย่างมาก” ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน ความสัมพันธ์ของพวกนางก็ดีขนาดนี้แล้วหรือ โจวเสาจิ่นยิ้มรับน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร นี่เป็นงานเลี้ยงของชิวซื่อ นางย่อมไม่อาจทําตัวเป็นเจ้าของงานได้เป็นธรรมดา ครั้นทําความเคารพกันแล้ว คนทั้งกลุ่มก็เดินเข้าห้องรับแขกดื่มนํ้าชา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ให้ โจวเสาจิ่นนําของขวัญที่มอบให้เฉิงรั่งแก่ชิวซื่อ ชิวซื่อได้รับของขวัญจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว ย่อมต้องรู้สึกปลาบปลื้มยินดี รีบนําใบรายการ อาหารให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านดูว่าต้องเพิ่มหรือลดอะไรหรือไม่นะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นรีบหยิบแว่นขยายให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
4707
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับคร้านจะดู มอบใบรายการอาหารให้แก่โจวเสาจิ่น พลางกล่าวว่า “เจ้าดูเถอะ หากมีอาหารอะไรที่กินไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้ว”
หากแต่งงานเข้ามาในตระกูลเฉิงยี่สิบกว่าปี แล้วแม้แต่อาหารที่แม่สามีตนเองชื่นชอบก็ ไม่รู้ ยังจะนับเป็นสะใภ้อะไร ยิ่งไปกว่านั้นใบรายการอาหารนี้ชิวซื่อก็ได้ลอบหารือกับโจวเสา จิ่นมาก่อนแล้ว
นางยิ้มพลางดูอาหารในใบรายการนั้นรอบหนึ่ง เห็นว่าตรงกับที่ทั้งสองคนหารือกันไว้ใน ตอนแรก ก็คืนใบรายการอาหารให้แก่ชิวซื่อยิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ลําบากพี่สะใภ้รองแล้ว อาหารที่ ตระเตรียมไว้ล้วนเป็นอาหารที่ท่านแม่ชอบกินทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ระบายยิ้ม
ชิวซื่อก็ปีติยินดีเป็นอย่างมาก มอบใบรายการอาหารให้แก่มามาแม่บ้านที่อยู่ข้างหลัง แล้วนั่งลงพร้อมกับหยวนซื่อและคนอื่นๆ ล้อมรอบฮูหยินผู้เฒ่ากัว พลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ขึ้นว่า “นายท่านรองอยู่จิงเฉิงมาโดยตลอด ไม่เคยออกจากจิงเฉิงมาก่อน ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะให้ นายท่านรองนําอะไรไปดี พอถามพี่สะใภ้ใหญ่ นางก็มอบใบรายการใบหนึ่งให้ข้า หาไม่แล้วข้าก็ ไม่มีคู่มือนําทางสักเล่มหนึ่งเลยเจ้าค่ะ!”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็เพียงทําตามแบบอย่างที่มี ในปีนั้นข้าก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ เหมือนกัน ยังเป็นท่านแม่ที่แนะนําข้า!”
คนที่อายุมากแล้วก็ชื่นชอบคุยเรื่องวันวาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็พูดถึงเรื่องราวของเฉิงซวินกับเฉิงจิงที่เข้ารับราชการในปีนั้น หมิ่นเจียอดมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสายตาชื่นชมไม่ได้
4708
ตอนที่เห็นท่าทางการวางตัวอย่างไม่เหมาะสมของหยวนซื่อ นางยังคิดว่าตระกูลเฉิงได้ รับคํายกย่องชื่นชมเกินจริง นึกไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับเฉียบแหลมยิ่งยวด
อากาศค่อนข้างร้อน หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ทุกคนก็พักผ่อนครู่หนึ่ง แล้วเริ่มชมงานแสดง
เฉิงเจิงกับฮูหยินผู้เฒ่ากัววิพากษ์ทักษะการแสดงของนักแสดง เฉิงเซียว หยวนซื่อ หมิ่นเจียกับอู๋เป่าจางต่างฟังอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ หยวนซื่อกับหมิ่นเจียยังวิจารณ์สองสามประโยค เป็นครั้งคราว ถือว่ามีสายตาหลักแหลมเช่นกัน ดูแล้วก็เป็นคนที่ชื่นชอบชมงิ้ว
โจวเสาจิ่นไม่สนใจเข้าร่วมวงเสวนา นั่งชมอยู่ข้างหนึ่ง เฉิงเซิงเห็นชิวซื่อมารดาของตน กําลังยุ่งกับการตระเตรียมมื้อเย็น จึงเอ่ยถึงเรื่องการเย็บปักถักร้อยกับโจวเสาจิ่นขึ้นว่า “…พี่สาว เซียวหาแบบผ้าคลุมเด็กทารกผืนนั้นที่เจ้าวาดให้หรงเกอเอ๋อร์ของพวกเขาในปีนั้นให้แก่ข้า ข้าก็หา คนปักผ้าตามแบบนั้นคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะเอามาให้เจ้าช่วยดู!”
“จริงหรือ” โจวเสาจิ่นลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ ข้าจะดูว่าเจ้าต้องใช้สี อะไรให้เข้ากัน”
แม้แบบลายดูดี แต่ก็ยังต้องเลือกสีให้เข้ากันดีๆ
เฉิงเซิงยิ้มร่าพลางกล่าวว่า “เจ้ายังมีแบบเสื้อผ้าเด็กอีกหรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าจะให้พวก สาวใช้ช่วยวาดสักสองสามแบบกลับมา”
“เจ้าต้องการแบบลายเช่นไร” โจวเสาจิ่นชื่นชอบเฉิงเซิงเป็นอย่างมาก “ให้ข้าวาดให้เจ้าสัก สองสามแบบเถอะ แบบลายนี้มักจะเปลี่ยนใหม่ทุกๆ ปี แบบลายที่ข้าวาดเมื่อก่อนก็มี แต่ไม่รู้ว่า จะถูกใจเจ้าหรือไม่”
4709
“งานเย็บปักถักร้อยของท่านอาสะใภ้ได้รับการยกย่องจากคนอื่นเสมอมา หากเก็บไว้ได้ จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน” เฉิงเซิงกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงกันแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพาคน ไปหาท่านที่นั่น”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
จู่ๆ ก็มีคนพูดปนหัวเราะขึ้นว่า “ตกลงเรื่องอะไรกันหรือเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเซิงเงยหน้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าอู๋เป่าจางเข้าร่วมวงสนทนาของพวกนางตั้งแต่ เมื่อใด
เฉิงเซิงไม่รู้เรื่องของอู๋เป่าจาง แต่นางเป็นน้องสะใภ้จากบ้านเดิมของนาง ทั้งยังเป็นแขก ในบ้านมารดาของนาง ย่อมจะต้องต้อนรับตามมารยาท เฉิงเซิงจึงยิ้มพลางเล่าให้ฟังรอบหนึ่ง
อู๋เป่าจางบิดผ้าเช็ดหน้ายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “กูไหน่ไนสามมาหาถูกคนแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่ อาสะใภ้ฉือเป็นเด็กสาวในห้องหอก็มีอุปนิสัยเอียงอาย หากมิได้อ่านตําราคัดอักษรก็ทํางานเย็บ ปักอยู่ในบ้าน พวกข้าต่างขออาสะใภ้ฉือช่วยวาดแบบลายให้อยู่ไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
ทว่าโจวเสาจิ่นไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับอู๋เป่าจาง ทําทีเป็นกล่าวอย่างงุนงงว่า “ตอน ที่ข้าอยู่ในเรือนมักจะมีคนมาขอให้ข้าวาดแบบลายผ้าจริงๆ แต่ข้าเคยวาดให้หลานสะใภ้นั่วด้วย หรือ ไฉนข้าถึงจําไม่ได้เลย ปรกติข้ามักจะอยู่แต่ในบ้าน ตอนที่หลานสะใภ้นั่วมาเป็นแขกที่บ้านก็ คลับคล้ายคลับคลาว่าเพียงสองสามครั้งเท่านั้นเอง…” นางรําลึกขณะกล่าว “ข้าวาดแบบลาย อะไรให้หลานสะใภ้นั่วหรือ หลานสะใภ้นั่วช่วยข้านึกได้หรือไม่”
อู๋เป่าจางเห็นว่าตนพยายามประจบประแจงโจวเสาจิ่นหลายครั้งหลายครา ทว่าโจวเสาจิ่ นกลับไม่ซาบซึ้งใจเลยสักนิด ก็ลอบรู้สึกขุ่นเคืองอย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างคลุมเครือสองสาม ประโยค แล้วหมุนกายไปฟังเฉิงเจิงวิพากษ์งิ้ว ไม่สนใจโจวเสาจิ่นอีกเลย
4710
ในที่สุดโจวเสาจิ่นก็รู้สึกเงียบสงบเสียที
เฉิงเซิงลุกขึ้นไปเข้าห้องทางการ
โจวเสาจิ่นเห็นนางประคองเอว ค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ ไม่เหมือนกับท่าทางมีชีวิตชีวาใน ยามปรกติ ก็อดเป็นห่วงเล็กน้อยไม่ได้ ลุกขึ้นมาประคองนาง แล้วไปห้องทางการเป็นเพื่อนนาง
จู่ๆ หมิ่นเจียที่ตั้งใจฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัววิจารณ์งิ้วมาโดยตลอดก็หมุนกายมา กระซิบกับอู๋ เป่าจางยิ้มๆ ว่า “นึกไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับอาสะใภ้เล็กท่านนั้นของพวกข้าจะดียิ่ง?”
อู๋เป่ าจางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ สีหน้าก็เยียบเย็นเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “จะว่าดีก็ ไม่ได้หรอก เพียงแค่รู้จักกันเท่านั้นเอง!”
หมิ่นเจียกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ก็ยังดีกว่าข้าอยู่ดี อย่างน้อยก็รู้จักกัน เจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่ข้า เห็นนางวันนั้น ข้าค้นพบว่ายังมีอาสะใภ้ที่อายุน้อยกว่าข้าสามปีคนหนึ่งอยู่ด้วย ข้ายังคิดว่าเป็น ภรรยาใหม่ของท่านลุงหรือท่านอาท่านใดเสียอีก ไม่คาดคิดว่าเป็นภรรยาของท่านอาฉือ เหตุใด ท่านอาฉือถึงได้แต่งงานกับอาสะใภ้คนหนึ่งที่เด็กขนาดนี้หรือ บางครั้งเวลาที่ข้าเอ่ยเรียกก็รู้สึก กระดากอายอยู่บ้างว่าไหม”
ครั้นอู๋เป่ าจางได้ยินหมิ่นเจียพูดว่าโจวเสาจิ่นเหมือนภรรยาใหม่ของท่านลุงหรือท่านอา ท่านใดนั้น ในใจพลันตื่นเต้นดีใจ เอ่ยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ใครว่าไม่ใช่กันเล่า! แต่ก่อนนางยัง เรียกข้าว่าพี่สาวอยู่เลย! ตอนนี้กลับเป็นข้าที่เรียกนางว่าท่านอาสะใภ้…”
หมิ่นเจียเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “ข้าเห็นว่าลักษณะนิสัยของท่านอาสะใภ้เล็กท่านนั้น อ่อนโยนยิ่งนัก บางทีอาจจะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าก็ได้!”
แต่ก่อนนางไม่กล้าพูดจาเสียงดังตอนที่สนทนาต่อหน้านาง ทว่าตอนนี้แต่งงานกับเฉิงฉือ แล้ว กลับวางท่าเป็นผู้อาวุโสกว่า ไม่สนใจไยดีนางแต่อย่างใด
4711
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อู๋เป่าจางก็รู้สึกทนไม่ได้
ทว่าหมิ่นเจียกลับกลอกลูกตาไปมา ยิ้มพลางกล่าวกับอู๋เป่ าจางว่า “ข้าก็ต้องไปห้อง ทางการเหมือนกัน”
อู๋เป่ าจางนึกถึงในงานแนะนําเจ้าสาวให้ญาติๆ รู้จักนางเข้ามาตีสนิทโดยไม่มีสาเหตุ ต่อมายังชักชวนอย่างกระตือรือร้นอีก ก็ยิ้มเย็นในใจ
แม้ว่านางอยากจะเหยียบยํ่าโจวเสาจิ่นมาก แต่ก็หาได้เป็นคนไร้มันสมองผู้นั้นไม่ หมิ่นเจียคิดว่าตนเป็นใคร กล่าวถ้อยคําดีๆ ไม่กี่คํา ประจบประแจงไม่กี่ประโยคก็ปั่นหัวนางให้ เลอะเลือนเพื่อนางจะได้ใช้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ
อู๋เป่าจางตัดสินใจไปห้องทางการเป็นเพื่อนหมิ่นเจีย ดูว่านางอยากจะไปทําอะไรกันแน่
ทั้งสองคนคล้องแขนกัน เดินออกจากโถงรับรองทางประตูหลังอย่างสนิทสนม
ที่มุมกําแพงของลานด้านหลังปลูกดอกโบตั๋นสองสามต้น ซึ่งกําลังเบ่งบานสะพรั่งอย่าง สวยงามตระการตา
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปยังห้องทางการ
ห่างจากห้องทางการเพียงไม่กี่ก้าว พวกนางก็พบกับโจวเสาจิ่นและเฉิงเซิง ต่างฝ่ ายต่าง ทักทายกัน แล้วเดินแยกไปทางใครทางมัน
ทว่าหมิ่นเจียกลับอดเหลียวกลับไปมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าว่า ในตอน นั้นบรรดาพี่ชายน้องชายในตระกูลเฉิงต่างเอาอกเอาใจอาสะใภ้เล็กมากหรือไม่”
“ใช่แล้ว!” อู๋เป่าจางอยากจะเห็นตอนที่ดวงหน้าซื่อตรงของหมิ่นเจียนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ จะ มีสีหน้าเช่นไรเหลือเกิน “ไม่ต้องพูดถึงพี่ชายเก้าหรือพี่ชายอี้ของจวนสี่เลย ยามประคองไว้ในมือก็
4712
กลัวจะตก ยามอมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย แม้แต่เฉิงลู่ สายรองของตระกูลเฉิง ทว่าเป็นผู้ที่เล่า เรียนศึกษาเก่งที่สุดในบรรดาพี่น้องในตระกูล ก็มอบสิ่งของให้นางอยู่เนืองๆ… ตอนนั้นพวกข้ายัง คิดว่านางจะรั้งอยู่ในตระกูลเฉิง นึกไม่ถึงว่านางจะรั้งอยู่ในตระกูลเฉิงจริงๆ แต่มิได้แต่งงานกับ… เออ… แต่แต่งงานกับท่านอาฉือ… อย่างไรก็ตามตั้งแต่แรกท่านอาฉือก็ปกป้องนางเป็นอย่างยิ่ง…”
หมิ่นเจียได้ยินแล้วใจกระตุก
ตอนที่อู๋เป่ าจางพูดถึงเรื่องแต่งงานของโจวเสาจิ่น มิได้ใช้คําว่า ‘แต่งงาน’ เข้าตระกูลเฉิง แต่เป็น ‘รั้ง’ อยู่ในตระกูลเฉิง หากโจวเสาจิ่นมีเรื่องอะไรกับคนจากสายรองที่ชื่อเฉิงลู่ผู้นั้นล่ะก็ อู๋ เป่าจางก็คงจะไม่ใช้คําว่า ‘รั้ง’ คํานี้แล้ว หรือว่าจะเป็นเหมือนที่นางคาดเดา เฉิงสวี่กับโจวเสาจิ่นมีอะไรระหว่างกัน?
ทว่าหากเป็นเช่นนี้ เหตุใดโจวเสาจิ่นถึงได้แต่งงานกับเฉิงฉืออีกเล่า หรือว่ามีความสัมพันธ์ลับกันนะ หมิ่นเจียสัมผัสถึงเจตนาร้ายของอู๋เป่าจาง แต่มิอาจไม่ไปขบคิดได้อีก
ในใจของนางเสมือนกลองรัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “หน้าตาของนางงดงามมิใช่หรือ เด็กสาวที่มี รูปโฉมงามทุกคนล้วนจะปกป้องนาง นี่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์”
“จริงแท้ยิ่งนัก!” อู๋เป่ าจางยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ต่อให้ทําเรื่องผิด ทุกคนก็ให้อภัยนาง อย่างรวดเร็วได้เช่นกัน”
หมิ่นเจียเปลือกตากระตุก
4713
ทั้งที่รู้แจ้งว่าอู๋เป่าจางขุดหลุมให้นางหลุมหนึ่ง ทว่านางกลับไม่กระโดดลงไปไม่ได้ หลาย วันมานี้นางพยายามสอบถามถึงความประพฤติของโจวเสาจิ่น ปรากฏว่าไม่ค้นพบอะไรเลยสักนิด ในทางกลับกันสอบถามเรื่องราวจากป้ารับใช้ข้างกายฮูหยินรองตระกูลฟางมาได้เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นผู้นั้นนอกจากจะหน้าตางดงามแล้ว ก็ไม่มีจุดใดที่สู้ฟางเซวียนได้เลย
แต่ตระกูลใดบ้างแต่งบุตรสะใภ้โดยดูที่รูปโฉมกันเล่า
โจวเสาจิ่นทําให้ตระกูลเฉิงละทิ้งฟางเซวียนมาแต่งงานกับนางได้ เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ปรกติเท่าใดนัก
“ทําเรื่องผิด?” ดวงหน้าของหมิ่นเจียเผยรอยประหลาดใจ พลางถามว่า “นางทําเรื่องผิด อะไร”
อู๋เป่าจางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างคลุมเครือ แล้วมิได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
หมิ่นเจียรู้สึกคันยุบยิบในใจ ไม่คาดคิดว่าอู๋เป่ าจางปากหนักราวกับเปลือกหอย นางก็ มิได้ถามอะไรอีกเช่นกัน
นางได้แต่สอบถามคนของซอยซิ่งหลิน จวบจนเฉิงเซิงส่งจดหมายแจ้งข่าวดี บอกว่าให้ กําเนิดบุตรชายอ้วนท้วนคนหนึ่ง เรื่องนี้ก็มิได้มีความคืบหน้าขึ้นแต่อย่างใด
หมิ่นเจียมองแสงตะเกียงสีเหลืองนวลที่สะท้อนบนหน้าต่างในห้องหนังสือที่เฉิงสวี่ปิดไว้ อย่างแน่นหนากลางคํ่าคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า มือก็กําเป็นหมัดแน่น
หากเฉิงสวี่มิได้มีคนในดวงใจคนหนึ่ง ก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเย็นชายิ่งยวด
พวกเขาแต่งงานกันนานถึงเพียงนี้ ทว่าวันที่ร่วมเตียงเคียงหมอนกันแทบจะนับนิ้วได้
4714
แม่สามีพรํ่าบอกให้นางรีบมัดใจเฉิงสวี่ไว้ในบ้านและแตกกิ่งก้านสาขาให้แก่ตระกูลเฉิง โดยเร็ว เฉิงสวี่มิได้ลงสนามสอบในการสอบขุนนางวสันตฤดูของปีที่แล้ว ในการสอบครั้งต่อไป เฉิงสวี่จะต้องไปลองสนามดูสักครั้ง ประเดี๋ยวเมื่อผ่านพ้นปีใหม่แล้ว เฉิงสวี่ก็ต้องตั้งใจท่องอ่าน ตํารา ทางที่ดีนางอย่าได้ ‘รบกวน’ เฉิงสวี่เลย
นางจึงให้ซู่เย่ว์ไปปรนนิบัติเฉิงสวี่ในห้องหนังสือ
ทว่าเฉิงสวี่กลับสงวนท่าทียิ่งนัก ไม่ชายตาแลซู่เย่ว์แม้แต่น้อย
หากนางยังไม่รู้ว่าเฉิงสวี่เก็บซ่อนใครไว้ในดวงใจ นางก็คงใช้ชีวิตโดยเสียเปล่าหลายปี เยี่ยงนั้นแล้ว
แต่จะทะลวงหมากกระดานนี้ได้อย่างไรกันนะ
หมิ่นเจียครุ่นคิด นอกจากอู๋เป่าจางแล้ว นางยังหาคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
แม้ว่าเป็นการขอหนังจากเสือ แต่ถ้าหากไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญ เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีทาง ได้รับหนังเสือแล้ว!